ตอนที่ 148 แม่ทูนหัวของเหรินเหริน
จี้เจี้ยนอวิ๋นคุยธุระกับเหล่าฉินเสร็จก็รีบกลับมาจัดการเรื่องอื่น
ตอนนี้มีคนงานอยู่ 3 คน คนแรกคือสวี่เจี้ยนกั๋ว ต่อมาคือหยางอ้ายเซิน ทั้งคู่ต่างก็ขยันขันแข็ง และยังมีคุณลุงจี้ที่รับหน้าที่เป็นหัวหน้าคอยดูแลงานให้เป็นไปอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตามคนงานหลักก็มีเพียงสวี่เจี้ยนกั๋วกับหยางอ้ายเซิน นอกจากนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นยังเรียกชาวบ้านมาเพิ่มอีกคน ชื่อว่าหวังต้ากัง
เขาเองก็เป็นคนทำงานเก่งและอยากมาทำงานที่สวนนานแล้ว อีกทั้งยังเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยเด็กของจี้เจี้ยนอวิ๋นอีกด้วย
เพียงแต่ก่อนหน้านี้มีคนงานพอ ต่อให้จะเป็นเพื่อนกันก็ไม่ได้คิดจะจ้างเขา
ตอนนี้มีตำแหน่งว่างแล้วจี้เจี้ยนอวิ๋นจึงตรงไปหาเขาทันที
เขาเองก็ตกปากรับคำอย่างไม่ลังเล
จี้เจี้ยนอวิ๋นมอบหมายให้ทั้งหวังต้ากัง หยางอ้ายเซิน และสวี่เจี้ยนกั๋วขึ้นเขามาขุดเอากล้าพันธุ์เก่าทิ้ง
กล้าพันธุ์พวกนี้ฝ่อแล้วและไม่ควรเอามาปลูกซ้ำอีก
แม้คุณลุงจี้จะฝืนใจไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เดิมทีพวกมันเป็นกล้าพันธุ์ชั้นดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ฝ่อลงเรื่อย ๆ
จี้เจี้ยนอวิ๋นตั้งใจจะลงปลูกกล้าพันธุ์ใหม่ หลังจากขุดของเดิมออกจนหมด
เมื่อเห็นว่ามีลุงจี้คอยดูแลคนงานอยู่ เขาก็วางใจและไปซื้อกล้าพันธุ์ใหม่กับเหล่าฉิน
ในเมื่อมีหลายเรื่องต้องทำก็ต้องเร่งทำให้เสร็จโดยเร็ว หากค่อย ๆ ทำจนล่าช้าก็มีแต่จะเหนื่อยมากขึ้น
ซูตานหงจัดการงานบ้านก่อนจะขึ้นไปที่สวนบนภูเขา
“แม่ครับ” เหรินเหรินตื่นเต้นดีใจที่เห็นเธอ
“ดื้อกับคุณย่าหรือเปล่าจ๊ะ?” เธอยิ้มพลางเอื้อมไปจับใบหน้าเล็ก ๆ ของเขา
“ไม่เลยครับ ผมเป็นเด็กดีมาก พี่ก็เป็นเด็กดีเหมือนกัน” เหรินเหรินพยักหน้าหงึกหงักก่อนถาม “น้องดื้อไหมครับ?”
“น้องก็ไม่ดื้อเหมือนกันจ้ะ” ซูตานหงยกยิ้ม
ตอนนี้เหรินเหรินกับเยียนเอ๋อร์ชอบตามคุณแม่จี้ไปที่สวน เด็กหลายคนมักมาช่วยเก็บสตรอเบอรี่กัน บรรยากาศจึงครึกครื้นมาก อีกทั้งยังปลอดภัยเพราะมีประตูเหล็กล็อกมิดชิด
“ป้าสะใภ้สามคะ” เยียนเอ๋อร์กล่าวทักทาย
“ว่าไงจ๊ะเยียนเอ๋อร์ อยู่กับคุณย่าสนุกไหม?” ซูตานหงตอบ
“สนุกค่ะ สตรอเบอรี่อร่อยมากด้วยนะคะ คุณป้ากินไหมคะ?” เด็กหญิงตอบอย่างร่าเริง
“เอาสิ ล้างมาให้ป้ากินสักหน่อยสิ” ซูตานหงส่งยิ้มให้
“ได้เลยค่ะ” เธอรับคำ
ว่าแล้วสาวน้อยก็ไปล้างสตรอเบอรี่จนสะอาดมาให้
“ไปเก็บสตรอเบอรี่มาเป็นยังไงบ้างจ๊ะ?” ซูตานหงถาม
เหรินเหรินฟังไม่รู้เรื่องเพราะเขายังอยู่ในวัยที่ได้แต่ทำตามคนอื่น พอเห็นทุกคนเก็บก็แค่เก็บมากินตามเอาสนุกเท่านั้น แค่ไม่ก่อเรื่องวุ่นวายก็นับว่าดีมากแล้ว
ผิดกับเยียนเอ๋อร์ที่รู้ความแล้ว เธอจึงเล่าว่าใครเก็บเร็วที่สุด รวมถึงใครเก็บไม่ได้สักลูกจนร้องไห้งอแงออกมา
เหรินเหรินขำออกมาเมื่อได้ยินเรื่องของเจ้าเด็กตุ้ยนุ้ยขี้แย เขาคงฟังรู้เรื่องและจำได้แน่ ๆ เพราะเป็นคนเอาสตรอเบอรี่ไปปลอบใจอีกฝ่าย และตอนนี้ก็สนิทสนมกันแล้วด้วย
เขาเล่นกับเจ้าตุ้ยนุ้ยคนนั้นและบางครั้งยังช่วยเก็บสตรอเบอรี่อีก
ซูตานหงยิ้มก่อนถามเขา “หัวเราะอะไรเหรอลูก?”
“พั่งจือ (เจ้าตุ้ยนุ้ย) ครับ” เขาฉีกยิ้ม
ช่วงนี้เขาได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ เยอะแม้ว่าจะอายุเพียงขวบครึ่งและพูดไม่ชัดมากก็ตาม
เยียนเอ๋อร์ที่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรยิ้มออกมา “เราเรียกเขาว่าเจ้าตุ้ยนุ้ยขี้แยค่ะ เขาอายุ 4 ขวบแล้ว แล้วก็เป็นเพื่อนของน้องด้วยนะคะ น้องก็ช่วยเขาเก็บสตรอเบอรี่บ่อย ๆ เหมือนกันค่ะ”
ซูตานหงเข้าใจก่อนยิ้มพลางลูบหน้าลูกชาย “เหรินเหรินของแม่มีเพื่อนแล้วสินะเนี่ย”
เจ้าตัวน้อยยิ้มตอบอย่างเขินอาย
“ไหนพาแม่ไปหาคุณย่าหน่อยสิจ๊ะ” เธอบอก
“ตามผมมาเลยครับ” เขารับคำ
ซูตานหงจึงปล่อยให้เขาเดินนำทางไป
ทางบนภูเขาเดินง่ายเพราะปูถนนไว้แล้ว และบอกทิศทางไว้ชัดเจนจนแม้แต่เหรินเหรินยังจำได้
คุณแม่จี้กำลังง่วนอยู่กับสวนสตรอเบอรี่เพราะตอนนี้เป็นหน้าฤดูกาล หลังจากที่ชิมผลผลิตเมื่อปีก่อนแล้วเห็นว่าหวานอร่อยมากจึงเอามาปลูกเพิ่ม ปีนี้นางถึงได้ยุ่งจนหัวหมุนทุกวัน
ข้าง ๆ กันเป็นสวนแตงโมซึ่งมีคนงานคอยดูแลอยู่เช่นกัน นอกจากนี้นางยังปลูกแครอทอีกด้วย ส่วนสตรอเบอรี่นั้นนางให้พวกเด็ก ๆ มาช่วยเก็บแล้วให้ไข่หรือเงินตอบแทนค่าเหนื่อย รวมถึงสตรอเบอรี่ที่เอาให้พวกเขากินเป็นประจำ
ถึงจะเป็นอย่างนั้นนางก็ยังคงยุ่งอยู่ไม่น้อย
“คุณแม่ไม่ต้องทำเยอะขนาดนี้ก็ได้นะคะ ถ้าจ้างคนงานชั่วคราวเพิ่มมาช่วยก็คงไม่ได้แพงมาก จะได้ไม่เหนื่อยมากด้วย ไม่ดีเหรอคะ?” ซูตานหงทนเห็นแบบนั้นไม่ได้จึงเอ่ย
“ไม่ล่ะ แม่จัดการเองได้ เธอไม่ต้องเป็นห่วงนะ” นางบอก
แค่คนงานประจำก็เสียค่าแรง 30 หยวนต่อเดือนแล้ว ส่วนคนงานนอกเวลาก็มาช่วยแค่ชั่วคราว เมื่อคิดว่าต้องจ่ายให้คนงานประจำมากขนาดนั้น นางก็ไม่คิดจะจ้างคนอื่นเพิ่มอีก
ซูตานหงเองก็รู้จักนิสัยของนางดี แม้ว่ามันจะทำให้ลำบากแต่นางก็มีเจตนาดี เธอจึงไม่ได้ออกความเห็นอะไรมาก
“แล้วที่บ้านมีเงินพอใช้หรือเปล่า?” คุณแม่จี้ถามขึ้น
เมื่อก่อนนางจะไม่ค่อยถามเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ก็จะแค่ถามเฉย ๆ เพราะเคยยากจนมาก่อน ถามไปจะช่วยอะไรได้กันล่ะ?
ผิดกับตอนนี้ นางมีรายได้ค่อนข้างมากตั้งแต่เมื่อปีก่อนมาจนถึงปีนี้ ทั้งที่ปีนี้ขายแค่สตรอเบอรี่เท่านั้น หลังแบ่งกำไรให้ซูตานหง เงินที่เหลือก็เป็นของนางทั้งหมด อาจจะไม่กี่ร้อยหยวนแต่ก็ทำให้นางกล้าถามเรื่องพวกนี้ขึ้นแล้ว
หากขาดเหลืออะไรนางก็พร้อมจะให้หยิบยืมเสมอ
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ที่บ้านไม่ได้ขัดสนอะไร” ซูตานหงยิ้มให้
“ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกฉันนะ ฉันเองก็มีติดบ้านอยู่บ้าง” คุณแม่จี้บอกขณะยิ้มตอบ
“ถ้าถึงตอนนั้นฉันจะไปพึ่งคุณแม่แล้วกันนะคะ” ซูตานหงพยักหน้ารับ
คุณแม่จี้คัดแยกสตรอเบอรี่พลางบอกขึ้น “ตอนนี้ฉันกังวลนิดหน่อยว่าสวนบนเขาลูกโน้นจะปลูกอะไรขึ้นหรือเปล่าน่ะ”
เด็ก ๆ เก็บสตรอเบอรี่มากองรวมกันไว้แล้ว นางต้องมานั่งคัดสตรอเบอรี่ที่เด็ก ๆ เก็บมาอีกครั้ง บางลูกที่เล็กและไม่สวยจะถูกแยกออกไปแจกให้เด็ก ๆ ส่วนลูกที่สวยจะถูกเอาไปขาย
“ปลูกได้อยู่แล้วค่ะ” ซูตานหงตอบ
เมื่อคุณแม่จี้ได้ยินอย่างนั้นก็เผยรอยยิ้ม มองหน้าลูกสะใภ้ด้วยปลื้มใจ และเอ่ย “ถ้าไปรอดจริง ๆ ต่อไปเหรินเหรินกับฉีฉีก็คงจะมารับช่วงดูและต่อได้”
ในเมื่อลูกสะใภ้บอกว่าไม่มีปัญหาออกมา และมั่นใจว่าจะไปรอด นางจึงนึกโล่งใจขึ้นมา
สวนนี้ของเจี้ยนอวิ๋นเองก็ได้ตานหงมาช่วยดูแล พลังแห่งปีศาจจิ้งจอก*ในตัวเธอช่างแข็งแกร่งนัก!
*สัตว์ในตำนานจีน เชื่อว่าเป็นผู้ที่มอบความรู้ให้หญิงสาวคนหนึ่งจนทำให้เอาชนะกองทัพได้ สื่อว่าเป็นผู้หญิงเก่งเหมือนมีปีศาจจิ้งจอกมาสอน
“ส่วนเรื่องที่สองพี่น้องจะทำอะไรต่อไปนั้นเป็นเรื่องในอนาคตค่ะ เจี้ยนอวิ๋นกับฉันอยากจะดูแลสวนนี้ไปจนแก่เองมากกว่า” ซูตานหงยิ้ม
เธอเคยตามหงเจี่ยไปเผชิญโลกภายนอกแต่ก็ไม่ได้นึกสนใจนัก กลับอยากจะอยู่ดูแลสวนในหมู่บ้านนี้กับเจี้ยนอวิ๋นมากกว่า
คุณแม่จี้บอกอย่างพึงพอใจ “ตอนนี้ก็พ้นช่วงอยู่ไฟแล้ว ไปไหนมาไหนได้สะดวกแล้วก็แวะไปหาแม่ทูนหัวของเหรินเหรินหน่อยสิ หล่อนเป็นผู้หญิงที่ทั้งฉลาดและคล่องแคล่ว สนิทกันไว้ก็ดี”
แม่ทูนหัวของเหรินเหรินคือเจินเหมียวหงหรือหงเจี่ย เมื่อครั้งที่ซูตานหงคลอดหล่อนนก็ขับรถเอาของจากเมืองมหาวิทยาลัยมาให้หลายอย่าง รวมถึงนมผง ผ้าอ้อม และนมธัญพืชบำรุงด้วย หล่อนเรียนขับรถเมื่อปีที่แล้วก่อนจะสอบใบขับขี่ผ่าน ตอนนี้คิดจะไปที่ไหนก็ทำได้ตามใจ
“พี่หงเป็นหญิงแกร่งจริง ๆ ค่ะ” ซูตานหงพยักหน้าเห็นด้วย
ร้านปักฝ้าในเมืองของเจินเมียวหงยังเปิดอยู่ แม้ว่าตอนนี้หล่อนจะไม่ได้ปักผ้าเองบ่อยนัก แต่ก็จ้างคนมาทำแทน ส่วนหล่อนก็แวะไปดูร้านแค่เดือนละไม่กี่ครั้ง
ซูตานหงเองก็อยากแวะไปหา เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าจะเจอหรือเปล่า ครั้งก่อนที่อีกฝ่ายมาหาก็บอกว่าสามีได้เลื่อนตำแหน่งเลยต้องย้ายไปอยู่จังหวัดอื่น
วันต่อมาเธอจึงลองพาลูก ๆ เข้าไปในเมือง
เจินเมียวหงไม่อยู่อย่างที่คาดไว้ ซูตานหงจึงได้แต่ยกสตรอเบอรี่ที่เอามาฝากให้เด็กสาวที่แวะมาที่ร้านเอากลับไปกินที่บ้านแทน ก่อนจะพาลูก ๆ ไปร้านพี่รอง
“ตานหงเหรอ?”
หลังพี่สะใภ้รองซูเดินไปส่งลูกค้าก็เห็นเธอเข็นรถเข็นเด็กมาแต่ไกล เหรินเหรินนั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนฉีฉีหลับอยู่ด้านหลัง
ไม่ต้องบอกเลยว่าหล่อนชื่นชอบตานหงขนาดไหน หล่อนคอยดูแลร้านทุกวันแต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาหานานแล้ว จึงดีใจที่ได้เจอกันไม่น้อย
“สวัสดีค่ะ พี่สะใภ้รอง”
ซูตานหงส่งยิ้มและก้มศีรษะทักทาย ตั้งแต่ที่สะใภ้รองซูย้ายมาอยู่ในเมืองก็มีบุคลิกเปลี่ยนไป
“ทำไมถึงได้มีเวลาเข้าเมืองมาหากันได้ล่ะ?” หล่อนถามอย่างมีความสุขก่อนจะคว้าเหรินเหรินไปกอด “เหรินเหริน จำป้าได้ไหมจ๊ะ”
“ป้ารอง” เจ้าตัวน้อยขานรับทันที
เขาจำได้อย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะจำทั้งคุณลุงใหญ่และคุณลุงรองได้ โดยเฉพาะคุณลุงรองที่พูดถึงคุณป้ารองและพี่น้องคนอื่น ๆ ให้เขาฟัง
“เก่งมากจ้ะ เดี๋ยวป้าจะล้างสตรอเบอรี่ให้กินนะจ๊ะ” สะใภ้รองซูยิ้มกว้าง
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เด็ก ๆ เริ่มโตแล้ว ขอให้น่ารักแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เลยนะคะ
ไหหม่า(海馬)