ตอนที่ 155 เชื่อในเซียนจิ้งจอกเท่านั้น
ซูตานหงเพิ่งได้เริ่มเตรียมอาหารกลางวันหลังจากกลับมาถึงบ้าน ส่วนฉีฉีที่ออกไปเที่ยวเล่นตลอดทั้งเช้า ตอนนี้ผล็อยหลับไปแล้ว
เมื่อพาเจ้าตัวเล็กเข้านอน เธอจึงเริ่มเตรียมมื้อเที่ยงให้ครอบครัว
อาหารมื้อนี้ประกอบไปด้วยซุปปลาจี้ หมูสามชั้นน้ำแดง ผักกวางตุ้งผัดน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีโจ๊กเม็ดบัวใส่เนื้อไม่ติดมันที่เตรียมไว้สำหรับเหรินเหริน ทุกอย่างใกล้จะเสร็จแล้ว
ขณะที่จี้เจี้ยนอวิ๋นกับเหรินเหรินกลับจากบนภูเขา สองพ่อลูกได้กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งทันทีที่เข้าบ้าน
ท้องของจี้เจี้ยนอวิ๋นส่งเสียงร้องดังโครกคราก เมื่อเหรินเหรินได้ยินจึงมองไปที่ท้องของเขา พร้อมทำเสียงเลียนแบบและยิ้มล้อเลียนผู้เป็นพ่อ
“กล้าล้อเลียนพ่อเหรอเจ้าตัวเล็ก?” จี้เจี้ยนอวิ๋นมองลูกชาย
เหรินเหรินไม่กลัวคุณพ่อผู้ใจดี เขาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “แม่เตรียมอาหารไว้แล้ว พ่อกินสิครับ”
“พ่อจะกินกับเหรินเหรินนะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มให้กับความน่ารักของลูกชาย
หลังจากเหรินเหรินพาเขาไปล้างหน้า ล้างมือเสร็จ สองพ่อลูกก็เข้ามาในครัว ซึ่งอาหารถูกจัดขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
“หิวหรือยังคะ? กินข้าวได้แล้วค่ะ” ซูตานหงพูด
“ฉีฉีหลับอยู่เหรอครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยถามถึงลูกชายคนเล็ก
“ใช่ค่ะ” ซูตานหงพยักหน้า มองดูสามีที่เดินเข้าไปดูลูกน้อยในห้อง ก่อนจะกลับออกมากินอาหาร
“มีต้าเฮยคอยเฝ้าบ้าน ใครจะเข้าไปได้คะ?” ซูตานหงพูดให้สามีวางใจ
ทุกวันนี้ต้าเฮยตัวโตราวกับลูกวัว แม้ว่ามันจะไม่มีทักษะการต่อสู้แบบจี้เจี้ยนอวิ๋น แต่ก็ทำให้เขาเหนื่อยได้ไม่น้อย ในสายตาของพวกเขา ยังจะมีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของต้าเฮยได้อีกหรือ? แค่มันตัวเดียวก็สามารถล้มชายสามคนได้อย่างง่ายดาย
อีกอย่างเธอเองก็ยังอยู่ในบ้าน
“ผมไม่เห็นเจ้าลูกชายตั้งแต่เช้า เลยคิดถึงเขาน่ะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกเหตุผล
ซูตานหงยิ้ม พร้อมกับป้อนโจ๊กให้เหรินเหริน เด็กน้อยนั่งกินโจ๊กอย่างเชื่อฟัง
จี้เจี้ยนอวิ๋นเริ่มลงมือกินอาหารก่อนจะพูดขึ้น “ปีนี้เหรินเหรินน่าจะฝึกกินเองได้แล้ว”
“ครับ” เหรินเหรินพยักหน้าอย่างจริงจัง
ซูตานหงบอกสามีเรื่องที่ไปคุยกับเหอเจี่ยในวันนี้ “เหอเจี่ยเห็นด้วยกับเรื่องนี้ค่ะ แต่พี่ใหญ่ซุนคงต้องคิดให้ละเอียดอีกสักหน่อย คงรอให้คุณจัดตั้งร้านเสร็จแล้ว เขาถึงจะตอบรับทันทีอย่างไม่ลังเล”
“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น” จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่คัดค้าน
นี่ไม่ได้หมายความว่าซุนต้าซานไม่เชื่อใจเขา แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ งานของซุนต้าซานถือว่าเป็นรายได้หลักของครอบครัว
หากเป็นตัวเขาเองก็คงไม่ลาออก จนกว่าจะมั่นใจว่าได้งานใหม่แล้วแน่นอน
สำหรับผู้ชายที่แต่งงานแล้ว เรื่องหน้าที่การงานของเขาไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่ยังเกี่ยวพันไปถึงครอบครัวที่อยู่ข้างหลังอีกด้วย
“ผมคุยกับพ่อแล้วนะครับ วันพรุ่งนี้ผมจะไปในเมืองมหาวิทยาลัยกับเขา” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอกนะคะ บนภูเขายังมีงานให้ทำอีกเยอะ” ซูตานหงพูด
ตอนนี้ในสวนปลูกต้นกล้าเชอร์รี่เสร็จแล้ว แต่ต้นกล้าผลไม้ชนิดอื่น ๆ ยังไม่ได้ลงปลูก
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณลุงไปเถอะครับ เขาช่วยผมดูแลได้เป็นอย่างดี” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ
ความจริงแล้วต่อให้ไม่มีการควบคุมดูแล แต่หวังต้ากัง สวี่เจี้ยนกั๋ว และหยางอ้ายเซินจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปลูกต้นกล้าผลไม้ให้เขา เนื่องจากเขาได้ให้สัญญาว่าจะให้คุณลุงจี้เป็นคนคอยดูแลพวกมัน
“เงินพอไหมคะ? ตอนนี้ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองมหาวิทยาลัยสูงขึ้นมาก” ซูตานหงเอ่ยถาม
เงินที่พี่รองซูยืมไปยังไม่ได้รับคืน ภายหลังเหล่าฉินยังมาขอยืมเงินจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อต้นกล้าผลไม้ไปปลูกที่สวน ทั้งหมดนี้ต้องจ่ายเงินไปเป็นจำนวนมาก
“พอครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า
ที่เขากล้าวางแผนจัดตั้งร้านในเมืองมหาวิทยาลัยเพื่อทำธุรกิจของตัวเอง นั่นเพราะว่าเขามีเงินอยู่แล้ว หากไม่มีเงินคงไม่คิดทำอะไรมาก แต่เมื่อมีเงินอยู่บ้างจึงอยากลงทุน
ซูตานหงที่ฟังเงียบ ๆ จึงพูดขึ้น “ร้านนี้จะให้เหอเจี่ยกับครอบครัวอยู่อาศัยได้แค่ชั่วคราวเท่านั้นนะคะ หลังจากนี้ถ้าพวกเขาลาออกก็ค่อยให้ย้ายไป”
เธอเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการให้ญาติเข้ามาพักอาศัยอยู่ในบ้าน แต่นานวันเข้าความสัมพันธ์อันดีระหว่างญาติทั้งสองก็ค่อย ๆ เสื่อมถอยลง
ครอบครัวนั้นต้องการใช้บ้านจึงอยากทวงคืน แต่ญาติกลับไม่ยินยอม ทั้งยังด่าว่าพวกเขาไร้มโนธรรมและไม่ยอมจ่ายค่าเช่าบ้าน จากที่เคยคิดค่าเช่าในราคาถูก จากนั้นจึงต้องขึ้นราคา!
แม้เหอเจี่ยจะเป็นคนดีมีเหตุผล แต่เรื่องนี้ควรตกลงกันก่อน ถึงอย่างไรก็อย่าเพิ่งรีบเชื่อมั่นในจิตใจของมนุษย์ ไม่ถือว่ามากไปนักหากจะพูดเรื่องนี้ในทันที
ดังนั้นสิ่งที่ควรพูดให้ชัดเจนคือร้านค้าซื้อโดยครอบครัวของเธอ ในตอนนี้เหอเจี่ยสามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้ แต่ถ้าลาออกจากงานนี้แล้วก็ต้องย้ายออกเพราะร้านยังต้องขยายและสร้างใหม่
“ผมจะจัดการเรื่องนี้เองครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกกับภรรยา
ซูตานหงรู้ถึงความสามารถในการจัดการสิ่งต่าง ๆ ของเขา จึงไม่กังวลใจ
หลังจากกินมื้อกลางวันเสร็จ เธอก็ให้จี้เจี้ยนอวิ๋นช่วยกล่อมเหรินเหรินกับฉีฉี ส่วนตัวเองออกมาทำความสะอาดในห้องครัว จากนั้นจึงกลับไปให้นมฉีฉีอีกครั้ง
จี้เจี้ยนอวิ๋นงีบหลับไปครึ่งชั่วโมง เมื่อตื่นแล้วก็มุ่งหน้าไปบนภูเขา เนื่องจากวันพรุ่งนี้ต้องทำงานบนภูเขาแต่เช้า ตอนนี้จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม
ไข่ไก่ต้องเก็บไว้อย่างดี ไก่เป็น ๆ และสตรอเบอรี่ก็ต้องนำไปขายด้วย
แต่ครั้งนี้เขามีแผนจะไปหาซื้อร้านค้า จึงไม่คิดจะเอาของไปขายเพิ่ม
เดิมทีหากต้องการหาซื้อที่ ให้เจินเหมียวหงช่วยจัดการจะสะดวกกว่ามาก เนื่องจากญาติของหล่อนเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็คุ้นเคยอยู่บ้าง หลังจากไปซื้อที่มาหลายครั้ง เขาเคยตระเวนดูพื้นที่ใกล้เคียงหลายแห่ง โดยตระหนักในใจว่าไม่อยากรบกวนเจินเหมียวหง เนื่องจากตอนนี้หล่อนเองก็งานยุ่งมาก
คุณพ่อจี้จุดบุหรี่มวนใหญ่ขึ้นมาสูบ ก่อนจะเอ่ยถาม “จะซื้อร้านในเมืองมหาวิทยาลัย ต้องใช้เงินอย่างน้อย 5,000 หยวนนะ มีเงินพอใช่ไหม?”
เมื่อคุณแม่จี้ได้ยินดังนั้นจึงพูดขึ้นมาด้วยความงุนงง “เจี้ยนอวิ๋นจะไปซื้อร้านในเมืองมหาวิทยาลัยเหรอ?” นางไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“ใช่ครับ เราไม่สามารถตั้งแผงลอยเหมือนที่ผ่านมาได้ตลอดหรอกนะครับ หากซื้อที่แถวนั้นได้ ต่อไปเราก็สามารถขนสินค้าไปขายที่ร้านโดยตรง เป็นวิธีที่สะดวกมาก”
“ปกติพวกเธอก็ขายดีอยู่แล้ว จำเป็นต้องไปซื้อร้านในตัวเมืองมหาวิทยาลัยด้วยเหรอ? นี่มันใช้เงินเยอะเกินไปจริง ๆ” คุณแม่จี้กล่าว
“มันต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเดินทางไปถึงที่นั่นล่ะครับ? ในอนาคตถ้าเรามีร้านอยู่ตรงนั้นเลย สามารถเปิดขายของได้ทุกวัน ผลผลิตของเราเองก็คุณภาพดีมาก ยังไงก็ไม่ขาดทุนหรอกครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นอธิบาย
“แต่ถ้าไปเปิดร้านอยู่ตรงนั้น ลูกจะให้ใครไปดูแลล่ะ?” คุณแม่จี้ยังคงไม่วางใจ
“ผมมีคนแล้วครับ” จี้เจียนอวิ๋นพยักหน้า
“คุณจะถามอะไรเยอะแยะ ถามเรื่องที่มีประโยชน์บ้างเถอะ” คุณพ่อจี้ขมวดคิ้ว
คุณแม่จี้จึงเถียงกลับไป “ไม่ใช่ว่าฉันกลัวเจี้ยนอวิ๋นจะเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์รึยังไง?”
“เจี้ยนอวิ๋นเคยทำธุรกิจขาดทุนตอนไหนกัน?” คุณพ่อจี้กล่าวยกยอลูกชาย
จู่ ๆ คุณแม่จี้ก็นึกบางอย่างได้ จึงเอ่ยถามขึ้น “ตานหงรู้เรื่องที่ลูกจะไปซื้อร้านค้าด้วยไหม?”
“ตานหงรู้ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้าตอบ
“แล้วตานหงได้บอกรึเปล่าว่าเธอจะทำได้หรือไม่ได้?” คุณแม่จี้รีบถามต่อ
จี้เจี้ยนอวิ๋นหัวเราะด้วยความขบขัน เมื่อรู้ว่าแม่ของเขาหมายความว่าอย่างไร “แม่ครับ ตานหงเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เธอบอกว่าร้านนี้จะทำเงินได้เยอะแน่นอนครับ”
เขาเดาว่าแม่ของเขาคงเชื่อในเซียนจิ้งจอกเท่านั้น
เมื่อภรรยาของเขาเห็นดีเห็นงามด้วย คุณแม่จี้จึงโล่งใจมากขึ้น “ดีแล้ว ๆ ถ้าอยากซื้อก็ซื้อร้านใหญ่ ๆ ไปเลย ครอบครัวของเรามีสินค้าเยอะแยะ ไหนจะภูเขาด้านข้างเพิ่มมาอีก จะได้ไม่เสียดายทีหลัง ใช่ไหม?”
หากลูกสะใภ้บอกว่าสามารถทำเงินได้ อย่างนั้นก็ต้องทำร้านให้ใหญ่ขึ้นอีก!
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ต้องบอกว่าเป็นความคิดของเซียนจิ้งจอกถึงจะยอมเชื่อนะแม่จี้ ๕๕๕
ไหหม่า(海馬)