ตอนที่ 161 จบปัญหาความขัดสนและไม่เท่าเทียม
เดิมทีหงเจี่ยยังไม่คิดจะเข้านอน แต่ด้วยทนเวียนหัวไม่ไหวจึงหลับไปหลายชั่วโมง
ซูตานหงรินน้ำให้พลางบอกพร้อมรอยยิ้ม “ครั้งหน้าก็อย่าเออออห่อหมกไปกับเจี้ยนอวิ๋นนักสิคะ พวกผู้ชายก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น”
หงเจี่ยมีท่าทีไม่คิดมาก “พี่กับสามีก็ชอบดื่มกันทั้งคู่อยู่แล้ว ไว้ครั้งหน้าจะเอามาฝากสักขวด ของนอกเชียวนะ รับรองว่าต้องชอบแน่!” ว่าจบหล่อนก็เงียบไป
แม้ว่าจะวางแผนเปิดห้างไว้แล้ว หากแต่การนำเข้าของจากต่างประเทศก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องระวัง
ซูตานหงเผยยิ้ม
เธอให้อีกฝ่ายไปล้างหน้าล้างตา เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงพาขึ้นไปดูสวนพร้อมลูก ๆ
“ยิ่งได้เห็นสวนของเธอก็ยิ่งชอบนะเนี่ย” หงเจี่ยบอกอย่างตื่นเต้น
ดูต้นผลไม้พวกนี้สิ ช่างเขียวชอุ่มน่ามองยิ่งนัก และยังมีผลอ่อนเล็ก ๆ ที่ขึ้นอยู่เต็มต้นอีก บ่งบอกได้ว่าการเก็บเกี่ยวครั้งนี้จะต้องอุดมสมบูรณ์แน่ ๆ
“เดือนหน้าถึงจะเก็บเชอร์รี่ได้ พี่ก็แวะมาสิคะ ฉันจะเก็บเอาไว้ให้” ซูตานหงบอก
“เชอร์รี่ก็อร่อยดีนะ คนในบ้านก็ชอบกินด้วย งั้นพี่ขอไม่เกรงใจแล้วกันนะ” หงเจี่ยเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ไม่เห็นต้องเกรงใจเลยค่ะ เจี้ยนอวิ๋นก็ปลูกเชอร์รี่ที่สวนข้าง ๆ อีกที่ตั้งเยอะ อีก 2 ปีก็น่าจะเก็บเกี่ยวได้แล้วล่ะค่ะ” ซูตานหงกล่าว
“เขามองการณ์ไกลดีนะ มีเชอร์รี่หลาย ๆ พันธุ์ไว้ขายก็ดีเหมือนกัน” อีกฝ่ายออกปากชม “ว่าแต่ที่นี่มีน้ำผึ้งเหลือบ้างไหม? ขวดที่เธอให้พี่กับสามีพี่ไปคราวที่แล้วพวกผู้ใหญ่ก็ชอบกินกันจนไม่รู้ว่าหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่เลยล่ะ”
“มีอยู่ค่ะ เดี๋ยวพี่เอากลับไปลองกินดูนะคะ น่าจะกินได้เป็นเดือน แล้วจะรู้ค่ะว่าน้ำผึ้งของฉันอร่อยขนาดไหน” ซูตานหงบอกพลางยักคิ้วให้อีกฝ่าย
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?” หงเจี่ยพูดแบบนั้นเพราะยังไม่เคยลองชิม
ซูตานหงยิ้มรับ
น้ำผึ้งของเธออร่อยมาก มีผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่งในตระกูลจี้ที่เป็นญาติห่าง ๆ แต่มีบรรพบุรุษร่วมกันเคยได้ลิ้มรสมัน
เขาเจ็บคอเรื้อรังมานานแล้ว ภายหลังเมื่อหลานชายมาซื้อน้ำผึ้งไปผสมกับมะนาวให้จิบกิน อาการเจ็บคอก็ดีขึ้นมาก
หลังข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป บางคนก็ไม่เชื่อ ในขณะที่บางคนก็เชื่อ เป็นธรรมดาที่คนเหล่านี้จะพยายามมาหาซื้อกลับไปลองกิน ด้วยเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หากแต่น้ำผึ้งจากสวนเธอก็ไม่ได้ราคาถูกนัก
ถึงอย่างไรลูกค้าในหมู่บ้านก็มีจำกัดเพราะลูกค้าหลักคือคนที่อยู่ในเมืองมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว
ซูตานหงไปหยิบกามาก่อนมอบหมายให้เหรินเหรินนำน้ำวิเศษไปรดน้ำต้นผลไม้ เขากระตือรือร้นกับงานนี้มาก มือก็คว้ากาเล็ก ๆ ขณะที่ขาสั้น ๆ ก็เดินไปรดน้ำต้นไม้ทีละต้น
“ตอนนี้ก็มีเล้าไก่ใหญ่ขึ้นแล้วน่ะสิ” หงเจี่ยเดินตามเธอไปดูเล้าไก่และพูดขึ้น
“ก็ใหญ่ขึ้นนิดหน่อยค่ะ แต่ไม่ได้มากเท่าไหร่ ต้องไปสร้างที่สวนข้าง ๆ เพิ่มสักเล้าสองเล้า” ซูตานหงบอก
“ถ้าห้างในเมืองเปิดแล้วจะเอาไปขายที่นั่นก็ได้นะ” อีกฝ่ายแนะ
“ถ้าอย่างนั้นฉันกลัวว่าจะมีไม่พอให้ที่นี่กินน่ะสิคะ” ซูตานหงมองหน้าหงเจี่ยและถามขึ้น “พี่มีอะไรแนะนำบ้างหรือเปล่าคะ?”
“ก็ไม่เชิงข่าววงในหรอกนะ แค่ได้ยินมาว่าลูกหลานตระกูลใหญ่กำลังไปดูงานที่ต่างประเทศน่ะ โรงงานในเมืองก็เริ่มผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ตอนนี้เลยเปิดรับคนงานเยอะเลย ถ้าเป็นอย่างนี้รายได้ของห้างเราที่อยู่แถวนั้นก็จะมากขึ้นด้วย กิจการก็คงจะไปได้สวย” พี่หงบอก
“พี่หง ขอถามตรง ๆ เลยนะคะ หากจะซื้อห้างต้องใช้เงินเท่าไหร่เหรอคะ?” ซูตานหงถาม
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอกน่า เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องนี้เอง” หงเจี่ยรู้ว่าพวกเขาเพิ่งซื้อร้านในเมืองมหาวิทยาลัย แล้วจะไปหาเงินมากมายมาจากไหนกัน?
หลังจากห้างเปิด หล่อนก็คงต้องรบกวนสองสามีภรรยาช่วยบริหารจัดการให้ อีกทั้งยังไม่ไว้ใจให้คนอื่นมาดูแลห้างใหญ่ขนาดนี้
การขยายกิจการไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถึงอย่างไรตอนนี้กิจการก็เป็นไปได้ราบรื่นดีด้วย
“ฉันจะกลับไปปรึกษาเรื่องนี้กับเจี้ยนอวิ๋น แล้วจะให้คำตอบพี่หงให้เร็วที่สุดเลยค่ะ” ซูตานหงให้คำมั่น
“ได้สิ ไม่ต้องกังวลไปหรอก” อีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้
หงเจี่ยกลับไปช่วงเย็นโดยไม่ได้อยู่กินข้าวด้วยกัน จี้เจี้ยนอวิ๋นให้น้ำผึ้งไป 5 ขวด รวมแล้วกว่า 2 ชั่ง พร้อมดอกเก๊กฮวยของโปรดหล่อนไปอีก 2 ตะกร้าใหญ่
เดิมทีซูตานหงจะให้เอาไก่กับไข่กลับไปด้วย แต่หล่อนก็ยืนกรานปฏิเสธว่าถ้าทำอย่างนั้นจะไม่แวะมาหาอีก
เพราะแค่ของที่หล่อนได้มาก็นับได้ว่าแพงแล้ว ซูตานหงกลับไม่ได้คิดเงินแต่อย่างใด
ซูตานหงยิ้มให้และไม่ได้รบเร้าหล่อนอีก ก่อนจะบอกให้สามีไปส่งหล่อนกลับบ้าน
เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมา ซูตานหงก็ปรึกษากับเขาเรื่องเปิดห้าง
“ผมว่าห้างนี้คงราคาไม่ถึง 10,000 หยวนหรอก” เขาว่าขึ้น พื้นที่ก็ไม่ได้เล็กมาก ส่วนการตกแต่งก็สวยงาม ต่อให้ขาย 10,000 หยวนก็ยังถือว่าคุ้มค่า
“คุณจะหุ้นกับพี่หงเปิดห้างจริง ๆ เหรอคะ” เธอสบตาเขาพลางถาม
เขามุ่นคิ้วไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับและเอ่ย “คุณเองก็คิดว่าห้างนี้ไม่ได้แย่นักนี่”
แน่นอนว่าเขาก็คิดเช่นเดียวกัน เขาไม่เคยคิดการใหญ่ขนาดนี้มาก่อน แต่ถ้ามันทำให้ภรรยาและลูกสุขสบายได้ก็คงจะดี แต่ตอนนี้เธอกลับขอให้เขาทบทวนอีกครั้ง ดูจากนิสัยของเธอก็พอรู้ว่าคงอยากมีลูกอีกคน แล้วคนเป็นพ่ออย่างเขาจะไม่ปูทางให้ลูก ๆ ได้อย่างไรกัน?
แม้ว่าตอนนี้จะมีสวนผลไม้สองที่แล้วก็ยังไม่พอหรอก จะเอาไข่ใส่ตระกร้าเดียวกัน*ได้อย่างไรกันล่ะ?
*การทำอะไรก็ตามควรจะกระจายความเสี่ยง
“อย่างนั้นก็ลงทุนแค่ 2,000 หยวนพอนะคะ ไม่ต้องมีหุ้นมากก็ได้ ขอแค่กิจการประสบความสำเร็จก็พอ ส่วนเรื่องพื้นที่ก็ปล่อยให้พี่หงจัดการไปเถอะค่ะ แค่รอรับปันผลก็พอแล้ว” เธอบอก
“ตามนั้นเลยครับ” เขายกยิ้มกว้าง
“แต่ว่าคุณงานยุ่งนี่คะ ถ้าไม่จ้างคนเพิ่มก็ต้องเทียวขนสินค้าไปมา พี่ใหญ่กับพี่รองอยากเรียนขับรถอยู่แล้ว ให้มาช่วยดีไหมคะ? คุณก็ออกค่าเรียนแล้วให้พวกเขามารับหน้าที่ส่งของก็ได้ค่ะ”
ตอนนี้มีห้างเพิ่มมาอีกที่ จะจ้างญาติมาทำงานให้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“ผมว่าจะให้พี่รองขับรถส่งของครับ ส่วนพี่สะใภ้คุณจะให้เธอไปดูแลลูกค้าในห้างก็ได้ แบบนั้นก็ลงตัวพอดีเลยครับ” เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ย
ส่วนจี้เจี้ยนเหวินนั้นไม่มีอะไรให้พวกเขาต้องเป็นห่วงแล้ว ถ้าคิดจะช่วยพี่น้องก็ต้องทำให้เท่าเทียม ไม่อย่างนั้นก็จะผิดใจกันเสียเปล่า ๆ
เมื่อก่อนเขาถึงไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไร
หากแต่ตอนนี้มีตำแหน่งว่างสำหรับทุกคน พี่น้องก็คงไม่มีเรื่องให้ต้องทะเลาะกันอีก
ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว เย็นป่านนี้พวกพี่ ๆ คงอยู่บ้านกันเขาจึงออกไปคุยให้เรียบร้อย
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ทีนี้ก็ไม่ต้องแก่งแย่งกันแล้ว ใครจะได้ทำงานตำแหน่งไหนบ้างนะ
ไหหม่า(海馬)