ตอนที่ 183 คุณแม่ซูจอมลำเอียง
ย้อนกลับมากล่าวถึงคุณแม่ซูอีกครั้ง
เมื่อมาถึงบ้านลูกเขยแล้ว นางก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี
จี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นว่านางมาเยี่ยมจึงนำอวนออกไปจับปลา โดยวางแผนว่าจะจับปลาสด ๆ สัก 2 ตัวมาให้นางกิน
ความจริงแล้วคุณแม่ซูควรจะกลับบ้านในตอนเย็น เพราะนางไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนเลยสักชุด แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็อาสาขับรถไปขนสัมภาระของนางมาให้ และขอให้สะใภ้ใหญ่ซูช่วยจัดเตรียมเสื้อผ้าหลาย ๆ ชุด เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการให้แม่ของภรรยามาอยู่ค้างที่บ้านด้วยสัก 2-3 วัน
ซูตานหงเองก็พอใจกับการปฏิบัติตัวของสามีเช่นกัน
“แกเองก็อย่าปล่อยให้เขาดูแลจนเคยตัว ของแบบนี้ต้องทำด้วยกันทั้งสองฝ่าย อย่าเห็นว่าเจี้ยนอวิ๋นใจดีแล้วทำยังไงก็ได้ ได้ยินรึเปล่า?” คุณแม่ซูที่ใจลำเอียงไปนานแล้ว เริ่มสั่งสอนลูกสาวเป็นการส่วนตัว
ซูตานหงที่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงรีบแย้ง “แม่คะ หนูทำแบบนั้นที่ไหนกัน แม่ไม่เห็นเหรอคะว่าหนูดูแลครอบครัวนี้ยังไง?”
ทุกวันหลังจากตื่นนอน เธอไม่เพียงแต่อาบน้ำแต่งตัวให้ลูกชายทั้งสอง แต่ยังเตรียมอาหารให้คนในครอบครัวและทำความสะอาดบ้านอีกด้วย ทั้งหมดนี้ยังไม่ดีอีกหรือ?
“แค่นี้จะนับเป็นอะไรได้? ถ้าแกไม่ได้แต่งงานกับเจี้ยนอวิ๋นจะมีชีวิตที่ดีอย่างนี้ได้เหรอ?” คุณแม่ซูพูดขึ้นหลังจากได้ยินคำโต้แย้งของลูกสาว
ในสายตาของนาง การได้เลี้ยงลูกอยู่บ้านเป็นชีวิตที่ดีงามราวกับนางฟ้าบนสวรรค์ ไม่ต้องออกไปทำงานตากแดดตากลม ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะสุขสบายขนาดไหน
พูดถึงก็ต้องชื่นชมทางฝ่ายแม่ของลูกเขย แม้จะเคยไม่สนิทใจกันมาก่อนก็ตาม
เมื่อก่อนนางรู้สึกขัดหูขัดตาคุณแม่จี้มาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับชื่นชมเป็นอย่างมาก เพราะอีกฝ่ายเป็นคนดีมากจริง ๆ
อย่างเช่นในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลไม้ ทุกคนในสวนต่างทำงานกันอย่างหนัก แต่ลูกสาวของนางไม่เคยต้องลำบากเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าซูตานหงจะพาหลานทั้งสองขึ้นไปบนภูเขา ก็เป็นเวลาเพียงแค่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็กลับมาดูแลลูกชายทั้งสองคน โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วยซ้ำ
ในสายตาของคุณแม่จี้ ลูกสาวของนางคงดูขี้เกียจและน่าอายอยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่าคุณแม่จี้ไม่เคยพูดว่าลูกสาวของนางไม่ดี แม้ว่าตนเองจะไม่ชอบ แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่คนอื่นจะไม่ชอบด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือทั้งเหรินเหรินและฉีฉีต่างก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี หน้าตาล้วนสะอาดสะอ้าน จนดูไม่เหมือนเด็กตามชนบททั่วไป
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่พอจะช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ของซูตานหงอยู่บ้าง ลูกสาวของนางไม่ได้เกียจคร้านหรือไร้ประโยชน์ เพียงแต่เธอมีหน้าที่ต้องดูแลลูกชายให้ดี จึงไม่ได้ออกไปช่วย
นางถึงกับประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าคุณแม่จี้ยอมรับในเรื่องนี้ “เป็นเรื่องปกติ ซูตานหงเหน็ดเหนื่อยมากกับการดูแลเหรินเหรินและฉีฉี หล่อนยังบอกอีกว่าในอนาคตจะสั่งสอนลูกชายทั้งสองคนให้ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย!”
หลังจากพูดจบ คุณแม่จี้ก็ยังบอกกับคุณแม่ซูอีกด้วยว่า “แม่สะใภ้ เธอไม่ต้องกังวลเรื่องความคิดที่ฉันมีต่อตานหงหรอก ฉันรู้นิสัยของตานหงดี หล่อนไม่ใช่คนเกียจคร้าน ตอนนี้สังคมเปลี่ยนไป เงื่อนไขก็เพิ่มมากขึ้น เป็นธรรมดาที่เด็ก ๆ จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างระมัดระวัง อีกอย่างงานพวกนี้ก็มีคนทำ ไม่ต้องใช้งานตานหงหรอก ปล่อยให้หล่อนดูแลเหรินเหรินกับฉีฉีให้ดีก็พอ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่คุณแม่จี้พูด นางก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลจนไม่อาจหาข้อโต้แย้งได้!
ด้วยความคิดนี้ของคุณแม่จี้ คุณแม่ซูจึงเปิดใจและสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากขึ้น
แต่เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว คุณแม่ซูก็ยังต้องสั่งสอนลูกสาวของนางให้ดี
“ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว พวกเราก็ช่างมันเถอะ ถ้าได้กินแต่มันเทศมีเหรอแกจะมีเนื้อมีหนังแบบนี้?” คุณแม่ซูพูดกับลูกสาว
ซูตานหงยิ้ม “แม่คะ ช่วงนี้แม่มาอยู่กับหนูที่นี่ หนูจะให้แม่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้หลาย ๆ วันเลย ”
คุณแม่ซูมองเธอตาเขียว
จี้เจี้ยนอวิ๋นเอาใจใส่แม่ยายเป็นอย่างมาก ในตอนเย็นเขายังพาเธอไปดูสวนบนภูเขาด้านข้างด้วย
คุณแม่ซูรู้ว่าภูเขาด้านข้างตรงนี้เป็นของลูกเขยนางแล้ว ก่อนหน้านี้นางเคยไปที่ภูเขาลูกแรก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มาดูภูเขาลูกนี้
เมื่อมองดูรอบ ๆ นางก็เอ่ยถามขึ้น “ทำไมภูเขาลูกนี้ถึงปลูกเชอร์รี่เยอะแยะเชียว?”
เกือบครึ่งหนึ่งของภูเขาถูกปกคลุมด้วยต้นเชอร์รี่ ซึ่งดูเหมือนว่าจะมากเกินไป
“เชอร์รี่ค่อนข้างขายดีครับ ยิ่งปลูกเยอะยิ่งดี” จี้เจี้ยนอวิ๋นอธิบาย
“นั่นก็จริงนะ” คุณแม่ซูพยักหน้า
เชอร์รี่ที่ลูกเขยของนางปลูกนั้นมีรสชาติหวานกรอบ แม้นางจะชอบกินเนื้อมากกว่าผลไม้ แต่นางก็ชอบเชอร์รี่จากสวนของลูกเขยเป็นพิเศษ
ทุกฤดูกาลเก็บเกี่ยวเชอร์รี่ ลูกเขยของนางมักจะเก็บใส่ถุงและนำไปให้นางกินทันที
หลังจากดูต้นเชอร์รี่แล้ว ก็พบว่าที่นี่ยังมีโรงเลี้ยงหมูและไก่ เหมือนกับสวนผลไม้ที่แรก
โดยเฉพาะโรงเลี้ยงหมูนั้น คุณแม่ซูรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ
“หมูพวกนี้ดูดีเหลือเกิน” คุณแม่ซูไม่ค่อยชอบกลิ่นไม่พึงประสงค์นี้เลย แต่เมื่อเห็นบรรดาหมูอ้วนพวกนี้ นางก็ไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าชื่นชมของตนไว้ได้
คนเป็นชาวนาจะดัดจริตได้มากสักเท่าไรกัน แต่นางรู้ดีว่าลูกสาวของตนถูกดูแลจนนิสัยเสีย ตอนที่นางบอกว่าอยากขึ้นมาบนนี้ ลูกสาวกลับบ่นว่าที่นี่กลิ่นเหม็นเกินไป ให้นางล้มเลิกความตั้งใจเสีย
กลิ่นเหม็นอะไรกัน นี่มันกลิ่นหอมของเงินทั้งนั้น!
“ตอนนี้ผมให้อาหารพวกมันวันละหลายมื้อ เพราะอยากให้โตทันขายในช่วงปีใหม่น่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้ามันยังโตต่อไปแบบนี้ คงทันขายในตอนปีใหม่แน่นอน” คุณแม่ซูเองก็เคยเลี้ยงหมูมาก่อน แต่นางไม่มีเวลาดูแลมันอย่างดีนัก
เนื่องจากบนภูเขาลูกนี้มีคนทำงานอยู่ถึง 4 คน จึงจำเป็นต้องทำความสะอาดโรงเลี้ยงหมู 2 ถึง 3 ครั้งต่อวัน ซึ่งนับว่าสะอาดมาก
“แล้วเรื่องอ่างเก็บน้ำเป็นยังไงบ้าง?” คุณแม่ซูถามขึ้น
“ผมวางแผนว่าจะซื้อลูกปลามาเลี้ยงหลังปีใหม่ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ
“ถ้าอย่างนั้นเธอต้องขุดลอกบ่อน้ำก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะมีปลาตัวใหญ่มากินลูกปลาของเธอจนหมด” คุณแม่ซูแนะนำ
“ผมกำลังรวบรวมคนอยู่ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า
ถึงแม้จะมีคนไปจับปลาในอ่างเก็บน้ำอยู่บ่อยครั้ง แต่ครั้งนี้เขาต้องทำการลอกบ่อครั้งใหญ่ ไม่อย่างนั้นย่อมเป็นไปตามที่แม่ยายบอก หากลูกปลาถูกปลาตัวใหญ่กินจนหมด สุดท้ายจะเหลืออะไร?
เมื่อเห็นว่าเขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว คุณแม่ซูก็ไม่พูดอะไรอีก
“คุณแม่ต้องสอนวิธีดองไข่เค็มให้ผมด้วยนะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม
“ได้สิ หรือว่าจะเป็นเย็นนี้เลย?” คุณแม่ซูเสนอ
“ตกลงครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า
หลังจากเยี่ยมชมสวนที่สองจนพอใจแล้ว คุณแม่ซูก็ปล่อยให้เขาทำงาน ส่วนนางเดินลงจากภูเขาเพียงลำพัง
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ซูตานหงก็พูดขึ้น “หนูบอกแม่แล้วว่าอย่าขึ้นไปแม่ก็ไม่เชื่อ ไปดมกลิ่นกลับมาแล้ว สบายใจหรือยังคะ?”
“ก็สบายใจดีนี่ แกก็ควรขึ้นไปดมกลิ่นนั้นด้วย จะได้รู้ว่ามีความสุขแค่ไหนตอนที่กลับมา” คุณแม่ซูพูดพลางล้างมือ
“แม่คะ แม่แน่ใจใช่ไหมคะว่าหนูเป็นลูกแท้ ๆ ของแม่?” ซูตานหงเอ่ย
“แกเป็นลูกแท้ ๆ ของฉันนี่แหละ แกแค่นิสัยเหมือนพ่อ ตอนที่ฉันยังเลี้ยงหมูอยู่ พ่อของแกก็ไม่ชอบกลิ่นแบบนี้ แต่พอเอาหมูไปขายที่ตลาดจนได้เงินมาก็ยิ้มตาหยีจนมองไม่เห็นลูกกะตา แกมันเจ้าเล่ห์เหมือนเขาไม่มีผิด” คุณแม่ซูดุลูกสาว
“…แม่คะ ทำไมไม่เห็นบอกว่าหนูดูดีขึ้นมาก? สวยกว่าตอนเป็นสาวอีกไม่ใช่เหรอคะ?” ซูตานหงถาม
“ต้องขอบคุณที่แกแต่งงานกับเจี้ยนอวิ๋น ไม่อย่างนั้นแกจะมีโอกาสได้ดูแลตัวเองจนดูดีแบบนี้เหรอ?” คุณแม่ซูยังคงพูดเหมือนเดิม หลังจากกล่าวจบก็ไม่สนใจลูกสาว แต่เดินตรงไปหาหลานชายที่หน้าตาสะอาดสะอ้านทั้งสองคนของนาง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คุณแม่ยายอวยลูกเขยจนลืมลูกสาวไปแล้วค่ะ ๕๕๕ นั่นตานหงลูกแม่ไงจำไม่ได้เหรอ
ไหหม่า(海馬)