ตอนที่ 190 ดูแลครอบครัวเล็ก ๆ ของตัวเอง
“พอดีว่า เอามาให้พ่อกับแม่ของผมด้วยครับ”
จี้เจี้ยนอวิ๋นถือกาน้ำร้อนเข้าไปในบ้าน ก่อนจะถามขึ้น “ตอนนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว คุณลุงอยู่ที่นี่จะชินเหรอครับ?”
ตอนนี้ลุงจี้ขึ้นมาอาศัยอยู่บนภูเขาเป็นหลัก เพียงแค่ลงไปอาบน้ำและกินข้าวที่บ้าน ในบางครั้งก็เฝ้าตรวจตราดูผลไม้
“ชินแล้ว ทำไมจะไม่ชินล่ะ?” คุณลุงจี้พูดด้วยรอยยิ้ม
ผ้านวมและปลอกหมอนที่หลานชายซื้อให้ล้วนเป็นของใหม่ ทั้งยังให้ความอบอุ่นอย่างดี แม้ว่าอุณหภูมิบนภูเขาจะหนาวเย็น แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเลย
ยังมีชาเก๋ากี้ที่หลานชายนำมาให้อีก รสหวานชื่นใจ ดื่มแล้วร่างกายอบอุ่น
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา คุณพ่อจี้ซึ่งเป็นพี่น้องของเขาได้พาไปกินเนื้อแกะตุ๋นเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย
แม้ว่าเขาจะอยู่บนภูเขาและทำงานหนักตลอดทั้งวัน แต่ไม่รู้ทำไม เขากลับรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ไม่มีอาการป่วยไข้ให้ต้องกังวลเลย
เขาใช้เวลาอยู่ที่บ้านเพียงเล็กน้อย แค่กลับไปกินมื้อเย็นที่นั่น ซึ่งไม่นับว่าเป็นปัญหาต่อตัวเขาเลย
จี้เจี้ยนอวิ๋นมองดูหมูแล้วบอกกับลุงของเขา “เราจะเชือดหมูพวกนี้ในวันที่ 20 เดือน 12 นะครับ”
“น่าจะทันเวลาอยู่” คุณลุงจี้พยักหน้า
ตอนนี้คือวันที่ 2 ของเดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติ หลังจากนี้ไปอีกครึ่งเดือนหรือมากกว่านั้น หมูเหล่านี้จะโตทันเชือดอย่างแน่นอน
จี้เจี้ยนอวิ๋นเดินตรวจตราโรงเลี้ยงไก่อีกครั้ง และสั่งให้สุนัขทั้งสามตัวเฝ้าสวนให้ดี ก่อนจะกลับไป
เช่นเดียวกับสวนผลไม้ที่คุณพ่อจี้และคุณแม่จี้เฝ้าดูอยู่ บนภูเขานี้ก็มีสุนัขอีกสามตัวเช่นกัน ตอนนี้พวกมันเติบโตจนกลายเป็นสุนัขตัวใหญ่ แม้จะไม่ฉลาดเท่าต้าเฮย แต่ก็เป็นสุนัขที่ดีและฉลาดกว่าตัวอื่น ๆ มาก
เพราะจี้เจี้ยนอวิ๋นมีหน้าที่เลี้ยงดูพวกมัน สุนัขเหล่านี้จึงคุ้นเคยกับเขาเป็นพิเศษ
ส่วนเรื่องที่ป้าหลี่มาของานประจำนั้น จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้พูดถึงเพราะมองไม่เห็นความจำเป็น
ลุงของเขาแก่มากแล้ว ทำไมต้องมากังวลเรื่องลูกชายอีก?
เมื่อถึงเวลา เขาสามารถบอกให้จี้เจี้ยนเหอมาเป็นลูกจ้างประจำได้ แต่ถ้าลูกพี่ลูกน้องของเขาคิดว่าจะได้รับเงินโดยไม่ต้องทำงาน ก็ลองดู!
แม้แต่พี่ชายคนโตของภรรยา เขายังไม่ปล่อยให้เคยตัว แล้วคิดหรือว่าลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เขาจะปล่อยผ่านไปได้?
เมื่อเข้าสู่เดือน 12 อากาศก็เย็นลงทุกขณะ และในวันที่ 15 ของเดือน หิมะก็เริ่มตกลงมา
แต่หิมะไม่ได้ตกหนักมากนัก จึงไม่จำเป็นต้องกวาดหลังคา
แม้ว่าละแวกที่พวกเขาอยู่จะมีหิมะตกลงมาในปริมาณน้อย แต่ก็ตกค่อนข้างนานราว 10 ถึง 15 วัน
ทั้งที่เมื่อหลายปีก่อนนั้นไม่มีหิมะตกลงมาเลยแม้แต่น้อย
ปีที่แล้วจี้เจี้ยนอวิ๋นซื้อส้มมาจากทางใต้เป็นจำนวนมาก ปีนี้ก็เช่นกัน
รสชาติของส้มยังคงหวานอร่อยเหมือนปีที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงซื้อกลับมา 4 ลัง ตามข้อปฏิบัติเดิม เขาแบ่งส้มให้พ่อกับแม่ของเขา 1 ลัง ให้ฝั่งแม่ยาย 1 ลัง ส่วนอีก 2 ลังที่เหลือเก็บไว้กินเองภายในครอบครัว
คุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้ไม่ว่าอะไร พวกเขาต่างสนับสนุนลูกชายของตัวเอง และลูกชายก็ให้ความเคารพพวกเขามาก ไม่มีอะไรที่ยอมรับไม่ได้
ในทางกลับกัน คุณแม่ซูกลับรู้สึกละอายเล็กน้อย “เธอยังมีหนี้อยู่มาก ไม่ต้องห่วงแม่เรื่องนี้หรอก ของดี ๆ พวกนี้แม่แค่กินให้น้อยลงหน่อยจะเป็นไรไป?”
ลูกเขยของนางให้ของกินมามากเกินไป จนคนอย่างคุณแม่ซูยังรู้สึกละอายใจที่จะกิน
“แค่ส้มลังเดียวเองครับ ไหน ๆ เอามาถึงนี่แล้ว คุณแม่เก็บไว้กินเถอะนะครับ อีกอย่างผมต้องขอบคุณคุณแม่ด้วยที่สอนวิธีดองไข่เค็มให้ ตอนนี้ไข่เค็มพวกนั้นขายดีมากเลยนะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม
คุณแม่ซูเองก็ยินดีอย่างมากที่ได้ช่วยเหลือลูกเขยยอดกตัญญู นางจึงตอบกลับว่า “คิดมากอะไรกัน?”
“ทำไมจะไม่คิดล่ะครับ ถ้าเป็นคนอื่น คุณแม่จะสอนเหรอครับ? เพราะผมได้ชื่อว่าเป็นลูกเขย ไม่อย่างนั้นจะได้เรียนรู้เคล็ดลับที่แท้จริงของคุณแม่ได้ยังไง?” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
คุณแม่ซูปลาบปลื้มใจในตัวเขามากจึงยอมรับส้มลังนั้นมา แต่ก็ปฏิเสธเขาไปว่าครั้งหน้าไม่ต้องซื้อมาให้อีกแล้ว
จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงบอกว่าเขาซื้อมากินอยู่แล้ว และเพิกเฉยต่อคำปฏิเสธของแม่ยาย ก่อนโบกมือลาแล้วขับรถออกไป
คุณแม่ซูมองดูลูกเขยขับรถออกไป นางคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนที่พูดง่ายและไม่ใช่แม่ยายที่ดีกับลูกเขยนัก แต่ความรู้สึกที่เขาแสดงออกมา ทำให้คุณแม่ซูรู้สึกราวกับเขาเป็นลูกชายแท้ ๆ ของนางเอง
เมื่อหันหลังกลับมาก็เห็นว่าหลานสาวกับหลานชายมองส้มจนน้ำลายไหลยืด บางทีนางอาจจะได้รับอิทธิพลความฟุ่มเฟือยมาจากลูกเขย จึงหยิบส้มให้พวกเขาคนละ 2 ลูกโดยไม่พูดอะไร หลานสาวและหลานชายที่คิดว่าพวกเขาจะได้กินของอร่อยต่างก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
อย่าว่าแต่เด็ก ๆ เลย แม้แต่สะใภ้ใหญ่ซูก็ปลื้มใจเช่นกัน เนื่องจากแม่สามีของหล่อนหยิบส้มให้ 2 ลูกและพูดขึ้น “เอากลับไปให้พ่อกับแม่ของเธอชิมดูสิ ปีใหม่นี้ก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เธอจะเก็บเงินได้”
คำพูดนี้ตรงใจสะใภ้ใหญ่ซูเข้าพอดี เดิมทีหล่อนไม่คิดจะกลับไปในช่วงปีใหม่นี้อยู่แล้ว เพราะแม่ของหล่อนนั้นน่ารำคาญจริง ๆ นางเอาแต่ขอเงินจากหล่อนอยู่เรื่อย ๆ
ดังนั้นสะใภ้ใหญ่ซูจึงรับส้ม 2 ลูกกลับมาโดยไม่พูดอะไร นอกจากนี้สะใภ้ใหญ่ซูยังกัดฟันซื้อไข่ 4 ฟองจากแม่สามี เพื่อนำกลับไปอีกด้วย
ใช่แล้ว ส้มนั้นรับไปได้ แต่ไข่ต้องใช้เงินซื้อ คุณแม่ซูสามารถแบ่งให้หลาน ๆ หรือแม้แต่สะใภ้ใหญ่ซูกินได้ แต่ครอบครัวฝั่งแม่ของลูกสะใภ้นั้น อย่าแม้แต่จะคิดเลยเชียว
เหตุผลที่หยิบส้มสองลูกนี้ออกมา เพราะมันเป็นของหายาก ต่อให้เอาไปฝากเพียงแค่ 2 ลูก ก็ยังถือว่าพอรับได้!
สะใภ้ใหญ่อยากได้ไข่เพิ่มอีก 4 ฟอง ก็ย่อมได้แต่ต้องจ่ายเงินด้วย!
หมู่บ้านของสะใภ้ใหญ่ซูอยู่ใกล้มาก แม้จะไม่ได้อยู่ในละแวกเดียวกัน แต่ก็สามารถเดินทางไปกลับได้ในช่วงบ่าย
หล่อนออกไปในตอนเที่ยงและกลับมาราว 5 โมงเย็น หลังจากกลับมาแล้ว สีหน้าของหล่อนก็ดูไม่ค่อยดีอย่างเห็นได้ชัด
แต่คุณแม่ซูก็ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เมื่อซูจิ้นจวินกลับมาในตอนเย็น สะใภ้ใหญ่ซูก็พูดขึ้น “จิ้นจวิน โชคดีมากที่ฉันฟังคุณแม่ วันนี้ฉันเอาของไปให้ที่บ้านก่อน ถ้าเรากลับไปตอนหลังปีใหม่ คงต้องเสียเงินอย่างน้อย 10 หยวน!”
“10 หยวน!” ซูจิ้นจวินรีบถามทันที “อะไรกัน? พ่อแม่ของคุณคิดจะปล้นกันเลยเหรอ!”
“แม่ของฉันข้อเท้าแพลง ตอนนี้นอนป่วยอยู่บนเตียง” สะใภ้ใหญ่ซูพูด “แต่ฉันบอกแม่ไปแล้วว่าหลังปีใหม่นี้เราคงไม่ได้ไปที่นั่น”
“คุณเอาอะไรไป?” ซูจิ้นจวินพูดขึ้นทันที
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ลุงสามเอาส้มมาให้ 1 ลัง คุณแม่เลยหยิบให้ฉัน 2 ลูกและบอกให้เอาไปฝากพ่อกับแม่ ฉันเลยซื้อไข่จากคุณแม่อีก 4 ฟองแล้วเอากลับไป นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว” สะใภ้ใหญ่ซูตอบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูจิ้นจวินจึงไม่ซักไซ้อะไรอีก “ผมไว้ใจคุณ ถึงได้เอาเงินของครอบครัวเก็บไว้ที่คุณจนกว่าเราสร้างตึกได้และมีชีวิตที่ดี อากาศหนาวเหน็บแบบนี้ ผมเองก็ยังต้องออกไปทำงานหนักอยู่ที่นั่นเพื่อค่าแรงในแต่ละเดือน คุณเองก็อย่าลืมว่าที่บ้านของคุณยังมีพี่ชายคนโตและน้องชายอีก 2 คนอยู่ด้วย!”
“ฉันรู้แล้วค่ะ” สะใภ้ใหญ่ซูตอบ
ลูกสาวที่แต่งงานไปแล้วเปรียบได้กับน้ำที่ถูกสาดออกนอกบ้าน แน่นอนว่าหล่อนต้องดูแลครอบครัวเล็ก ๆ ของตัวเอง ส่วนทางฝั่งพ่อแม่ของหล่อนยังมีลูกชายอีกตั้งสามคน!
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
บางทีเรื่องในครอบครัวนี่มันก็พูดยากนะคะ กตัญญูได้แต่อย่าให้ถึงขั้นต้องเข้าเนื้อตัวเองคงเป็นทางที่ดีที่สุดที่จะอยู่ร่วมกันได้
ไหหม่า(海馬)