ตอนที่ 191 ชายใส่แว่น
นอกจากจี้เจี้ยนอวิ๋นจะเอาส้มไปฝากคุณแม่ซูแล้ว เขายังเอาไปฝากคุณพ่อกับคุณแม่จี้ด้วย
ถึงทั้งสองจะชอบทาน แต่ด้วยฐานะญาติผู้ใหญ่จึงไม่ยอมกิน และเลือกเก็บไว้ให้เยียนเอ๋อร์กินแทน
จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงบอกให้พวกเขากินเอง ไม่ต้องเหลือให้เด็ก ๆ เพราะส้มไม่ใช่ของที่เก็บไว้ได้นาน ไม่อย่างนั้นกว่าที่เด็ก ๆ จะได้กินพวกมันก็คงเน่าหมด ถ้าพวกเด็ก ๆ อยากกินค่อยไปซื้อใหม่ทีหลัง
พวกเขาถึงได้ยอมกินกัน
ส่วนครอบครัวเขาเองก็ชอบกินส้มมากเช่นกัน
เหรินเหรินกับฉีฉีรักใคร่กันดี พวกเขามักจะกินส้มกันวันละผล เมื่อพี่ชายรู้วิธีแกะกินก็ส่งชิ้นส้มให้น้องดูด ขณะที่เจ้าตัวก็กินไม่หยุดปากอย่างไม่กลัวว่ามันจะเปรี้ยว แม้ส้มจะหวานมากแต่ก็มีรสเปรี้ยวอยู่บ้าง ถึงอย่างนั้นฉีฉีก็ยังถือกินอย่างเอร็ดอร่อย
ซูตานหงก็ชอบกินส้มเช่นกัน
ช่วงนี้เก็บเกี่ยวผลไม้ได้น้อยลง ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผลไม้แห้งอย่างเกาลัด พุทราแห้ง และลูกพลับแห้งอยู่บ้าง พวกเขามีของเหล่านี้ติดบ้านไว้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะพุทราแห้งที่มีสรรพคุณบำรุงเลือดลม ซึ่่งจี้เจี้ยนอวิ๋นใส่ลงในน้ำแกงเสียมากมายราวกับกลัวว่าเธอจะไม่กิน
หากแต่เธอก็กินได้เพียงไม่กี่วัน ไม่อย่างนั้นคงได้เบื่อตายแน่
ตอนนี้ส้มจึงกลายเป็นของโปรดของเธอ เธอมักจะนั่งกินตอนกลางคืนและพาสามีมานั่งกินด้วยกันคนละสองลูก ก่อนไปล้างปากและเข้านอน
หากไม่ลากจี้เจี้ยนอวิ๋นมาเจ้าตัวก็คงไม่กล้ากิน และยกให้เธอหมดอย่างแน่นอน
ถึงจะซาบซึ้งใจแต่เธอก็ทนเอาเปรียบอีกฝ่ายไม่ได้ และเพราะเขารู้จักนิสัยภรรยาดีว่าคงไม่ยอมแน่ถึงได้ยอมทำตามที่เธอสบายใจ
หลังกินเสร็จเขาก็ไม่พลาดชวนเธอทำกิจกรรมเข้าจังหวะก่อนนอน และกอดกันหลับไป
ส่วนสองพี่น้องหลับไปแล้ว ถึงได้ไม่มารบกวนช่วงเวลาแสนหวานของสองสามีภรรยา
ผ่านไปไม่นานก็ถึงวันที่ 20 ของเดือนสิบสองทางจันทรคติ
ถึงเวลาที่จี้เจี้ยนอวิ๋นต้องลงมือเชือดหมูแล้ว
“พี่ เดี๋ยวผมไปช่วยจับให้นะ” จี้เจี้ยนเหวินมาถึงแต่เช้าตรู่
“น้องสี่กินข้าวเช้ามาหรือยังจ๊ะ?” ซูตานหงถามอีกฝ่ายในขณะที่จี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังทานมื้อเช้า
“ผมกินมาแล้วครับ พี่สะใภ้สามอย่าลำบากเลย” เขาบอกเมื่อเห็นเธอจะลุกไปตักข้าวมาให้
ได้ยินอย่างนั้นเธอก็พยักหน้าและนั่งลงกินต่อ
จี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่พาจี้อวิ๋นอวิ๋นกลับมาที่บ้านตั้งแต่วันที่ 15 เมื่อกลับมาถึงก็พบว่าตอนนี้เยียนเอ๋อร์ทั้งมีผิวขาวและอ้วนท้วนสมบูรณ์ คำพูดคำจาฉะฉาน นับเลขได้และรู้คำศัพท์บางคำแล้ว อีกทั้งยังเขียนชื่อตัวเองเป็นด้วย
สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่มีทางที่คุณพ่อกับคุณแม่จี้เป็นคนสอน อวิ๋นลี่ลี่จึงแวะมาขอบคุณเธอเสียยกใหญ่
อีกฝ่ายจะนึกขอบคุณจริงหรือไม่ซูตานหงก็ไม่ได้ถือสา เหตุผลหลักอาจเป็นเพราะยังพอรับได้กับนิสัยของอวิ๋นลี่ลี่อยู่่
แม้อันที่จริงจะไม่ได้สนิทใจมาก แต่ก็ไม่ถึงกับมีเรื่องบาดหมางกัน
ซูตานหงถึงยังมีไมตรีกับอีกฝ่ายอยู่บ้าง เมื่ออีกฝ่ายกลับมาเธอจึงให้พุทราแห้งกับเก๋ากี้ไปไม่มาก ราวชั่งสองชั่งได้ “นี่เป็นพุทราแห้งที่พี่ตากที่บ้าน เธอกับสามีงานยุ่งคงไม่สะดวกทำกับข้าว แต่ถ้ามีเวลา เธอเอาไปทำน้ำแกงบำรุงหน่อยก็ดีนะ”
กลับมาคราวนี้ไม่ว่าจะเป็นจี้เจี้ยนเหวินหรืออวิ๋นลี่ลี่ต่างก็ผอมซูบลงมาก เห็นได้ชัดว่าการหาเงินใช้หนี้ค่าบ้านคงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ สำหรับพวกเขาเลย
เธอไม่ได้มีเรื่องผิดใจกับพวกเขาด้วย ถึงอย่างไรก็ยังเป็นญาติกัน ความเป็นอยู่ที่ผ่านมาของพวกเขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าไปก้าวก่ายได้
กลับเป็นอวิ๋นลี่ลี่เองที่ไม่กล้ารับของจากเธอ ด้วยเพราะตอนนี้ทั้งสองกำลังใช้หนี้ค่าบ้านอยู่ รายได้ของพวกเขามีเพียงเงินเดือนเท่านั้น หลังแบ่งไปจ่ายหนี้ค่าบ้านถึง 45 หยวนแล้วจะเหลือติดตัวแค่สักเท่าไหร่?
ที่เมืองเจียงสุ่ยไม่เหมือนที่นี่ อย่าว่าแต่พุทราแห้งกับเก๋ากี้ แม้แต่ต้นหอมก็ยังแพงจนหล่อนไม่อยากซื้อ หล่อนจึงไม่คิดว่าซูตานหงจะมีน้ำใจมอบพวกมันให้
ทว่าซูตานหงก็คะยั้นคะยอให้หล่อนรับเอาไว้ ตอนที่ออกมาส่งหล่อนกลับไป
อาจเป็นเพราะปีที่แล้วเฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานถากถางไว้ กลับมารอบนี้อวิ๋นลี่ลี่ถึงได้เอาของมาฝากเสียมากมาย
อย่างเช่นจี้เสี่ยวตงที่ได้สมุด หนังสือ และดินสอเป็นของฝากจากหล่อน นอกจากนี้หล่อนยังซื้อมาให้เสี่ยวเจินกับเสี่ยวอวี้ด้วย
เมื่อทั้งคู่กลับถึงบ้าน วันต่อมาจี้เจี้ยนเหวินก็ซื้อมันหมู 2 ชั่ง และแขวนซี่โครงหมูไว้ที่ชายคาบ้านโดยไม่กลัวว่าจะเน่าเสีย เพราะตอนนี้อากาศหนาวจนเกือบแข็ง
เดิมทีจี้เจี้ยนอวิ๋นอยากจะห้ามไม่ให้อีกฝ่ายซื้อมาฝาก เพราะเขาเองก็กำลังจะล้มหมูอยู่แล้ว อีกฝ่ายกลัวว่าเขาจะไม่มีเนื้อกินปีนี้หรือยังไงกัน?
หากแต่ซูตานหงก็รั้งไว้ “น้องสี่กับลี่ลี่คงตั้งใจเอามาฝาก อย่าปฏิเสธให้เสียน้ำใจเลยค่ะ”
แม้จะเกิดเรื่องเมื่อปีที่แล้ว แต่ต่อให้ปีนี้พวกเขาไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาฝาก ทั้งเฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานก็คงจะทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่เพราะปีก่อนเกิดเรื่องขึ้น จี้เจี้ยนเหวินจึงไม่อยากให้พ่อแม่ไม่สบายใจ ดังนั้นต่อให้จี้เจี้ยนอวิ๋นจะเชือดหมูอยู่แล้ว เขาก็ยังยืนกรานจะเอามาฝากเพื่อลบคำสบประมาทของเฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตาน
แสดงให้ซูตานหงเห็นว่าเขายังรู้คุณคน มีจิตสำนึก และไม่ใช่คนเหลาะแหละ
เยียนเอ๋อร์ถอดแบบจากเขามาไม่มีผิด เด็กหญิงถึงได้มีนิสัยน่ารักแบบนี้ อย่างน้อยก็ทำให้ซูตานหงเอ็นดูเธอมาก
ส่วนจี้อวิ๋นอวิ๋นนั้นเธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรหล่อนอยู่แล้ว
จี้เจี้ยนอวิ๋นรีบกินข้าวให้เสร็จ ก่อนจะขับรถขนหมูไปโรงเชือดกับจี้เจี้ยนเหวิน
คุณพ่อจี้กับจี้เจี้ยนกั๋วพอมีเวลาได้พักบ้างแล้ว ในขณะที่จี้เจี้ยนเยี่ยยังคงต้องไปขับรถส่งของ เช่นเดียวกับเฝิงฟางฟางที่ต้องอยู่ดูแลงานที่ห้าง
ช่วงปีใหม่นี้กิจการของห้างก็ยังเติบโตได้ดี
ส่วนเรื่องหมู วันนี้เขาตั้งใจจะเชือดแค่ 5 ตัวเท่านั้น ไม่ได้ฆ่าทั้งหมด
เขารีบมาที่โรงเชือดและเริ่มลงมือทันที
ซูตานหงทนมองไม่ได้ ผิดกับท่าทางของจี้เสี่ยวตง เสี่ยวเจิน เสี่ยวอวี้ พวกเขากอดเหรินเหรินกับฉีฉีที่ดูตื่นเต้นเล็กน้อย พร้อมเยียนเอ๋อร์ที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย
แม้อวิ๋นลี่ลี่จะกลัวเลือดแต่ก็ไม่ได้ห้ามลูกสาว ด้วยรู้ดีว่าเยียนเอ๋อร์เป็นลูกคนเดียว หล่อนเป็นแค่ครูคงไม่อาจมีเงินไปมีลูกอีกคนได้ เว้นเสียแต่ว่าตัวหล่อนเองอยากจะหาเรื่องลำบากมากกว่าเดิม
ดังนั้นจึงหวังให้ลูกสาวเข้ากับพี่น้องที่นี่ได้ดี ถึงอย่างไรพอโตขึ้น พวกเขาก็คงสามารถพึ่งพากันได้บ้างไม่ใช่หรือ?
อีกทั้งเยียนเอ๋อร์เองก็อยากไป หล่อนคงจะห้ามไม่ลงหรอก
อวิ๋นลี่ลี่ลากจี้อวิ๋นอวิ๋นมาดูการชำแหละหมูด้วย
ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากวันนี้ลูกชายคนรองของคนขายเนื้อหลี่จะมาที่นี่ด้วย และอวิ๋นลี่ลี่ก็รู้มาว่าเขาเป็นอาจารย์สอนในระดับชั้นมัธยมปลาย ซึ่งเหนือกว่าหล่อนกับจี้เจี้ยนเหวินมาก
อีกทั้งยังว่ากันว่าเขาเป็นคนดีมาก หล่อนเลยอดอยากเจอไม่ได้ ผิดกับจี้อวิ๋นอวิ๋นที่มีท่าทางไม่พอใจนัก
แต่เพื่อรักษาหน้าพี่สะใภ้ หล่อนจึงจำใจต้องมา
“โอ๊ย ทำไมเดินไม่ระวังแบบนี้ล่ะ? ตัวคุณก็เลอะเลือดหมูไปหมดด้วยเนี่ย!” จี้อวิ๋นอวิ๋นอดจะต่อว่าออกมาไม่ได้ เมื่อบังเอิญเดินชนชายผอมสูงคนหนึ่งในทันทีที่ถึงโรงเชือด
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ เผลอใจลอยไปหน่อยน่ะครับ” ชายหนุ่มสวมแว่นตาคนนั้นหันมาเอ่ยกับหล่อนด้วยท่าทางสุภาพอ่อนโยน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
บ้านสี่ถึงจะมีนิสัยบางอย่างไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอคุยกันได้ล่ะนะ
ผู้ชายใส่แว่นนี่ใคร หรือจะเป็น…
ไหหม่า(海馬)
—————————