ตอนที่ 192 ฟาร์มหมู
หลี่จื้อเป็นคนค่อนข้างสูง แม้จะไม่เท่าจี้เจี้ยนอวิ๋นที่สูงถึง 185 เซนติเมตร แต่ก็สูงประมาณ 180 เซนติเมตรได้ จึงทำให้เขายิ่งดูผอม อีกทั้งแว่นตาที่สวมยังส่งให้เขาภูมิฐานและดูดีไม่น้อย
อย่างน้อยก็มากพอจะทำให้จี้อวิ๋นอวิ๋นหน้าแดงตั้งแต่แรกพบได้เมื่อเขาก้มศีรษะให้
“อวิ๋นอวิ๋น มาช่วยเอาเครื่องในหมูกลับบ้านไปที” จี้เจี้ยนอวิ๋นตะโกนเรียกมาแต่ไกล
“โอ๊ะ ได้ค่ะ” จี้อวิ๋นอวิ๋นเหลือบมองหลี่จื้ออย่างเขินอาย ก่อนรีบเข้าไปหยิบถังไม้และรีบกลับบ้านไป
หลี่จื้อมีปฏิกิริยาเช่นกัน ริ้วแดงปรากฏบนใบหน้าชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นเข้าก็ทำเพียงยกยิ้มและไม่ได้ว่าอะไรออกมา
อวิ๋นลี่ลี่เข้าใจได้ทันที หล่อนเงยหน้ามองเขาและถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “คุณคือหลี่จื้อเหรอคะ? ฉันเป็นพี่สะใภ้สี่ของอวิ๋นอวิ๋นค่ะ”
“ครับ” เขาทำเพียงขานรับ ด้วยคงจะเร็วไปเสียหน่อยหากเรียกหล่อนว่าพี่สะใภ้สี่ตอนนี้ จึงไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
“ได้ยินว่าเป็นหัวหน้าอาจารย์ชั้นมัธยมปลายอยู่เหรอคะ?” อวิ๋นลี่ลี่ส่งยิ้ม
“ครับ ตอนนี้ผมสอนชั้นมัธยมปลายปีที่หนึ่งอยู่” เขาตอบ
อวิ๋นลี่ลี่ยิ้มและพยักหน้ารับ “หล่อนเป็นน้องสามีฉันเองค่ะ เป็นลูกสาวคนเดียวเลยเอาแต่ใจไปหน่อย อย่าไปถือสาเลยนะคะ หล่อนแค่รักสะอาดเฉย ๆ น่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ เพราะผมไม่ดูทางเองด้วย อย่าไปโทษหล่อนเลยครับ” หลี่จื้อมีท่าทางเขินอายเล็กน้อยเช่นกันเมื่อพูดถึงจี้อวิ๋นอวิ๋น
จากนั้นอวิ๋นลี่ลี่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
คุยจบหล่อนก็เดินทางกลับหลังฝากฝังให้พี่ ๆ อย่างจี้เสี่ยวตง เสี่ยวเจิน และเสี่ยวอวี้ช่วยดูแลเยียนเอ๋อร์ เหรินเหรินและฉีฉี
เมื่อกลับถึงบ้าน หล่อนก็เห็นจี้อวิ๋นอวิ๋นนั่งเหม่ออยู่ที่สนามหญ้า ก่อนพลันยกยิ้มและเอ่ยทัก “โอ้ ลูกสาวนี่เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ ด้วย ดูสิ ใจลอยไปหาใครก็ไม่รู้ ทั้งที่ไม่ได้กลับบ้านที่อยู่มานานถึง 20 ปีแท้ ๆ”
พอโดนพี่สะใภ้สี่แซวเข้า จี้อวิ๋นอวิ๋นก็หน้าขึ้นสีระเรื่อ และรีบพูดแก้ตัว “พี่พูดอะไรของพี่น่ะ? ใครจะใจลอยไปหาใครกันล่ะคะ? เมื่อกี้ฉันเผลอหงุดหงิดใส่เขาไป เลยกลัวว่าจะเข้าใจผิดต่างหากค่ะ”
“ไม่ต้องห่วงน่า พี่สะใภ้อธิบายให้เขาฟังแล้ว เขาไม่ได้ถือสาอะไร” อวิ๋นลี่ลี่ยิ้ม
จี้อวิ๋นอวิ๋นถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ได้ยินเช่นนั้น
อวิ๋นลี่ลี่บอก “อวิ๋นอวิ๋น ในฐานะที่เธอสนิทสนมกับพี่สะใภ้ พี่ถามตรง ๆ นะ เธอมีใจให้เขาบ้างหรือเปล่า?”
“ฉันเพิ่งเคยเจอเขา ยังไม่รู้หรอกค่ะว่าชอบเขาหรือเปล่า” จี้อวิ๋นอวิ๋นว่าอย่างกระมิดกระเมี้ยน
อีกฝ่ายยิ้มพลางบอก “อย่าปิดบังพี่สะใภ้เลย บอกพี่มาตรง ๆ เถอะ พี่จะได้ช่วยได้ไงล่ะ”
“เขาก็สูงดีแต่ว่าผอมไปหน่อย ก็พอไปวัดไปวาได้อยู่ค่ะ” จี้อวิ๋นอวิ๋นหน้าขึ้นสีขณะตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย
ถึงปากจะว่าอย่างนั้นแต่เห็นได้ชัดว่าหล่อนสนใจในตัวเขา
“เขาผอมคนเดียวซะเมื่อไหร่ล่ะ ปีนี้พี่สี่ของเธอก็ผอมลงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? พี่ถามเขามาแล้ว เห็นว่าเป็นถึงหัวหน้าอาจารย์ชั้นมัธยมปลายปีหนึ่งที่โรงเรียนในอำเภอเชียวนะ แปลว่าเขาต้องงานยุ่งมากแน่ ๆ แล้วจะไม่ผอมได้ยังไงล่ะ? พอแต่งกันไปเธอก็ช่วยทำอาหารให้เขากินหน่อย ดูอย่างพี่สามตอนนี้สิ เขาก็ไม่ผอมเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ส่วนพี่สี่ของเธอน่ะเป็นข้อยกเว้น เขาไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ” อวิ๋นลี่ลี่บอก
“แหม พี่สะใภ้งานยุ่งจะตาย ไม่เหมือนซูตานหงที่ว่างจนมีเวลาเข้าครัวได้ทั้งวัน จะไปเทียบกันได้ยังไงคะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นท้วง
อวิ๋นลี่ลี่เข้าใจหัวอกซูตานหงก็คราวนี้ แม้หล่อนไม่อยากพูดแบบนี้ แต่เมื่อได้ยินน้องสามีพูดถึงตนเองอย่างนั้นนก็ทนไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้น “พี่สะใภ้ไม่มีวาสนาแบบนั้นก็จริง แต่ไม่ใช่กับเธอนะ เขาสอนอยู่มัธยมปลายแถมยังเป็นถึงหัวหน้าอาจารย์ ถึงจะอยู่โรงเรียนแถบชานเมืองแต่เดือนหนึ่งก็อาจได้เงิน 27 ถึง 28 หรืออย่างน้อย ๆ ก็สัก 30 หยวน ค่าครองชีพก็ต่ำกว่าเมืองเจียงสุ่ยมาก ใช้เงินแค่ 11 ถึง 12 หยวนก็อยู่ได้แล้ว ถ้าอยากสบายกว่านี้ใช้ 15 หยวนก็ยังได้ ส่วนที่เหลือก็เก็บออมเอาไว้”
สำหรับอวิ๋นลี่ลี่แล้ว คนที่แม่สามีหามาให้น้องสามีนั้นดีเกินกว่าจะชื่นชมด้วยซ้ำ
แม้หลี่จื้อจะอายุมากไปหน่อยตรงที่เขาอายุ 26 ย่าง 27 ปีแล้ว แต่มันไม่ทำให้เขาดูดีน้อยลงแต่อย่างใด การงานของเขามีอนาคตขนาดไหนกันล่ะ? หากมีอาชีพที่มั่นคงก็คงไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล ถ้ายิ่งทำงานควบสองโรงเรียนก็ยิ่งมีรายได้มากขึ้น
เรียกได้ว่าเขามีประวัติดีมากทีเดียว
ส่วนครอบครัวเขาน่ะหรือ?
หล่อนเพิ่งได้เจอพวกเขาที่นั่น คนขายเนื้อหลี่ซึ่งเป็นพ่อของเขามีฝีมือมาก ตอนนี้อายุเพียง 50 ต้น ๆ เท่านั้น ร่างกายก็ยังแข็งแรงจนสามารถทำงานต่อไปได้อีกหลายปี
แม่ของเขาก็แข็งแรงเช่นกัน นางยังมีแรงทำสวนเองได้
อีกทั้งพี่สาวทั้งสองคนยังแต่งงานกันหมดแล้ว พี่ชายคนโตก็แต่งงานแล้วเช่นกัน ได้ยินว่าเพิ่งมีลูกแฝดเสียด้วย การมีลูกแฝดถือว่าน่ายินดีไม่น้อย
พี่ชายคนนี้เช่าร้านขายของอยู่แถบชานเมือง ว่ากันว่ากิจการกำลังเติบโตได้ดีทีเดียว
หากดูจากพื้นเพครอบครัวแล้วนับได้ว่าค่อนข้างเพียบพร้อม
ด้วยเหตุนี้อวิ๋นลี่ลี่จึงสนับสนุนการแต่งงานนี้เต็มที่
“พี่คะ อย่าพูดเหมือนตกลงกันแล้วสิ ยังไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับฉันเลย ถ้าเขาไม่สนใจฉันขึ้นมา ฉันก็ขายหน้าแย่สิคะ!” จี้อวิ๋นอวิ๋นบอก
“ที่พี่สะใภ้มาถามก็เพราะมั่นใจแล้วว่าเขาก็ชอบเธอไง” อวิ๋นลี่ลี่เอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“จริงเหรอคะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นพลันสายตาเป็นประกาย
“จะโกหกทำไมเล่า?” อวิ๋นลี่ลี่ยิ้มขำ “ถึงพี่จะไม่ได้ถามตรง ๆ แต่ก็ดูท่าทางเขาออกนะ เขามีใจให้เธอแน่ ๆ ไม่ต้องห่วงหรอก”
จี้อวิ๋นอวิ๋นออกอาการเขินอายแต่ก็เอาแต่เงียบ
เพราะมีหมูเพียง 5 ตัวนี่เอง เมื่อนำไปชำแหละจึงใช้เวลาไม่นาน
เมื่อจ่ายเงินหลังเชือดหมูเสร็จ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ยกหัวหมูส่วนหนึ่งให้หลี่จื้อเอากลับไป
“ขอบคุณครับพี่สาม” เขาอายุน้อยกว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นจึงเรียกอีกฝ่ายว่าพี่สาม
จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้าให้และตบบ่าเป็นการบอกลา
ทั้งเหล่าฉินและซูจิ้นตั๋งต่างรู้ว่าจะเชือดหมูวันนี้จึงมารอที่นี่นานแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นแบ่งเนื้อให้ทีละคนก่อนพวกเขาจะกลับไป
ส่วนเรื่องเงินไว้ค่อยเก็บทีหลังก็ไม่สาย
ส่วนที่เหลือนั้นจี้เจี้ยนเยี่ยก็ขับรถมาขนอย่างรู้หน้าที่ โดยที่จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้สั่งเขาเอาไว้เพราะอยากให้นอนพักอีกสักหน่อย
เขาขนเนื้อหมูที่ถูกชำแหละเรียบร้อยแล้วขึ้นรถ พร้อมเอาไข่และไก่ติดรถมาด้วย ก่อนขับตรงไปยังเมืองมหาวิทยาลัย
มีการป่าวประกาศทั่วเมืองมหาวิทยาลัยมาพักใหญ่แล้วว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นจะเชือดหมูวันที่ 20 เดือนสิบสองนี้ ลูกค้าจึงมารอกันแน่นร้าน
ส่วนเรื่องสินค้าของจี้เจี้ยนอวิ๋นนั้น จี้เจี้ยนอวิ๋นขายแต่ของคุณภาพดีมาตั้งแต่แรก พวกเขาจึงไม่เคยผิดหวังเลยสักครั้ง เป็นธรรมดาที่จะตั้งตารอซื้อเนื้อหมูพวกนี้