บทที่ 49 ห้องหอในอนาคตของลูก ๆ
ซูตานหงไม่ได้โต้แย้งเรื่องเงิน 800 หยวน เพราะมันเกือบเป็นราคาที่เธอคิดไว้ และยังสูงกว่าราคาที่เธอคิดไว้อยู่เล็กน้อยด้วย
หลังจากค้าขายกันมานาน ต่างฝ่ายต่างรู้ใจกัน
หงเจี่ยก็ให้เงินสดจำนวน 800 หยวนกับเธอโดยตรง ซูตานหงรับเงินมาและนับเงินต่อหน้าทุกคน เมื่อเห็นว่าครบจำนวนพอดีก็ส่งเงินให้จี้เจี้ยนอวิ๋นเก็บไว้
จากนั้นหงเจี่ยก็เล่าให้ฟังถึงราคาบ้านในเมืองเจียงสุ่ย “ตานหง เธอยังไม่รู้ใช่ไหม ว่าในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ราคาบ้านเพิ่มขึ้นอีกแล้วนะ เธอลองเดาดูสิว่ามันเพิ่มขึ้นเป็นกี่หยวนต่อตารางเมตร?”
“ 30 หยวนนี่ยังสูงไม่พออีกเหรอคะ? ยังขึ้นได้อีก ตอนนี้ขึ้นเป็นกี่หยวนแล้วคะ?” ซูตานหง
“ตอนนี้ 1 ตารางเมตรอยู่ที่เกือบ 35 หยวนแล้วจ้ะ แล้วพี่ก็เดาว่าสิ้นปีนี้จะต้องขึ้นไปแตะที่ 40 หยวนต่อตารางเมตรแน่นอน!” เจินเหมียวหงพูด
“นั่นขึ้นมาครึ่งต่อครึ่งเลยนะคะ” ซูตานหงเอ่ยอย่างประหลาดใจเช่นกัน
ในตอนที่พวกเธอเริ่มซื้อห้องชุดกันไว้คนละชุดนั้นมันมีราคาเพียงราวยี่สิบหยวนต่อตารางเมตรเท่านั้น แต่มาตอนนี้กลับเพิ่มขึ้นเป็นเกือบสี่สิบหยวนแล้ว นับว่าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัวอย่างเห็นได้ชัด
“ใช่ไหมละ? พี่คิดว่าราคาบ้านกำลังจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้วล่ะ ยิ่งตอนนี้ค่าแรงกับค่าอุปโภคบริโภคอย่างอื่นเพิ่มขึ้นด้วย บ้านที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของคนทั่วไปอย่างเรา ๆ ก็เลยเพิ่มขึ้นด้วยน่ะจ้ะ!” เจินเหมียวหงเอ่ย
ซูตานหงได้ฟังแล้วเหมือนฟังเพลงแล้วรู้สุนทรียภาพ*ขึ้นมา จากนั้นก็ถามขึ้น “พี่คิดจะซื้ออีกไหมคะ?”
*การได้ยินเพียงผิวเผินแล้วก็รู้เรื่องราวทั้งหมด
“เรื่องนี้พี่ไม่ได้บอกคนอื่นหรอกนะ ดังนั้นพี่จะบอกกับเธอแล้วกัน ความจริงแล้วพี่น่ะซื้อไว้อีกห้องหนึ่งด้วย กะจะใช้เป็นห้องหอในอนาคตของลูก ๆ น่ะจ้ะ” เจินเหมียวหงยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “ถ้าเธอมีเงินอยู่ในมือก็พิจารณาไว้ได้นะจ๊ะ เธออยากซื้อไว้อีกห้องไหมล่ะจ๊ะ วางใจเรื่องบ้านที่จะซื้อได้เลยจ้ะ ถ้ามันไม่ดีจริง พี่คงไม่แนะนำให้หรอก ทุกที่ล้วนอยู่ใกล้โรงเรียน อยู่ในเขตมหาวิทยาลัยของเมืองเลยจ้ะ แล้วมันก็ยังมีห้องว่างที่พร้อมจะเปิดขายในปลายปีนี้อยู่ พี่เองก็วางแผนจะซื้อห้องหนึ่ง ในอนาคตลูกชายพี่จะได้ใช้อยู่ตอนต้องเรียนมหาวิทยาลัย แต่ถ้าเขาไม่อยากอยู่เขาก็ขายต่อได้ แล้วมันก็อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยนิดเดียว แค่เดินเท้าครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว”
ซูตานหงได้ยินก็รู้สึกคล้อยตาม ความจริงก็คือเธอรู้สึกคล้อยตามในตอนที่เจินเหมียวหงบอกว่าจะซื้อห้องเก็บไว้เป็นห้องหอในอนาคตให้ลูกของหล่อนแล้ว
เธอเพิ่งจะซื้อห้องชุดไว้เพียงห้องเดียว แต่ก็อยากมีลูกหลายคน ซึ่งในอนาคตเธอกับเจี้ยนอวิ๋นคงไม่ได้ย้ายบ้าน เพราะเธอยังอยากอยู่ในชนบทมีชีวิตที่สุขสงบอยู่กับสวนผลไม้ของตัวเอง แต่ลูก ๆ ของเธอคงโผบินเข้าสู่เมืองใหญ่อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นแล้วควรจะมีห้องมากขึ้นสินะ?
มีห้องชุดแค่ห้องเดียวคงจะไม่พออย่างแน่นอน ต้องซื้อเพิ่มอีกหน่อยแล้ว
“ห้องใหญ่ขนาดไหนคะ? แล้วราคาเท่าไหร่?” ซูตานหงถาม
ตอนนี้เธอมีประสบการณ์แล้ว ดังนั้นการตั้งคำถามถือเป็นเรื่องสำคัญ
“มีตั้งแต่ห้องขนาด 99 ตารางเมตรถึง 123 ตารางเมตรจ้ะ เป็นห้องสำหรับครอบครัวทั้งนั้นเลย แต่ละห้องมีสามห้องนอนกับสองห้องนั่งเล่น” เจินเหมียวหงเป็นคนวางแผนจะซื้อห้องไว้ก่อนแล้ว หล่อนจึงบอกรายละเอียดได้อย่างชัดเจน “ปลายปีนี้มันจะขึ้นราคาเป็น 38 หยวนต่อตารางเมตรแล้ว แต่ถ้าเราจองก่อนก็จะได้ราคาถูกกว่า ถ้าจ่ายมัดจำล่วงหน้าก็จะประหยัดไปได้เกือบ 50 หยวนต่อห้องเลยล่ะจ้ะ”
“ถ้าอย่างนั้น พี่บอกฉันในครั้งหน้าได้ไหมคะ ในตอนนั้นฉันคงมือไม่ว่างแล้ว จะให้เจี้ยนอวิ๋นไปกับพี่เองค่ะ” ซูตานหงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ได้จ้ะ เธออย่ากังวลกับบ้านที่พี่บอกเธอเลยนะ” เจินเหมียวหงยิ้มตอบ
หล่อนเองก็มีความมั่นใจที่จะพูดแบบนี้อย่างเห็นได้ชัด เป็นเพราะหล่อนเองก็นำงานปักของซูตานหงไปขาย ซึ่งทุกงานล้วนขายออกหมด คุณเคยเจอคนรวยไหมล่ะ? คนพวกนี้ย่อมรู้ข่าววงในกันทั้งนั้น
ทั้งคู่บอกลาเจินเหมียวหง จากนั้นก็มอบไข่จำนวนหนึ่งตะกร้าที่นำมาด้วยให้กับหล่อนแทนเค้กไข่ที่ให้เด็ก ๆ ไปแล้ว เจินเหมียวหงยิ้มแล้วรับไว้ จากนั้นก็อยู่เฝ้าร้านต่อ แล้วมอบนมมอลต์สกัดให้เธออีกสองถุง
“ตานหง คุณซื้อห้องชุดไปเหรอ?” ในที่สุดจี้เจี้ยนอวิ๋นที่ทนมาตลอดทางก็ทนไม่ไหวในตอนเดินทางกลับบ้าน เขาเหลือบมองภรรยาที่วางแผนจะซื้อห้องชุดจำนวนหนึ่งในช่วงปลายปีแล้วเอ่ยถามเธอ
“ค่ะ ฉันซื้อไปแล้ว” ซูตานหงพยักหน้าแล้วชายตามองเขา ก่อนจะเห็นสีหน้าที่ดูสลดลงของเขา ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้แล้วยิ้มออกมา “ฉันลืมบอกคุณไปน่ะค่ะ บ้านในเมืองเจียงสุ่ยที่ซื้อไว้เมื่อคราวที่แล้วฉันซื้อตอนที่คุณกลับไปทำงานในกองทัพต่อหลังเทศกาลปีใหม่น่ะ จากนั้นฉันก็ติดรถไปกับพี่หงแล้วไปซื้อไว้ หล่อนมีคนคุ้นเคยอยู่ที่นั่นเลยซื้อได้ในราคาถูกลงมาก ฉันยังเก็บใบรับรองความเป็นเจ้าบ้าน กับใบเสร็จแล้วก็ใบทะเบียนอื่น ๆ ไว้ในกระเป๋าภายในตู้อยู่เลยค่ะ”
“ต้องใช้เงินไปเยอะมากเลยใช่ไหมครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด
“แค่ 2,000 หยวนกว่า ๆ เท่านั้นเองค่ะ ไม่เยอะหรอก เจี้ยนอวิ๋น ฉันวางแผนจะซื้อห้องชุดอีกสองห้องกับพี่หงตอนปลายปีนี้ด้วยนะคะ” ซูตานหงกล่าว
จี้เจี้ยนอวิ๋นถึงกับอุทาน “สองห้อง?”
ต่อให้ห้องหนึ่งมีขนาด 99 ตารางเมตร แต่มันก็มีราคาตารางเมตรละ 38 หยวน เท่ากับว่าต้องเสียเงินซื้อเกือบ 3,800 หยวนแล้ว!
“ค่ะ สองห้อง ตรงนั้นมันเป็นเมืองมหาวิทยาลัยนะคะ มีมหาวิทยาลัยอยู่ที่นั่นด้วย ฉันจะซื้อไว้สองห้องเพื่อเก็บไว้เป็นห้องหอของเด็ก ๆ น่ะค่ะ โชคดีนะคะเนี่ยที่พี่หงพูดเตือนขึ้นมา ไม่อย่างนั้นฉันก็คงลืมไปว่าต้องเตรียมห้องหอให้ลูก ๆ ด้วย” ซูตานหงเอ่ย
เธอรู้สึกว่าวิสัยทัศน์ของตนเองยังกว้างไกลไม่พอ เลยคิดแค่ว่าต้องเตรียมเงินไว้เสียค่าปรับกรณีมีลูกเกินจำนวนเท่านั้น แต่ไม่นึกเลยว่าจะต้องเตรียมห้องหอให้ลูก ๆ ด้วย ทุกคนจะได้ไม่เผชิญกับความลำบาก ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาวก็ตาม
“แต่เรามีห้องหนึ่งแล้วนะครับ ถ้าคุณอยากซื้อ ซื้อเพิ่มแค่อีกห้องก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยอย่างไม่อยากกดดันเธอนัก
“ใช่ค่ะ ซื้อก่อนห้องหนึ่งก็ได้” ซูตานหงพยักหน้า
ตอนนี้พวกเขายังมีเงินไม่พอ และคิดว่าหากซื้อสองห้องในคราวเดียวก็คงจะกินเวลานานเกินไปและต้องใช้เงินเยอะ ดังนั้นเริ่มซื้อที่ห้องเดียวก่อนแล้วกัน หากตอนปลายปีมีเงินพอแล้วก็ค่อยซื้อสองห้อง ถึงตอนนั้นเจี้ยนอวิ๋นของบ้านเธอก็คงไม่ว่าอะไร
ส่วนวันเวลาในช่วงนี้ เธอก็ใช้ไปกับการหาเงินให้ได้มาก ๆ
เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เธอก็เปิดกล่องบรรจุด้ายปัก สิ่งของสำหรับเด็กนั้นมีพร้อมแล้ว และเธอก็เย็บพวกมันเสร็จเรียบร้อย ไม่มีทางที่จะขาดถุงเท้าและรองเท้าคู่เล็ก ๆ เลย
แถมในตอนนี้เจี้ยนอวิ๋นก็กลับมาแล้ว เธอจึงไม่ต้องกังวลกับเรื่องในสวนผลไม้ภายนอกบ้านเลย ดังนั้นมันก็ถึงเวลาที่เธอจะได้แสดงทักษะความสามารถอย่างเต็มที่
แต่เธอไม่อาจนั่งปักผ้าอยู่เฉย ๆ ได้ตลอดเวลาหรอก ทุกครึ่งชั่วโมงเธอก็จะลุกขึ้นเดินเป็นเวลา 10 นาที ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวน้อยในครรภ์ของเธอคงไม่ชอบใจนัก
เมื่อเห็นภรรยาของตนสู้งานเช่นนี้ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็รู้สึกผิด แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกฮึกเหิมมีกำลังใจมากขึ้น
บ่ายวันนี้เอง เหล่าฉินได้มาหาพร้อมกับกล้าผลไม้ ซึ่งจี้เจี้ยนอวิ๋นก็เป็นคนจัดการเรื่องนี้ ขณะที่ซูตานหงกำลังปักผ้าต่อไป คราวนี้เธออยากปักผ้าผืนใหญ่กว่าเดิม เป็นผ้าปักอวยพรวันเกิดรูปเซียนทั้งแปด ซึ่งเป็นของสำหรับคนรวยเอาไว้อวยพรวันเกิดหญิงชราที่มีชีวิตอยู่มายาวนานหลายปี เมื่อใดที่ขายให้กับครอบครัวแบบนั้นแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดเงินเลย ต่อให้ตั้งราคาขนาดไหนก็ขายได้แน่นอน
แม้เจินเหมียวหงจะฉลาดในการใช้ชีวิต แต่หล่อนก็รู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้เรื่องและไม่กล้ากดราคาเธออย่างหนักแน่ เพื่อที่ธุรกิจนี้จะดำเนินต่อไปได้
ในตอนนี้ได้กลายเป็นว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นนั้นยุ่งอยู่กับงานในสวนผลไม้ ส่วนซูตานหงก็ยุ่งอยู่กับการปักผ้าและหุงหาอาหาร ทั้งคู่ต่างง่วนอยู่กับการทำงานของตัวเอง แต่ในทุกเย็นซูตานหงจะถือบัวรดน้ำเล็ก ๆ ขึ้นไปบนภูเขาพร้อมกับต้าเฮย เสี่ยวไป๋ และสุนัขตัวอื่น ๆ จี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นแล้วก็อยากตามไปด้วย แต่ซูตานหงก็ห้ามเขาไว้
“ตานหงน่ะไม่เป็นไรหรอก เจี้ยนอวิ๋น ต่อให้แกอยากตามหล่อนไปก็ไปได้แค่รอหล่อนอยู่ตรงเชิงเขาเท่านั้นล่ะ อย่าตามไปเลย” คุณแม่จี้บอก
จี้เจี้ยนอวิ๋นได้ฟังก็สงสัย “ทำไมเหรอครับ?”
“ถ้าแกขึ้นไป แล้วเซียนจิ้งจอกนั่นจะเสกให้ต้นกล้าผลไม้โตดีได้อย่างไรล่ะ? แกคิดว่าที่ต้นกล้าผลไม้โตดีเพราะได้รับน้ำสม่ำเสมองั้นเหรอ? ทุกอย่างเป็นเพราะเซียนจิ้งจอกเสกขึ้นทั้งนั้นล่ะ!” คุณแม่จี้กระซิบ
จี้เจี้ยนอวิ๋นถึงกับใบ้กิน นี่แม่คิดว่าภรรยาของเขาถูกเซียนจิ้งจอกเข้าสิงเหรอ?
…………………………………
Related