ตอนที่ 91 บ้านตระกูลซู
ซูจิ้นตั๋งเป็นคนนำคำพูดของคุณแม่จี้ไปพูดให้คุณแม่ซูฟัง เมื่อคุณแม่ซูได้ยิน นางก็บังเกิดอารมณ์ร่วมตาม
นางมีความประทับใจที่ไม่ดีนักต่อภรรยาของเหล่าจี้ กล่าวว่าอยู่ในระดับปานกลางก็เห็นจะไม่ได้ โดยเฉพาะตอนที่ตานหงยังเด็กและไม่มีเหตุผล นางก็เพ่งเล็งไปที่นิสัยของคุณแม่จี้ก่อน
ไหนเธอบอกว่าลูกชายเป็นทหาร แล้วตานหงเป็นภรรยาที่ดีของเขากันล่ะ หลังแต่งงานไปแล้ว หล่อนกลับมีชีวิตความเป็นอยู่ไม่ต่างจากแม่ม่ายสามีตายเลยสักนิด
เธอบอกว่าตัวเองเป็นแม่สามี แต่ทำไมไม่สนใจใยดีหล่อนให้มากกว่านี้ กลับไปเชื่อฟังคำพูดสะใภ้คนอื่นมากกว่าเสียอย่างนั้น!
แถมเรื่องสินสอดของหมั้นที่ไม่ลงตัวกันในตอนนั้นอีก ซึ่งทางตระกูลจี้เกือบจะหลอกลวงพวกเขาแล้ว
แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกนางได้ผ่อนคลายลง
คุณแม่ซูรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมากจึงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อทางนั้นให้มาแล้วเราก็กินเถอะ เนื้อวัวตุ๋นหัวไชเท้าในเย็นนี้ เป็นอาหารที่ดีไม่หยอกเลยนะ”
ในเมื่ออีกฝ่ายอยากแสดงน้ำใจ นางก็ไม่อาจคิดเล็กคิดน้อยเกินไปและทำให้ลูกสาวต้องอับอายได้ถูกไหม? อีกฝ่ายนำมาให้ นางก็ต้องนำมาทำอาหาร เพราะอย่างไรทางคนตระกูลจี้ก็รับเนื้อวัวเป็นของแสดงน้ำใจจากลูกสาวของนางเหมือนกัน
ฝ่ายสะใภ้รองซูเมื่อเห็นซูจิ้นตั๋งกลับมา หล่อนก็ยื่นอ่างใส่น้ำอุ่นให้เขาล้างหน้าและเอ่ยถามว่า “วันนี้เป็นยังไงบ้างคะ?”
“ก็เหมือนเคย” ซูจิ้นตั๋งตอบ “วันนี้ลูกชายผมทำตัวเรียบร้อยดีไหมครับ?”
“เรียบร้อยดีค่ะ นมผงมอลต์ที่ตานหงเอามาให้ล้วนเป็นของดีทั้งนั้น เด็กคนนี้เลยชอบกิน” สะใภ้รองซูเม้มปากแล้วคลี่ยิ้ม
“ถ้าเขาชอบก็ให้เขากินเถอะ หลังกินหมดแล้วผมจะเป็นคนไปซื้อใหม่เอง” ซูจิ้นตั๋งบอก
“อย่างไรคุณก็ต้องซื้อนมผงมาอยู่แล้วล่ะค่ะ แต่อย่าซื้อยี่ห้อแพง ๆ ก็พอ เรามีเงินเหลือไม่มากแล้ว เมื่อไหร่ที่เราเข้าเมืองอีกรอบก็ต้องซื้อของมากมายก่ายกองอีกครั้ง ทุกอย่างต้องใช้เงินหมดเลย” สะใภ้รองซูพูด
เนื่องจากนมรสมอลต์นี้พี่สะใภ้สามเป็นคนซื้อให้ ไม่อย่างนั้นหล่อนจะเต็มใจซื้อด้วยตัวเองหรือ? ของสิ่งนี้ดีก็จริง แต่มันก็แพงเกินไป
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว หล่อนก็รู้สึกว่าน้องสามีคนนี้เป็นคนดีจริง ๆ ในเดือนที่แล้วที่หล่อนอยู่ไฟหลังคลอด เธอก็ได้ส่งเนื้อมาให้หลายครั้ง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเนื้อติดมัน อีกทั้งยังมีขาหมูจำนวนหนึ่งที่เธอส่งมาเป็นพิเศษให้หล่อนกินบำรุงน้ำนม
นอกจากนี้ยังมีนมผงมอลต์ 2 กระป๋อง ซึ่งล้วนแล้วเป็นของแพงหูฉี่ อย่าว่าแต่จะซื้อ 2 กระป๋องเลย แม้กระป๋องเดียวก็อาจไม่กล้าซื้อกันด้วยซ้ำ
ด้วยความกังวลว่าหลานชายของเขาจะก่อกวนหล่อนผู้เป็นแม่ เจี้ยนอวิ๋นจึงมอบส่วนแบ่งอีกส่วนหนึ่งให้ครอบครัวพี่ภรรยาเป็นพิเศษ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้หล่อนได้หยุดพักอยู่ไฟหลังคลอดแต่ก็ไม่นานนัก เพียง 15 วันเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็รู้สึกพอใจมาก
หากเป็นผู้หญิงคนอื่นในหมู่บ้านจะได้พักอยู่ไฟหลังคลอด 11 หรือ 12 วัน ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดี เพราะต่อให้หล่อนต้องพักอยู่ไฟหลังคลอดถึงครึ่งเดือน แต่หล่อนก็ไม่ต้องทำงานหนักใด ๆ ไม่ต้องกล่าวเลยว่าคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านที่มาเยี่ยมต่างก็บอกว่าหล่อนมีชีวิตที่ดี ผู้ชายของหล่อนช่างดีเหลือเกินที่ผ่านพ้นช่วงนี้มาได้ ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่ของหล่อนเมื่อก่อนหน้านั้นมีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญมากนัก หล่อนได้พักอยู่ไฟหลังคลอดเพียง 11 หรือ 12 วันเท่านั้น และยังมีอาหารไม่พอกินอีกด้วย จึงทำให้มีน้ำนมไม่มากเท่ากับหล่อน
และเป็นน้องสามีคนนี้นี่เองที่ช่วยพูดให้กับแม่สามี บุญคุณนี้หล่อนจะรับเอาไว้
“ถ้าสือโถวโตเมื่อไหร่ ฉันจะพาเขาไปหาคุณอาเล็กของเขานะคะ” สะใภ้รองซูกล่าว
“ได้สิ แต่ตอนนี้ตานหงเปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ หล่อนค่อนข้างจะมือเติบเอาเรื่องเลยทีเดียว คุณก็อย่าลืมเตือน ๆ หล่อนไว้บ้างแล้วกัน” ซูจิ้นตั๋งบอก
เธอเป็นน้องสาวของเขา ดังนั้นเขาจะต้องสั่งสอนให้มากกว่านี้หน่อย
สะใภ้รองซูถึงกับอึ้งไป จากนั้นก็กลอกตามองเขาอย่างแง่งอน “คุณจะให้ฉันพูดอะไรเหรอคะ? น้องสามีให้ของดี ๆ กับฉันมาตั้งหลายอย่าง จะให้ฉันบอกหล่อนว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแล้วฉันจะพูดได้เหรอคะ?”
คราวที่แล้วเธอก็ซื้อแอปเปิลมาให้เป็นจำนวนมาก ซึ่งล้วนแต่เป็นแอปเปิลสีแดงสดทั้งหมด และพวกมันก็อร่อยมาก
และเป็นเพราะในตอนตั้งครรภ์หล่อนได้กินอาหารดี ๆ หลายอย่างที่น้องสามีให้มาด้วยนี่เอง ทำให้ลูกชายที่หล่อนคลอดออกมาดูดีกว่าหลานชายครอบครัวอื่นเสียอีก แม้แต่คุณแม่ซูยังเอ่ยชมเป็นบางคราว
“ผมว่าจะไม่พูดอะไรแล้ว แต่หล่อนกินอาหารสามมื้อดีเกินไป ต่อให้มีภูเขาเงินภูเขาทองก็เลี้ยงหล่อนไม่ไหว ตอนนี้เหรินเหรินยังเล็กอยู่ แต่ต่อไปภายหน้าหล่อนจะต้องใช้เงินไปกับค่าเล่าเรียนและเรื่องอื่น ๆ อีกนะ” ซูจิ้นตั๋งบอก
“ฉันคิดว่าตอนนี้น้องสามีประสบความสำเร็จแล้วนะคะ คุณเองก็ได้ไปเห็นสวนผลไม้แล้ว ในอนาคตมันจะต้องเจริญงอกงามและทำเงินได้มหาศาลแน่ ๆ ค่ะ แล้วคุณก็น่าจะรู้ว่าน้องสามีทำงานปักผ้าด้วย ผ้าปักชิ้นหนึ่งสามารถทำเงินได้มากมายเชียวนะคะ อย่าว่าแต่น้องสามีเลย ถ้าฉันเป็นน้องสามี ฉันก็ไม่ใช้ชีวิตอยู่แบบลำบากหรอกค่ะ” สะใภ้รองซูเอ่ย
ซูจิ้นตั๋งเดาะลิ้นทำเสียงจิ๊จ๊ะ “พวกคุณนายอย่างคุณ ๆ นี่นะ”
“เอาล่ะค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะบอกน้องสามีให้นะคะ แต่อย่าหวังอะไรมากเลย ถ้าร้านค้าในเมืองเปิดเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นก็คงจะดีขึ้นล่ะค่ะ” สะใภ้รองซูเอ่ย
ทันทีที่คิดว่าจะย้ายไปอยู่ในเมือง สะใภ้รองซูก็บังเกิดพลังขับเคลื่อนขึ้นมา ใครจะรู้ล่ะว่าหล่อนต้องรบกวนครอบครัวน้องเขยขนาดไหน
ถ้าคานเพดานไม่ตรงคานข้างล่างก็เบี้ยวตาม* ครอบครัวพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ไม่เพียงแต่จะขี้เกียจ หลานชายกับหลานสาวที่เกิดมาก็ยังได้นิสัยนี้จากพ่อแม่มามากด้วย เพราะเมื่อวานซืนนี้เองลูกชายของบ้านนั้นก็เพิ่งมาขโมยนมมอลต์ของสือโถวกิน หล่อนจึงไปหาพี่สะใภ้ใหญ่แล้วบอกว่าถ้าอยากจะกินมากขนาดไหนก็ให้มาขอก่อน
*เชื้อไม่ทิ้งแถว, ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
มาขอกันก่อนมันจะมีปัญหานักเหรอ!
ติดที่หล่อนยังอยู่ร่วมชายคาเดียวกับพวกเขา จึงพูดอะไรไม่ได้มากนัก แต่ก็ตั้งใจที่จะย้ายออกไปแล้ว
ในจุดนี้เอง ซูจิ้นตั๋งก็เข้าใจหล่อน เขาเองก็ไม่อยากอยู่ร่วมกับครอบครัวพี่ชายเช่นเดียวกัน
“อีกไม่นานไก่พวกนั้นก็จะโตพอดี จากนั้นอีกเดือนเดียวก็น่าจะพร้อมเชือดได้แล้วล่ะครับ” ซูจิ้นตั๋งปลอบภรรยา
สะใภ้รองซูพยักหน้า
อาหารในเย็นนี้เป็นเนื้อวัวตุ๋นหัวไชเท้า ซึ่งทุกคนล้วนพอใจมาก
“เจ้ารอง แกนี่ไม่เลวเลยนะที่เอาเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้กลับมาจากตานหงได้ คราวหน้าเอามาเยอะหน่อยสิ” ซูจิ้นจวินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ซูจิ้นตั๋งยังไม่ทันพูดอะไร คุณแม่ซูก็เอ็ดขึ้นก่อน “คราวหน้าเอากลับมาเยอะหน่อยอะไรกัน? แกไม่รู้เหรอว่าตอนนี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังออกไปเรียนการจัดการสวนแล้วก็พาแม่ของตัวเองมาอยู่กับตานหงแล้ว? แกอยากให้ตานหงแบกหน้ารับคำดุด่าจากแม่สามีหล่อนหรือยังไง?”
“แม่ ทำไมต้องพูดจาเกรี้ยวกราดขนาดนั้นด้วยล่ะครับ? ผมก็แค่พูดเฉย ๆ ถ้าเอามาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” ซูจิ้นจวินพูด
“แกหยุดคิดอะไรแบบนั้นเลยนะ ถ้าฉันได้ยินแกกล้ามาขออะไรจากตานหงอีก ฉันจะหักขาแก!” คุณแม่ซูขู่
ซูจิ้นจวินยิ้มแหย “แม่คิดมากเกินไปแล้ว มันก็ของจากบ้านคนอื่น เอาของของเขามาแล้วมันจะเป็นอะไรนักหนา?”
“ต่อให้ตานหงแต่งงานออกไปแล้ว หล่อนก็ยังเป็นลูกสาวของตระกูลซูอยู่นะครับ!” ซูจิ้นตั๋งย่นคิ้ว
คุณแม่ซูจ้องมองเขาเขม็งเช่นกัน “งาช้างไม่มีทางงอกจากปากสุนัข ของที่ตานหงนำกลับมาให้แกกินนี่ช่างเสียเปล่าจริง ๆ!”
“คุณแม่คะ จิ้นจวินไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอกค่ะ คุณแม่อย่าเข้าใจผิดเลย” สะใภ้ใหญ่ซูรีบเอ่ยขึ้นมา หล่อนยังหวังจะได้ประโยชน์จากน้องสามีอยู่บ้าง จึงไม่กล้าสร้างปัญหามากนัก
“บ้านรองกลับไปดูแลสือโถวเถอะ ส่วนบ้านใหญ่อยู่เก็บของที่นี่ก่อน” คุณแม่ซูสั่ง ก่อนที่นางจะกลับไป
สะใภ้รองซูจึงพาซูจิ้นตั๋งกลับไป ส่วนสะใภ้ใหญ่ซูมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา
เด็ก ๆ ออกไปเล่นกันหมดแล้ว ซูจิ้นจวินเองก็มีท่าทางโง่งม ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ผมจะออกไปเดินเล่น ผมกินมื้อนี้อิ่มแล้ว”
“น่าเบื่อจริง ๆ!”
สะใภ้ใหญ่ซูเห็นสามีของหล่อนเป็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้า
บ้านรองมีชีวิตที่ดีและได้ใกล้ชิดกับน้องสามีแล้ว ทำไมผู้ชายของหล่อนไม่เรียนรู้อะไรแบบนี้เลยนะ?
…………………………