ตอนที่ 92 อุดมสมบูรณ์
ซูตานหงไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ในบ้านตระกูลซูตอนนี้เป็นอย่างไร
แต่เธอมีความคิดที่เปลี่ยนไปต่อการกระทำของคุณแม่จี้แล้ว
อย่าว่าแต่สังคมในชาตินี้เลย แม้แต่ชาติก่อนนี้ หากมีคนรู้ว่าลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วยังปรนนิบัติครอบครัวทางแม่ของตัวเองอยู่ เธอก็คงจะตกเป็นเป้าให้โดนนินทาลับหลังแน่
แต่ซูตานหงก็ไม่สนใจมากนัก เป็นเพราะเธอหาเงินได้ด้วยตัวเอง เธอจะใช้เงินที่หามาได้ไปกับอะไรก็เป็นเรื่องของเธอ เธอไม่ได้ใช้เงินของจี้เจี้ยนอวิ๋นสักหน่อย ใครจะบอกว่ามันไม่ใช่เงินของเธอได้ล่ะ?
ใครจะคิดอย่างไรก็คิดไป แต่คุณแม่จี้ได้แสดงทัศนคติออกมาแล้วว่านางยกย่องและเห็นความสำคัญของสะใภ้คนนี้มากขนาดไหน
เป็นเพราะนางเคารพยกย่องเธอ นางจึงยอมติดต่อสานสัมพันธ์กับบ้านตระกูลซู และยังขอบคุณบ้านตระกูลซูที่เลี้ยงดูลูกสาวคนนี้ให้เป็นสะใภ้บ้านตระกูลจี้อีกด้วย
ชีวิตของพวกเขาตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ขณะที่คนอื่น ๆ รอบหมู่บ้านยังไม่ได้กินดีอยู่ดีขนาดนี้ เนื้อยังกลายเป็นสิ่งของหายากอยู่ หากกินเนื้อสองมื้อในหนึ่งเดือนได้ก็นับว่าดีแล้ว
ดังนั้นเนื้อวัวชิ้นนั้นที่เกือบจะมีน้ำหนักราว 1 ชั่งจึงเป็นของดีมากทีเดียว
ด้วยนิสัยของคุณแม่จี้แล้ว ซูตานหงจึงเพิ่มอาหารจานผักลงไปด้วยในมื้อเย็นของครอบครัว แม้คุณแม่จี้จะบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำกับข้าวเยอะนัก แต่นางก็มีความสุขที่ได้กินอย่างเห็นได้ชัด
“จริงสิคะคุณแม่ พื้นที่สวนหลังบ้านดูกว้างใหญ่ไม่น้อย ถ้าฉันจะปลูกต้นไม้ผลด้วย คุณแม่จะว่าอย่างไรคะ?” ซูตานหงถาม
คุณแม่จี้ได้ยินคำพูดของเธอก็เริ่มครุ่นคิด พื้นดินที่บ้านสามปลูกต้นไม้ได้ดีขนาดไหนกันล่ะ? ดูพุทราสองต้นในสวนหลังบ้านนั่นสิ โตดีกว่าต้นบนภูเขาเสียอีก!
“ถ้าเธอชอบกินแตงโม เธอก็ปลูกแตงโมที่แปลงในสวนหลังบ้านก็ได้นะ”คุณแม่จี้เอ่ยอย่างรวดเร็ว
“แตงโมเหรอคะ?” ดวงตาของซูตานหงเป็นประกาย ในชีวิตชาติก่อนเธอไม่เคยกินผลไม้ชนิดนี้เลย แต่เธอได้กินแล้วชิ้นหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว แล้วมันก็อร่อยมาก
“เธอชอบไหมล่ะ? แม่คิดว่าปลูกไว้ที่สวนหลังบ้านของเธอบ้างก็ดีนะ” คุณแม่จี้บอก
“ค่ะ งั้นเราปลูกแตงโมไว้กินก็แล้วกันค่ะ” ซูตานหงยิ้ม
“ถ้างั้นแม่จะหาเมล็ดมาให้เธอปลูกแล้วกัน” คุณแม่จี้บอก
คุณแม่จี้ทำงานได้รวดเร็วมาก วันต่อมานางก็เข้าเมืองไปซื้อเมล็ดแตงโมกับเมล็ดสตรอเบอรี่มาอย่างละกำมือ
“เมล็ดสตรอเบอรี่นี้ดีมาก แม่ไปเห็นเข้าตอนที่ซื้อเมล็ดก็เลยเอามาให้เธอด้วย แม่จะปลูกไว้ในสวนหลังบ้านแล้วให้เธอไปรดน้ำนะ” คุณแม่จี้พูด
“ได้ค่ะ” ซูตานหงตอบ ของพวกนี้ล้วนเป็นของชอบของเธอทั้งนั้น
คุณแม่จี้เดินไปที่สวนหลังบ้านเพื่อปลูกแตงโมกับสตรอเบอรี่ แต่แล้วก็ยังเหลือเมล็ดอยู่อีกมาก นางจึงวางแผนไว้ว่าควรจะปลูกในสวนหลังบ้านมากเท่าไหร่ดี? เพื่อจะได้นำเมล็ดที่เหลือไปปลูกบนภูเขาด้วย
“ถ้าเธอมีเวลาก็อย่าลืมไปรดน้ำเมล็ดพวกนี้บนภูเขาด้วยนะ” คุณแม่จี้บอก
ซูตานหงคิดใคร่ครวญกับคำพูดของแม่สามีแล้วก็ตอบอย่างหนักแน่น จากนั้นจึงหยิบบัวรดน้ำมาใส่น้ำ “คุณแม่ขึ้นไปปลูกเถอะค่ะ อย่าลืมรดน้ำนี้ลงไปด้วยนะคะ พวกมันจะได้โตดี”
“แม่จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” คุณแม่จี้บอกอย่างมีความสุข และคว้าบัวรดน้ำเดินขึ้นภูเขาไป
เด็ก ๆ สองพี่น้องในห้องของซูตานหงหลับสนิททั้งคู่ เธอจึงเดินออกมารดน้ำเมล็ดในสวนหลังบ้าน ต้นไม้พวกนี้ปลูกไว้เพื่อกินเองในบ้าน เพราะอย่างไรเสียที่ดินตรงนี้ก็ไม่ได้ใช้ทำอะไร
การที่คุณแม่จี้จะขึ้นไปปลูกแตงโมกับสตรอเบอรี่ไว้บนภูเขาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะพืชหลักที่ปลูกในสวนของพวกเขาก็คือต้นไม้ผล
“พวกเธอไม่ต้องห่วงว่าแตงโมกับสตรอเบอรี่จะไม่โตนะ ฉันรดน้ำทุกวัน แล้วฉันก็ทำได้เองด้วย” คุณแม่จี้บอก
นางคิดดีแล้ว เพราะตานหงยังต้องเลี้ยงดูเด็ก ๆ และเด็กทั้งคู่ก็ติดเธอแจ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังมีช่วงว่างอยู่ ดังนั้นให้ขึ้นไปรดน้ำบนภูเขาเป็นบางครั้งก็คงไม่เป็นไร ส่วนน้ำที่ใช้รดนั้นตานหงเป็นคนให้นาง ซึ่งน้ำนี่ก็คงไม่มีปัญหาอะไรเพราะผ่านการปลุกเสกจากเซียนจิ้งจอกมาแล้ว
เมล็ดพืชที่คุณแม่จี้ซื้อมาไม่ทำให้นางผิดหวังแม้แต่น้อย เพราะภายในสามวันพวกมันก็งอก และไม่นานนักก็แตกใบอ่อนออกมา
สองวันที่ผ่านมาคุณแม่จี้ได้มาถางที่เอาไว้เป็นจำนวนมาก คุณพ่อจี้เห็นแล้วก็ไม่รบกวนนาง คุณแม่จี้แม้จะยุ่งแต่ก็มีความสุข บางทีแตงโมกับสตรอเบอรี่อาจจะโตดีก็ได้? ถึงตอนนั้นก็คงจะขายได้เงินมาจำนวนหนึ่ง
นางขุดถางที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงอย่างไรพื้นที่ตรงนี้ก็ไม่เหมาะที่จะปลูกไม้ผลอยู่แล้ว ถ้าต้องปล่อยทิ้งร้างก็ปล่อยไป
ในตอนนี้คุณพ่อจี้กับคนอื่น ๆ ต่างยุ่งกับงานเช่นกัน เพราะหลังจากฤดูหนาวนี้ผ่านไปไก่ก็โตขึ้นมาก จนมีขนาดใหญ่พอที่จะปล่อยขายได้ในเดือนหน้าแล้ว ดังนั้นจี้หงจวิน สวี่อ้ายตั๋ง และซูจิ้นตั๋งจึงมารวมตัวกันที่นี่
คนบางคนมีชื่อคล้ายกันไม่น้อย แต่คนในรุ่นพวกเขาต่างก็มีชื่อเรียกกันแบบนี้ และเป็นปกติที่จะมีการเรียกชื่อซ้ำกัน
คนเหล่านี้ทำงานกันดีมาก และคุณพ่อจี้เองก็ทำงานมากมายร่วมกับพวกเขาด้วย
พ่อไก่ถูกจับแยกออกมาเลี้ยงในเล้าแยกโดยเฉพาะ ส่วนแม่ไก่นั้นปล่อยให้ออกไข่ต่อไป พ่อไก่ที่จับแยกออกมานี้ส่วนใหญ่จะถูกส่งเชือด หลังจากนั้นไม่นานก็จะเป็นคราวของแม่ไก่
ทั้งฟาร์มไก่ตอนนี้มีไก่อยู่มากกว่า 200 ตัว ตอนที่พวกมันยังเล็ก ก็ไม่เป็นที่คาดคิดว่าในตอนที่โตแล้วจะมีจำนวนมากมายน่าประทับใจขนาดนี้
เมื่อฤดูหนาวผ่านไปครั้งหนึ่ง ก็มีไก่อ่อนแอบางตัวที่ล้มตายไป ในขณะที่ตัวอื่น ๆ ยังคงอยู่รอด ซึ่งอัตรารอดชีวิตของพวกมันนี้อยู่เหนือความคาดหมายของคุณพ่อจี้มากนัก
เดิมทีเขาคิดว่ารอดชีวิตอย่างมากครึ่งหนึ่งก็ถือว่าดีแล้ว!
ตอนนี้ไก่พวกนี้โตดีมากเหลือเกิน คุณพ่อจี้จึงมองหาลูกเจี๊ยบจากข้างนอกเพื่อเตรียมมาเลี้ยงอีกครั้ง แม้ตอนนี้จะค่อนข้างช้าไปหน่อย แต่ก็น่าจะยังมีเหลืออยู่บ้าง
ไม่นานนักคุณพ่อจี้ก็พาซูจิ้นตั๋งกลับมาพร้อมกับลูกเจี๊ยบจำนวนมาก คราวนี้ได้มาเกือบ 200 กว่าตัว
ในตอนแรกจี้เจี้ยนอวิ๋นไม่คิดจะเลี้ยงไก่มากนัก แต่คุณพ่อจี้เห็นว่าไม่มีปัญหา มันไม่มีปัญหาหรอกหากจะเลี้ยงและขายไก่ในเวลาเดียวกัน แถมเล้าไก่ก็ได้รับการทำความสะอาดทุกวัน และมีการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่จี้เจี้ยนอวิ๋นนำมาจากโรงพยาบาลด้วย เล้าไก่จึงสะอาดไม่มีปัญหาด้านสุขอนามัยใด ๆ
พวกเขาทำงานทุกอย่างด้วยความเร่งรีบ จนคนในหมู่บ้านมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ
ซูตานหงเองก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา แต่เธอก็ไม่ได้เข้าไปยุ่ง พ่อสามีของเธอที่อยู่บนภูเขากำลังติดลมบน และพวกเขาทั้งหมดต่างก็กำลังหาเงิน เธอจึงไม่อาจพูดอะไรได้
ส่วนเรื่องกลิ่นนั้นยังเป็นปัญหาค่อนข้างใหญ่ ไว้ค่อยมาดูว่ามีปัญหาเรื่องไหนยังไม่ได้แก้ไขทีหลังแล้วกัน เรื่องนี้ค่อยแก้ตอนที่จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาแล้ว เธอไม่คิดที่จะสนใจมันหรอก
คนในหมู่บ้านก็มาถามเธอเช่นกันว่าทำไมพวกเขาถึงซื้อลูกเจี๊ยบไปมากขนาดนั้น?
ซูตานหงยิ้มแล้วตอบว่า “ปีที่แล้วเราซื้อไว้แล้วรอดไม่เยอะน่ะค่ะ ไม่ใช่ว่านี่คือการเลี้ยงรอบใหม่เหรอคะ?”
ความจริงแล้วไก่เมื่อปีที่แล้วเติบโตดีมาก แต่เธอไม่อาจพูดไปตรง ๆ แบบนี้ได้ แม้เธอจะไม่กลัวว่ามีใครมาขโมย เพราะสุนัขบนภูเขาต่างไม่ใช่พวกกินพืช แต่เธอก็ไม่อยากให้มันดึงดูดความสนใจของขโมยเกินไปนัก
คราวนี้ดูเหมือนว่าสวนผลไม้จะเจริญรุ่งเรืองมากกว่าเดิม ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ภายในสวนเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องไก่นั้น พวกมันจะถูกขายไปพร้อมกับเลี้ยงชุดใหม่ในคราวเดียวกัน พวกเขาไม่ได้ทำงานในสวนแล้วจะบอกได้อย่างไร?
ได้ยินสิ่งที่เธอพูดแล้วชาวบ้านเหล่านั้นก็ไม่พูดอะไรมาก แต่มีบางคนบอกว่าอยากไปดูสวนสักหน่อย ซึ่งซูตานหงก็เอ่ยปฏิเสธว่าไว้วันหลัง
สวนของเธอไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะไปเยี่ยมชมได้ ทำไมทุกคนถึงอยากจะเข้าไปดูกันนัก?
ส่วนบรรดาคุณลุงในตระกูลจี้ที่คุณพ่อจี้เป็นคนพาเข้าไปนั้นเธอไม่อาจว่ากล่าวอะไรได้ เพราะหลังจากที่คุณลุงพวกนั้นเข้าไปดูแล้วพวกเขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และปากหนักไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาเลย
แต่พูดโดยทั่วไปก็คือ สวนผลไม้บนภูเขาแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาและอุดมสมบูรณ์มาก
……………………………………