ตอนที่ 93 อยากใช้ชีวิตให้นานกว่านี้
“จิ้นตั๋ง น้ำที่จะให้สัตว์กินมันหมดแล้วนะ เธอลงเขาไปขนน้ำขึ้นมาหน่อยสิ” คุณพ่อจี้เอ่ยกับซูจิ้นตั๋ง
ในตอนนี้ปริมาณการใช้น้ำบนภูเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องพูดถึงคุณแม่จี้ที่ตักน้ำบางส่วนไปรดน้ำแตงโมกับสตรอเบอรี่ทุกวันเลย นับว่าเป็นการใช้น้ำมหาศาลจริง ๆ
“ได้ครับ” ซูจิ้นตั๋งแบกถังน้ำสองใบและเดินลงมาจากภูเขา
สำหรับชายชนบทแล้ว การแบกถังน้ำสองใบในคราวเดียวไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงนัก
“พี่รอง พักก่อนค่ะ”
เมื่อเห็นซูจิ้นตั๋งเดินลงมาจากภูเขาเพื่อมาตักน้ำ ซูตานหงก็ร้องทัก
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่งานเหนื่อยยากอะไร” ซูจิ้นตั๋งหัวเราะ
บนภูเขานั้นมีการสนทนากันมากมาย แต่ก็มีคนอยู่มากเช่นกัน โดยเฉลี่ยแล้วก็ไม่ถือว่ามากเท่าใด และเมื่อเทียบกับจี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งแล้ว นับว่าเขาได้รับการปฏิบัติดีกว่า เพราะเขาได้กินข้าวกลางวันในเรือนพักของคุณพ่อจี้โดยไม่ต้องกลับไปกินที่บ้านตัวเอง
ซึ่งเขาก็กินอาหารกลางวันทุกมื้อด้วยความพอใจ
“พี่รอง พี่กลับไปวันนี้แล้วช่วยดูว่าพี่สะใภ้รองว่างหรือเปล่าด้วยนะคะ ถ้าหล่อนว่างก็ให้พาหลานชายฉันมาเยี่ยมที่นี่ได้เลย” ซูตานหงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พี่สะใภ้รองเองก็คิดอยู่เหมือนกัน อีกไม่นานพี่จะให้หล่อนพาสือโถวมาเยี่ยมนะ” ซูจิ้นตั๋งพยักหน้า
จากนั้นเขาก็ตักน้ำแล้วแบกถังน้ำขึ้นภูเขาไป
ใน 2 วันต่อมาสะใภ้รองซูก็มาเยี่ยมพร้อมกับสือโถวน้อย ซึ่งเยียนเอ๋อร์กับเหรินเหรินก็ให้การต้อนรับน้องชายคนใหม่เป็นอย่างดี
“ไม่เจอกันแค่แป๊บเดียว เหรินเหรินก็ดูเปลี่ยนไปอีกแล้วนะจ๊ะ” สะใภ้รองซูมองเหรินเหรินน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
“เด็กคนนี้กินจุมากเลยค่ะ กินเยอะแล้วก็โตเร็วมากด้วย แต่สือโถวก็ใช่ย่อยเลยนะคะเนี่ย ให้ฉันลองอุ้มหน่อยนะคะ” ซูตานหงยิ้มและรับตัวสือโถวน้อยมาอุ้ม
เหรินเหรินน้อยแก่กว่าสือโถวน้อยเกือบ 3 เดือน ตอนนี้สือโถวน้อยมีอายุเกือบ 2 เดือนเท่านั้น ขณะที่เหรินเหรินมีอายุ 5 เดือน ซึ่งเด็กอายุ 5 เดือนจะเคลื่อนไหวร่างกายและมีช่วงตื่นนอนมากกว่า ดังนั้นจึงต้องการอาหารมากกว่าและเติบโตเร็วกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
สือโถวน้อยผู้มีอายุราว 2 เดือนดูดีมากกว่าที่เธอเห็นคราวที่แล้ว เขาดูตัวโตขึ้นไม่น้อย เนื้อตัวก็สะอาดสะอ้านด้วยฝีมือของสะใภ้รองซู ไม่เลอะเทอะเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ
“คราวที่แล้วพี่หงก็ไปซื้อนมผงมาให้อีกแล้ว มาจากเซี่ยงไฮ้เลยนะคะ ฉันเก็บไว้ให้เหรินเหรินแล้วกระป๋องหนึ่ง ส่วนพี่ก็เอาไปอีกกระป๋องไปชงให้สือโถวดื่มนะคะ” ซูตานหงบอก
“แบบนี้ไม่ได้หรอกจ้ะ น้องสามีเก็บไว้ให้เหรินเหรินกินเถอะ พี่ให้สือโถวดื่มจากอกพี่เองก็ได้” สะใภ้รองซูเอ่ยรัวเร็ว
“อย่าเกรงใจฉันเลยค่ะ เขาเป็นลูกชายของพี่ชายรองฉัน ให้เขากินนมผงของอาเขาแล้วจะเป็นอะไรไปคะ? ไว้เขาโตขึ้นแล้วค่อยให้เขาซื้ออะไรมาตอบแทนอาของเขาก็ได้ค่ะ”
ถ้าเป็นลูกของพี่ชายคนโตล่ะก็ เธอไม่สนใจหรอก
อย่าหาว่าเธอเลือกที่รักมักที่ชังเลย ขนาดนิ้วทั้งห้ายังสั้นยาวไม่เท่ากัน แล้วผิดหรือที่เธอจะลำเอียงบ้าง?
ช่วงที่เธออยู่ในครอบครัวทางแม่นั้นก็เป็นพี่ชายรองที่ดูแลเธอมากที่สุด ก่อนหน้านี้หลังจากออกไปทำงาน เขาก็ให้เงิน 1 หรือ 2 เหมากับเธอไว้เป็นเงินขวัญถุง แม้จะเป็นเงินไม่มาก แต่นั่นก็เป็นเงินที่เขามี เขาจะเก็บไว้กับตัวเองราว 1 หรือ 2 เหมา ส่วนที่เหลือนั้นยกให้เป็นของคุณแม่ซูไป
ส่วนพี่ชายใหญ่ของเธอน่ะเหรอ? เขาก็นอนตีพุงเป็นลุงแก่ ๆ อยู่ที่บ้าน ไม่ทำงานหนักอะไรเลย แถมยังจะใช้เธอทำงานให้อยู่ตลอดเวลา ใครจะไปคุ้นเคยกับนิสัยของเขากัน?
ตามปกติแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพี่ชายคนโตนั้นธรรมดาทั่วไป ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพี่ชายคนรองถือว่าดีมาก
ดังนั้นซูตานหงจึงเลือกปฏิบัติได้โดยง่ายและไม่รู้สึกเสียใจเลย
ได้ยินน้องสามีพูดแล้ว สะใภ้รองซูก็ต้องพยักหน้ารับด้วยความกระดากใจ หลังจากนั้นเยียนเอ๋อร์ก็มาหาอาสะใภ้และแสดงท่าทางว่าอยากปัสสาวะ ซูตานหงจึงอุ้มพาเธอไปปัสสาวะในทันที
“แม่…น้ำ…ดื่ม” เยียนเอ๋อร์พูดหลังจากปัสสาวะเสร็จแล้ว
สะใภ้รองซูอึ้งไปชั่วขณะ ส่วนซูตานหงก็เทน้ำให้เด็กหญิงดื่ม แล้วเธอก็ไปเล่นกับบรรดาน้องชายของตัวเองอีกรอบ
“น้องสามี นี่ลูกสาวของน้องสี่ฝั่งสามีเธอไม่ใช่เหรอจ๊ะ ทำไมถึงเรียกเธอว่าแม่ล่ะ?” สะใภ้รองซูอึ้งไป
ซูตานหงยิ้มและเอ่ยตอบ “เยียนเอ๋อร์ยังเด็กและไม่รู้เรื่องราวอะไรมากน่ะค่ะ ถ้าโตขึ้นแล้วก็น่าจะเปลี่ยนสรรพนามไปเอง”
มีหลายครั้งที่เธอพยายามแก้สรรพนามให้ถูกต้อง แต่ในบางครั้งเยียนเอ๋อร์ก็ยังคงเรียกเธอว่าแม่ต่อหน้าแม่สามี เมื่อผ่านช่วงที่ไม่ชินหูในตอนแรกไปแล้วนางก็ชินไปเองในภายหลัง ซึ่งคุณแม่จี้ก็เอ่ยชมเธอในเรื่องที่ดูแลเอาใจใส่เยียนเอ๋อร์เป็นอย่างดี จนเด็กหญิงนับว่าเธอเป็นแม่
เมื่อได้ยินคำอธิบายดังนี้ สะใภ้รองซูก็เอ่ยกระซิบ “น้องสามี เธอตั้งใจจะเลี้ยงต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้เหรอจ๊ะ?”
“ให้เลี้ยงนานแค่ไหนก็เลี้ยงได้ค่ะ ดีเสียอีกที่เหรินเหรินจะได้มีเพื่อนเล่นเยอะขึ้น” ซูตานหงตอบด้วยรอยยิ้ม
เยียนเอ๋อร์ยังคงมีความประพฤติที่ดี และตอนนี้เธอก็โตขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะต้องการไปอุจจาระหรือปัสสาวะ เธอก็จะพูดขึ้นก่อนทุกครั้ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเลี้ยงดูเธอ ขอแค่มีอาหารให้กินอิ่มท้องเท่านั้น
เลี้ยงเด็กคนหนึ่งจะเป็นเรื่องยากขนาดไหนเชียว? นอกจากนี้เธอก็อยู่บ้านตลอดทั้งวัน ให้เลี้ยงทั้งวันก็ไหว ดังนั้นเธอจึงเลี้ยงเด็กหญิงต่อไป
“นั่นสินะน้องสามี ใครบ้างที่จะไม่เต็มใจให้เธอเลี้ยง?” สะใภ้รองซูพูด
สิ่งที่หล่อนพูดนั้นเป็นความจริงเช่นกัน ใครจะช่วยคนอื่นเลี้ยงดูลูกหลานได้ดีกว่านี้ได้อีกละ? เด็กคนนี้ถูกเลี้ยงในช่วงที่ยังเล็ก ไม่ว่าจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีขนาดไหน หากพวกเขาได้เจอกับพ่อแม่ที่แท้จริง พวกเขาก็จะลืมสิ้นทุกสิ่ง แล้วยังจะคาดหวังอะไรได้อยู่อีก?
ซูตานหงยิ้มและไม่ต่อบทสนทนา
จะกล่าวได้ไหมว่าการเลี้ยงเยียนเอ๋อร์คือการปูพื้นฐานให้กับลูกสาวในอนาคตของเธอเอง?
หลังชวนให้สะใภ้รองซูร่วมกินอาหารกลางวัน สะใภ้รองซูก็ได้เห็นความหรูหราของอาหารบ้านนี้
กับข้าว 4 อย่างกับน้ำแกง 1 อย่าง
อาหารสองอย่างนั้นเป็นอาหารจานเนื้อ มีไข่คนหนึ่งจานและเนื้อน้ำแดงหนึ่งจาน ส่วนน้ำแกงนั้นเป็นแกงจืดเต้าหู้
ตอนนี้ถึงเวลาสมควรที่หล่อนจะกลับแล้ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าของคุณแม่จี้และอาการสงบของน้องสามี สะใภ้รองซูก็กลืนคำพูดลงคอไปเงียบ ๆ
ในเย็นนั้นเอง สะใภ้รองซูก็ได้กลับไปพร้อมกับซูจิ้นตั๋ง
ระหว่างทางสะใภ้รองซูก็เอ่ยขึ้น “จิ้นตั๋ง วันนี้ฉันไปเห็นมากับตาแล้วนะว่าน้องสามีมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างที่คุณว่าจริง ๆ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย คุณอย่าให้ฉันโน้มน้าวหล่อนเลยค่ะ ขนาดแม่สามียังไม่ว่าอะไรแล้วฉันจะไปพูดอะไรกับหล่อนได้?”
ขนาดแม่สามียังชินไปแล้ว แล้วหล่อนยังจะพูดอะไรได้อีก?
ซูจิ้นตั๋งได้ยินก็เอ่ยขึ้น “คุณไม่พูดก็ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ทำไมถึงมีกระป๋องนมผงมาด้วยล่ะ?”
“น้องสามีให้ฉันมาน่ะค่ะ ฉันปฏิเสธไม่ได้ก็เลยต้องรับมา” สะใภ้รองซูพูด
ซูจิ้นตั๋งได้ยินก็พ่นลมหายใจ “คุณปฏิเสธไม่ได้ก็เลยรับมาเนี่ยนะ คุณไม่อายรึไง? นมผงที่นี่ก็ยังมี นี่คุณเกรงว่าต่อให้เข้าเมืองไปแล้วก็ยังหาซื้อไม่ได้ใช่ไหม?”
“คือว่า มันเป็นของที่มาจากเซี่ยงไฮ้น่ะค่ะ แล้วมันก็ดีต่อสือโถวด้วย” สะใภ้รองซูยิ้ม
ซูจิ้นตั๋งส่ายหน้าและไม่พูดอะไรอีก
ส่วนซูตานหงที่ทำอาหารเย็นอยู่ก็เอ่ยกับคุณแม่จี้ “คุณแม่คะ พรุ่งนี้คุณแม่ช่วยซื้อเนื้อซี่โครงมา 2-3 ชั่งหน่อยนะคะ ฉันจะเอามาตุ๋นกับไข่และเห็ดน่ะค่ะ ไม่ได้กินอาหารนี้มานานแล้ว”
จากนั้นเธอก็ให้เงิน 10 หยวนกับคุณแม่จี้
แม้คุณแม่จี้จะชินกับพฤติกรรมสุรุ่ยสุร่ายของบ้านสามไปแล้ว แต่นางก็ยังรู้สึกหน้าชา ทว่านางก็ไม่เอ่ยอะไร
ในตอนเที่ยงของวันต่อมา คุณพ่อจี้กับซูจิ้นตั๋งต่างได้กินเนื้อซี่โครงตุ๋นกับไข่และเห็ด ข้าวที่กินในวันนี้มีซีอิ๊วเหยาะอยู่บนหน้า ทั้งคู่ต่างพอใจมาก
“ฝีมือทำอาหารของสะใภ้สามช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ” คุณพ่อจี้เอ่ยกับคุณแม่จี้
คุณแม่จี้อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองตาเฒ่าของนาง ตอนนี้เขาดูดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูสิว่าชายชราคนนี้สามารถเคี้ยวเนื้อซี่โครงได้ดีขนาดไหน?
“ตานหงต้มน้ำสมุนไพรไว้หม้อใหญ่ที่บ้าน วันนี้อย่าลืมไปอาบด้วยล่ะ”
หลังคุณแม่จี้กล่าวจบ นางก็เก็บจานชามต่าง ๆ แล้วเดินลงจากภูเขา นางเองก็ต้องกลับไปอาบน้ำต้มสมุนไพรด้วยเช่นกัน ซึ่งมันเป็นสมุนไพรที่ปลูกไว้ในสวนหลังบ้านโดยเซียนจิ้งจอก ซึ่งมีสรรพคุณต้านการอักเสบและฆ่าเชื้อโรค และให้ผลบำรุงร่างกายดีมาก
ตอนนี้สะใภ้สามช่างกตัญญูเหลือเกิน นางเองก็อยากจะมีชีวิตต่อให้นานกว่านี้และมีความสุขกับการใช้ชีวิตเหมือนกับตาเฒ่าของนางเช่นกัน
………………………………………