ตอนที่ 99 ลูกชายบุญธรรม
จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้ว่าภรรยาของเขาชอบไปซื้อของมาก เมื่อก่อนนี้เธอมักจะออกไปซื้อของเป็นประจำ แต่พอมีลูกแล้วเธอก็ไม่ค่อยได้ออกไปบ่อยนัก
ภรรยาของเขาชอบงานอดิเรกนี้เป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งเขาย่อมไม่เต็มใจที่จะมีอะไรมาทำให้เธอไม่มีความสุขไปกับการซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ
คุณแม่จี้ยิ้ม “พาเยียนเอ๋อร์กับเหรินเหรินออกไปได้นะ พวกเขาไม่ร้องไห้โยเยเลย”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ ต่อไปแม่มากินข้าวที่นี่ก็ได้นะครับ หรือจะไปกินกับพ่อบนภูเขาก็ได้ แล้วแต่แม่เลย” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
คุณแม่จี้พยักหน้า
จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงมอบกล่องข้าวบรรจุเนื้อทอด ไข่คน ปลาครึ่งตัว กับข้าวจานเล็กจานหนึ่ง และน้ำแกงไก่ตุ๋นอีกหนึ่งหม้อเล็ก ๆ กับนาง
เดิมทีคุณแม่จี้อยากจะบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องให้มาเยอะขนาดนี้ก็ได้ แต่เขาเป็นลูกชายของนางเอง นางจึงรับมาอย่างไม่เกรงใจ และถือกล่องอาหารขนาดใหญ่ขึ้นไปกินบนภูเขาหาคุณพ่อจี้ ซึ่งคุณพ่อจี้ถึงกับยิ้มออกมาเมื่อเห็นอาหาร “นี่เจี้ยนอวิ๋นทำเหรอ? ผ่านมากี่ปีก็ไม่เปลี่ยนจากเดิมเลยนะ”
“มีให้กินแล้วยังจะเรื่องมากอีก” คุณแม่จี้มองค้อน จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะมากินข้าวบนภูเขากับคุณนะคะ”
ความจริงแล้วถ้าไม่ใช่เพื่อครอบครัวล่ะก็ นางก็คงจะอยู่จับตาดูเฉย ๆ บนนี้ เพราะนางรู้สึกอยากอยู่บนภูเขาขึ้นมาแล้ว
ดูห้องพักที่สามีนางอยู่สิ มันดูดีมาก ทุกอย่างล้วนเป็นของใหม่ ทั้งเตาทั้งหม้อต่างเป็นของดีหมด ซึ่งที่บ้านไม่มีแบบนี้เลย
“คุณคิดออกหรือยัง?” คุณพ่อจี้ถามเมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้
“ฉันไม่คิดว่าเราจะยังหนุ่มยังสาวกันแล้วล่ะ ก็เลยจะให้ลูกเลี้ยงดู นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีเหรอ?” คุณแม่จี้บอก
มีใครในหมู่บ้านไม่ให้ลูกชายเป็นคนเลี้ยงดูเมื่อตนมีอายุถึง 60-70 ปีกันบ้างล่ะ? ตัวนางกับสามีอายุเท่าไรกันแล้ว? แต่ละคนมีอายุราว 50 กว่าเท่านั้น ถ้ายังต้องทำงานก็ทำได้ไม่แพ้ตอนยังหนุ่มยังสาวหรอก
“ไม่ใช่ว่าให้ลูกเลี้ยงเปล่า ๆ ล่ะ คุณต้องทำงานให้เขาด้วย” คุณพ่อจี้กำลังมีความสุขอยู่กับความสงบในใจ
แต่เขาก็รู้ดีว่าลูกชายคนไหนบ้างที่กตัญญูต่อภรรยาของเขา
คุณแม่จี้พูด “ช่วยลูกทำงานแล้วยังไม่ยุติธรรมอีกเหรอ? ยังจะกล้าทวงบุญคุณอีก?”
คุณพ่อจี้ยิ้มก่อนลงมือกินข้าว แม้ฝีมือการทำกับข้าวของเจี้ยนอวิ๋นจะอยู่ในขั้นพอใช้ได้ แต่เขาก็รู้สึกอดใจไม่ไหวที่ลูกชายคนนี้กล้าใช้วัตถุดิบแบบจัดเต็ม เนื้อผัดนั้นอร่อยมาก ปลาก็อร่อย แล้วก็ยังมีไข่คนกับผัดผักอีกด้วย
ถ้าเป็นคุณแม่จี้ทำเอง รับรองว่านางต้องไม่กล้ากินอะไรแบบนี้แน่
“คุณก็ใช้ชีวิตให้มีความสุขเถอะ วันเวลาดี ๆ จะมาถึงแล้ว ให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กันเอง ไม่ต้องให้พวกเขาเป็นห่วงเรามากนักหรอก” คุณพ่อจี้บอกด้วยท่าทางสบาย ๆ
จี้เจี้ยนอวิ๋นที่อยู่บ้านในตอนนี้ก็ได้เรียกซูตานหงให้มากินข้าว ซึ่งตอนนี้เธอหิวเหลือเกิน
ร่างกายของซูตานหงอ่อนเปลี้ยไปทุกส่วน และเกือบจะล้มลงเมื่อก้าวลงจากเตียงได้ เธอมองค้อนใส่เขาในเรื่องที่ถูกจับพลิกไปมา แล้วตอนนี้ท้องของเธอก็ร้องดังจ๊อก ๆ
เมื่อออกมากินอาหารได้เธอก็กินอย่างไม่เกรงใจ เธอกินข้าวในปริมาณมากและซดน้ำแกงไก่ไปชามหนึ่ง ส่วนไก่ที่ยังเหลือในน้ำแกงนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นจะเป็นคนเก็บกวาดในภายหลังเอง
หลังมื้ออาหารเย็นแล้ว ซูตานหงก็รู้สึกมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ครอบครัวของเธอต้องกินเนื้อในปริมาณมากเท่าที่เป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นเธอจะทนไม่ได้
จากนั้นซูตานหงก็รู้สึกขี้เกียจจนไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหน หน้าที่ล้างจานชามจึงเป็นของจี้เจี้ยนอวิ๋น
ทั้งคู่กินจนอิ่มแล้วจึงให้อาหารสุนัขอีกครั้ง หลังจากนั้นก็กลับเข้าไปในบ้านและสนทนากันขณะหยอกล้อกับพวกเด็ก ๆ ไปด้วย
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วซูตานหงก็จะถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างตอนอยู่ที่นั่น
จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็ไม่เกี่ยงที่จะตอบ หลายวันมานี้เขาพาลูกพี่ลูกน้องทั้งสองเรียนรู้อะไรต่าง ๆ จากเหล่าฉินมามากมาย ไม่เพียงแต่จะมีทักษะในการจัดการต้นกล้าผลไม้แล้ว แต่ยังรวมไปถึงอนาคตของการขายผลไม้และเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเหล่าฉินก็ถ่ายทอดให้หมดโดยไม่ได้อมภูมิอะไรไว้เลย
“ผมบอกเหล่าฉินไปแล้วว่าปีนี้เราคงยังซื้อรถบรรทุกไม่ได้ ถ้าปีนี้ถึงเวลาผลไม้ออกแล้ว ก็ให้เขาเตรียมรถให้เราเถอะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
ซูตานหงพยักหน้า “คุณตัดสินใจเองเถอะค่ะ ฉันไม่รู้อะไรพวกนี้หรอก”
เธอไม่รู้เรื่องพวกนี้จริง ๆ ต่อให้สามารถเรียนรู้ได้ก็ตาม แต่นั่นก็ไม่จำเป็นหรอก ให้สามีของเธอเรียนรู้ไปคนเดียวน่ะดีแล้ว ส่วนเธอแค่ดูแลลูกและจัดการบ้านช่องให้ดี เท่านี้ก็เป็นอันเพียงพอ
จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้าและหัวเราะเสียงทุ้ม “ถ้าสวนผลไม้ของเราเจริญงอกงามดีกว่าสวนคนอื่นล่ะก็ มันก็คงเป็นที่ปัญหาทางเทคนิคแล้วล่ะ”
“เรื่องฮวงจุ้ยก็มีส่วนเหมือนกัน แต่ในการจัดการต่อจากนั้นกลับเป็นเรื่องของกลเม็ดเคล็ดลับมากกว่า ฉันคิดว่าต้นไม้ผลบนภูเขาเจริญงอกงามดีมากนะคะ คุณเองก็คอยดูเถอะค่ะว่าถึงเวลาตัดแต่งกิ่งเมื่อไหร่” ซูตานหงบอกอย่างพึงพอใจ
ต้นไม้ผลบนภูเขาซานสุ่ยเจริญงอกงามดีมากตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว โดยที่สวนผลไม้บนภูเขาแห่งอื่นสู้สวนของครอบครัวเขาไม่ได้เลย ทั้งที่มีช่องว่างระหว่างลูกของเจ้าของที่ดินกับลูกครอบครัวคนยากจนในหมู่บ้านเหมือนกัน
“พรุ่งนี้ผมจะพาสวี่อ้ายตั๋งกับอีกสองคนไปด้วยกันนะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
ซูตานหงจึงบอกเขาในเรื่องกิจการที่ซูจิ้นตั๋งดูแลอยู่ “ตอนนี้รายได้ต่อเดือนอยู่ที่ราว 300 หยวนแล้วค่ะ ซึ่งถือว่ามีกำไรมากทีเดียว”
“คุณเก็บเงินส่วนนี้ไว้เถอะ ไม่ต้องเอาเงินตรงนี้ไปซื้อรถหรอก” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด
ซูตานหงจึงบอกว่า “เรื่องซื้อรถนี่คุณตัดสินใจเอาเองแล้วกันค่ะว่าจะซื้อหรือจะเช่า ฉันจะเป็นคนจ่ายเงินทั้งเงินเดือนและอื่น ๆ โดยที่จะเก็บเงินที่เหลือไว้เป็นเงินส่วนตัว”
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม
หลังกล่อมให้เยียนเอ๋อร์กับเหรินเหรินหลับไปในคืนนั้นแล้ว เขาก็จัดหนักกับภรรยาอีกรอบสองรอบ จนภรรยาของเขาเหนื่อยมากชนิดที่ไม่อาจฝืนลืมตาได้ แล้วเขาก็หลับไปอย่างมีความสุขทั้งที่ยังสวมกอดภรรยาไว้
เช้าตรู่วันต่อมา จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ออกไปทำงาน เมื่อซูตานหงกับลูกชายตื่นขึ้นมา ก็พบว่าเขาออกจากบ้านไปแล้ว
ความรู้สึกที่มีสามีอยู่ด้วยนั้นช่างแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากเมื่อก่อน ซูตานหงรู้สึกว่าหัวใจของเธอสงบลงมาก ต่างจากเมื่อก่อนที่ยังมีความอนาทรร้อนใจอยู่บ้างเล็กน้อย
จี้เจี้ยนอวิ๋นหุงโจ๊กเตรียมไว้ให้แล้ว และยังมีไข่คนกับผัดผักอยู่ด้วย แต่ทั้งหมดล้วนเย็นชืดหมดแล้วและต้องกินภายในวันนี้ ซูตานหงจึงจัดการกินอาหารเช้าและพาเด็กเล็กทั้งสองออกมารับแสงแดดยามเช้า
จี้เจี้ยนอวิ๋นเคยซื้อรถเข็นเด็กมานานมากแล้ว แต่ซูตานหงเพิ่งได้ใช้มันตอนนี้เอง เธอพาเยียนเอ๋อร์ไปส่งให้คุณแม่จี้ดูแลบนภูเขา จากนั้นก็พาเหรินเหรินน้อยเข้าเมืองเพื่อไปนั่งเล่นที่บ้านของเจินเหมียวหง
ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจเยียนเอ๋อร์หรอก เธอเพียงไม่มั่นใจว่าจะพาเด็กสองคนออกจากบ้านพร้อมกับตัวเธอคนเดียวได้ และคงไม่มีปัญญาตามหาหากมีเด็กคนหนึ่งหายไปหลังจากคลาดสายตาเพียงครู่หนึ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เหรินเหรินน้อยเดินออกมาไกลขนาดนี้ เด็กน้อยมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางตื่นตาตื่นใจกับทางใหม่ที่ไม่คุ้นเคยมาตลอดทางขณะอยู่บนรถเข็นด้วยอาการว่าง่าย
เมื่อเดินมาถึงครึ่งทาง ซูตานหงก็จัดการอุ้มเขาลงจากรถเพื่อให้เขาปัสสาวะ ก่อนจะวางบนรถแล้วเข็นต่อไป
บรรยากาศในเมืองตอนนี้ยังคงดูคึกคัก ซูตานหงเข็นลูกชายเข้าร้านไปซื้อของจำเป็นในชีวิตประจำวันก่อน ซึ่งสบู่ที่บ้านก็ใกล้จะหมดแล้ว
เธอซื้อแล้วก็ห่อของกลับ จากนั้นก็ซื้อแอปเปิลจำนวนหนึ่ง ก่อนจะมาหาเจินเหมียวหงที่นั่งอยู่ตรงนี้
เจินเหมียวหงมีท่าทางดีใจและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่คิดว่าเธอจะไม่พาตัวเองออกมาอีกเสียแล้ว อุ๊ยตาย ลูกชายบุญธรรมของพี่ดูดีขนาดนี้เลยเหรอ?”
หล่อนพูดอยู่เสมอว่าตัวหล่อนเองอยากให้เหรินเหรินเป็นลูกชายบุญธรรม ซึ่งจี้เจี้ยนอวิ๋นกับซูตานหงก็ไม่คัดค้าน แม้พวกเขาจะเจอเจินเหมียวหงครั้งแรกด้วยเรื่องธุรกิจ แต่ทุกคนก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? พอรู้สึกสนิทใจต่อกันก็สนิทกันมากขึ้น ถ้าไม่สนิทใจก็เป็นเหมือนเดิม และติดต่อกันเพียงเรื่องของธุรกิจเท่านั้น
“หน้าตาดีใช่ไหมล่ะคะ เป็นเพราะเขาได้ดื่มนมประจำอย่างไรล่ะ พี่หงมีน้ำอุ่นไหมคะ ฉันจะได้ชงนมให้เขา ไม่อย่างนั้นเขาจะงอแงถ้าไม่ได้ดื่มน่ะค่ะ” ซูตานหงยิ้ม
………………………………………………