บทที่ 212 ลนลานอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เนี่ยหย่วนเฉียวพูดจบก็นึกเสียใจ
เมื่อครู่เขาไม่ได้คิดแบบนี้สักหน่อย สิ่งที่เขาจับจ้องอยู่คือคนที่เขียนหนังสืออยู่ต่างหาก ไม่ใช่ตัวหนังสือที่เขียนออกมาได้ไม่งดงามพวกนั้น
เขานึกชื่นชมจางซิ่วเอ๋อในใจชัด ๆ แต่ไม่รู้ทำไมเวลาโดนจางซิ่วเอ๋อถาม จึงนึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก พอหวั่นไหวแล้วเขาจึงลนลานไปเล็กน้อยเพื่อเป็นการปกปิดเรื่องที่เขามองจางซิ่วเอ๋อ
ใช่แล้ว เขากำลังลนลาน
เขาอยู่มา 20 กว่าปี เป็นครั้งแรกที่รู้สึกลนลานเพราะเรื่องเล็กแค่นี้
แต่ความจริงเขาเป็นแบบนั้นจริง ๆ พอลนลานก็เผลอพูดแบบไม่คิดไป
เพื่อเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา เขาจึงพูดถึงตัวอักษรที่จางซิ่วเอ๋อเขียนแทน
เถี่ยเสวียนมองออกไปด้านนอกจากในห้อง เมื่อครู่นี้เขาก็ได้ยินคำพูดของเจ้านายตัวเองเหมือนกัน ส่งผลให้มุมปากกระตุกเล็กน้อย
เจ้านายของเขานี่ช่าง….ไม่ระวัง…..คำพูดคำจาเลยจริง ๆ
ต่อให้ตัวอักษรที่จางซิ่วเอ๋อเขียนจะขี้เหร่จริง ก็ไม่ควรพูดต่อหน้านางสิ
ดูบัณฑิตจ้าวสิว่ารู้จักใช้คำพูดขนาดไหน เขาไม่เคยบอกว่าจางซิ่วเอ๋อมีลายมือขี้เหร่เลย แต่บอกว่านางเพิ่งจะเคยเรียนรู้การเขียนหนังสือ เขียนได้คล่องขนาดนี้ก็ถือว่าหาได้ยากแล้ว
พูดแบบนี้ให้จางซิ่วเอ๋อได้ยิน นางต้องไม่พอใจแน่ ๆ
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาก็ไม่อยากให้เจ้านายตัวเองไปเอาใจจางซิ่วเอ๋อหรอก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน…..
เขากินข้าวที่บ้านจางซิ่วเอ๋ออยู่ หากเจ้านายทำให้นางไม่พอใจ แล้วนางเกิดใส่ของแปลกปลอมลงไปในกับข้าว เขาก็ต้องซวยไปด้วยน่ะสิ
จางซิ่วเอ๋อพูดพลางหน้านิ่วคิ้วขมวด “ข้าก็แค่เด็กสาวยากไร้ ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน ย่อมเทียบกับผู้อื่นไม่ได้อยู่แล้ว”
ตอนนี้เนี่ยหย่วนเฉียวก็เริ่มสำนึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองพูดไปเมื่อครู่ น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “เจ้าฝึกเขียนหนังสือแบบนี้ไม่พัฒนาขึ้นหรอก หากมีแบบตัวอักษรให้ฝึกคัดลอก ฝีมือจะพัฒนาได้เร็วขึ้น”
จางซิ่วเอ๋อเหลือบมองเนี่ยหย่วนเฉียว นางต้องยอมรับว่าสิ่งที่เนี่ยหย่วนเฉียวพูดมามีเหตุผล
แต่ปัญหาคือ แบบตัวอักษรให้ฝึกคัดดลอกต้องซื้อกระดาษและพู่กัน
นางไม่มีเงินนี่นา
นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจแย้งได้
ต่อให้ในมือนางยังมีตำลึงเงินอยู่บ้าง แต่หากคำนวณดูดี ๆ แล้วก็ไม่ได้มากนัก นางต้องรับผิดชอบค่าอาหารการกินของทั้งบ้าน แล้วต้องวางแผนอนาคตให้จางซานหยาอีก แม่โจวก็ต้องดูแล รวมถึงคนตระกูลโจวด้วยที่นางต้องนึกถึงบ้าง
อีกอย่าง แม้ว่าบ้านที่นางอยู่ตอนนี้หลังจากปรับแต่งแล้วจะอยู่สบายมาก แต่สบายก็ส่วนสบาย โฉนดที่ดินไม่ได้อยู่กับตน ทำให้ตนมีสิทธิ์ถูกเชิญออกได้ทุกเมื่อ….
เมื่อถึงตอนนั้น ก็ต้องใช้ตำลึงเงินเหมือนกันไม่ใช่หรืออย่างไร?
ตอนนี้นางไม่กล้าเอาตำลึงเงินไปซื้อของอย่างกระดาษและพู่กันหรอก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแบบตัวอักษรให้ฝึกคัดลอกเลย
เนี่ยหย่วนเฉียวมองจางซิ่วเอ๋อขณะนิ่งเงียบ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
จางซิ่วเอ๋อตะลึงเล็กน้อย “ฟ้ามืดแล้วนะ เจ้าจะออกไปทำอะไร?”
เนี่ยหย่วนเฉียวชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “กินมากไปแล้ว ว่าจะออกไปเดินเล่นน่ะ”
ตอนนี้เถี่ยเสวียนก็ไม่สนใจรอดูเรื่องสนุกแล้ว เขารีบตามออกมา กินมากเกินไป? เป็นไปได้อย่างไรกัน เจ้านายตัวเองเป็นคนรู้ขีดจำกัดดี จะปล่อยให้ตัวเองกินจนจุกได้อย่างไร?
ถ้าจะออกไปตอนนี้ ต้องมีเรื่องใหญ่อะไรให้ทำแน่ ๆ
จางซิ่วเอ๋อก็รู้ว่าเนี่ยหย่วนเฉียวพูดจาเหลวไหลทั้งเพ แต่นางเตือนตัวเองในใจว่าตัวเองไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปจุ้นจ้านว่าเนี่ยหย่วนเฉียวจะทำอะไร
พวกเขาคุยกันไว้แต่แรกแล้วว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของกันและกัน นางแค่ดูแลเรื่องการกินการอยู่ของเนี่ยหย่วนเฉียวก็พอ
หลังจากเนี่ยหย่วนเฉียวไปแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็คล้องกลอนประตูจากด้านในด้วย
ตอนนี้นางรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา กำแพงรั้วของตนสกัดเขาไว้ไม่ได้เลย ตอนเขากลับมาก็ให้เขาปีนข้ามกำแพงเข้ามาก็จบ
สิ่งที่จางซิ่วเอ๋อไม่รู้คือ เนี่ยหย่วนเฉียวออกจากบ้านผีสิงแล้วก็เดินเข้าไปทางหุบเขา
เถี่ยเสวียนเห็นภาพนั้นก็รีบตามขึ้นไป “เจ้านายขอรับ ท่านเดินเข้าป่าไปทำไมกัน? เราจะไปเข้าเมืองกันไม่ใช่เหรอขอรับ?”
เนี่ยหย่วนเฉียวพูดอย่างไม่พอใจ “ข้าบอกตอนไหนว่าจะเข้าเมือง?”
“ข้านึกว่าท่านมีเบาะแสเรื่องนั้นแล้วเสียอีก แต่….ตอนนี้เราไม่ต้องเครียดเรื่องกินเรื่องใช้แล้ว จะขึ้นเขาค่ำมืดแบบนี้ไปทำไมขอรับ?” เถี่ยเสวียนไม่เข้าใจสุด ๆ
เนี่ยหย่วนเฉียวอธิบายอย่างซื่อสัตย์กับเถี่ยเสวียน “ล่าสัตว์”
“เจ้านาย เราเพิ่งล่าสัตว์ป่าเข้าบ้านไปไม่ใช่เหรอขอรับ? ต่อให้อยากกินแบบสด ๆ ค่อยออกไปเช้าวันพรุ่งนี้ก็ได้นี่ นี่เจ้าออกล่าสัตว์กลางดึกเช่นนี้….” เถี่ยเสวียนไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมเจ้านายตัวเองถึงต้องลำบากขนาดนี้
ทำไมตอนนี้เจ้านายของเขาถึงทำเหมือนตัวเองเป็นนายพรานจริง ๆ เลยล่ะ?
เนี่ยหย่วนเฉียวหรี่ตา “ตามมา”
เถี่ยเสวียนพึมพำ “เจ้านาย ข้ารู้ว่าท่านอยากล่าสัตว์ไปให้จางซิ่วเอ๋อ ให้นางเอาไปขายเพื่อตำลึงเงิน แต่ต่อให้ท่านจะนำมาให้จางซิ่วเอ๋อ นางขายได้ตำลึงเงินแล้วก็ไม่เก็บไว้หรอก…..เราก็เหนื่อยเปล่าอยู่ดี”
พูดถึงจุดนี้ เถี่ยเสวียนที่ไม่ค่อยพอใจจางซิ่วเอ๋อมาตลอดก็อดนับถือจางซิ่วเอ๋อไม่ได้
จางซิ่วเอ๋อเป็นคนมีศักดิ์ศรีมาก ของที่ไม่ควรจะรับ นางก็ไม่รับแม้แต่เศษเสี้ยว
เนี่ยหย่วนเฉียวชะงักฝีเท้า “เอาไปให้ท่านอาหญิง”
เถี่ยเสวียนได้ยินแล้วดวงตาก็เป็นประกาย “ข้าก็ว่าอยู่ ที่แท้ก็เอาไปให้คุณหนูรองนี่เอง”
แบบนี้ก็อธิบายทุกอย่างได้แล้ว
แม้ว่าเจ้านายและคุณหนูเฟิ่งหลินจะไม่ค่อยได้ติดต่อกัน แต่สายใยครอบครัวยังอยู่ ถ้าจะให้พูดว่าใครในตระกูลเนี่ยที่ดีกับเจ้านายที่สุด ต้องเป็นคุณหนูเฟิ่งหลินแน่ ๆ
นางเป็นคนที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับตระกูลเนี่ยที่สุด แต่เพื่อเจ้านายก็ไปที่บ้านตระกูลเนี่ยมาไม่น้อยเลย
ตอนนี้เจ้านายอยากจะแทนคุณท่านอาหญิงคนนี้ของตัวเองบ้าง เถี่ยเสวียนจึงเต็มใจสุด ๆ
ทั้งสองรออย่างอดทนจนเลยเที่ยงคืนไปแล้วถึงล่าสิ่งที่อยากได้มาจนได้ และมาถึงบ้านของเนี่ยเฟิ่งหลินก่อนฟ้าสาง
เนี่ยเฟิ่งหลินอยู่ตัวคนเดียว คนรับใช้ในจวนมีไม่มาก เนี่ยหย่วนเฉียวจึงหลบคนพวกนั้นมาได้อย่างง่ายดาย
ที่จริงจะไม่หลบก็ไม่เป็นไร คนพวกนั้นเป็นคนสนิทของเนี่ยเฟิ่งหลินหมด
คนเก่งกาจอย่างเนี่ยเฟิ่งหลินไม่ยอมให้ผู้อื่นเข้ามาอยู่ในบ้านตัวเองอยู่แล้ว
เนี่ยหย่วนเฉียวก็ไม่ไปปลุกเนี่ยเฟิ่งหลิน เขารอจนกระทั่งเนี่ยเฟิ่งหลินตื่น
ดีที่เนี่ยเฟิ่งหลินตื่นเช้า ไม่ปล่อยให้เนี่ยหย่วนเฉียวต้องรอนาน
พริบตาที่นางเห็นเนี่ยหย่วนเฉียวก็กวาดตามองของในมือเนี่ยหย่วนเฉียว จากนั้นรอยยิ้มจาง ๆ จึงปรากฏบนใบหน้า “ทำไม? ในที่สุดเจ้าก็นึกถึงท่านอาอย่างข้าขึ้นมาได้แล้วเหรอ? ถึงได้เอาของกำนัลมาขอบคุณข้า”
เถี่ยเสวียนนอบน้อมต่อเนี่ยเฟิ่งหลินมาก เขาเอ่ยขึ้นทันที “คือ…..”
ไม่ทันจะพูดจบ เนี่ยหย่วนเฉียวก็ขัดขึ้นเสียก่อน “ข้ามาหาท่านอาเพราะมีเรื่องรบกวนสองเรื่อง”
เนี่ยเฟิ่งหลินนั่งลงช้า ๆ ตาคู่งามทอดมองเนี่ยหย่วนเฉียวพลางกล่าว “ว่ามาสิ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าคงไม่มาหาหรอกถ้าไม่มีเรื่องอะไร สรุปว่ามีอะไรให้ข้าช่วยอีกล่ะ?”
เนี่ยหย่วนเฉียวไม่ได้พูดว่าเรื่องอะไร กลับยื่นของในมือออกไปก่อน “นี่คือจื่อเตียว(1)สองตัว หย่วนเฉียวรู้ว่าท่านอาชอบ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
(1)สัตว์ชนิดหนึ่งในตระกูลเดียวกับพังพอน (ภาพจาก https://kknews.cc/science/n5k25q5.html)
สารจากผู้แปล
อาการนี้เขาเรียกว่าหวั่นไหวและเขินนะคุณชายเนี่ยนะ ชอบในความทุ่มเทของเขาจังเลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)