บทที่ 221 ดูแล
น้ำเสียงของท่านหมอเมิ่งนุ่มนวลดั่งเม็ดฝนที่ชโลมลงมาปลอบประโลมหัวใจร้อนรุ่มของจางซิ่วเอ๋อไว้ “ซิ่วเอ๋อ เจ้าไม่ต้องห่วง อาการของแม่เจ้าไม่ได้ร้ายแรง….เพียงนี้ ท้องนี้ของนางไม่ค่อยมั่นคงอยู่แล้ว ครั้งนี้มีคนไปผลักนางจนล้มอีก ต้องกระทบกับครรภ์แน่”
“โชคดีที่ก่อนหน้านี้เจ้าคอยส่งของกินไปให้แม่เจ้าตลอด เป็นการบำรุงร่างกายของนาง ไม่อย่างนั้นนางคงผ่านเคราะห์นี้ไปไม่ได้” ท่านหมอเมิ่งถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นใจในสิ่งที่แม่โจวต้องเจอ
คนเป็นแพทย์มีหัวใจเสมือนคนเป็นพ่อแม่ โดยเฉพาะท่านหมอเมิ่งเป็นคนที่มีใจเปี่ยมเมตตา เวลานี้จึงอดสงสารไม่ได้
จางชุนเถาได้ยินแล้วตาแดง ถามเสียงสะอื้น “ท่านอาเมิ่ง ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ร่างกายของแม่ข้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”
ท่านหมอเมิ่งพยักหน้าพลางกล่าว “ถ้าทำตามที่ข้าบอก บำรุงร่างกายดี ๆ ก็จะไม่เป็นไร”
ท่านหมอเมิ่งพูดมาถึงตรงนี้ลังเลนิดหน่อย สุดท้ายก็เอ่ยขึ้น “กลัวแต่ว่า…..”
จริง ๆ เขาไม่ควรพูดแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาเป็นห่วงสองพี่น้องจางซิ่วเอ๋อจริง ๆ จึงคิดประหนึ่งว่าตกอยู่ในที่นั่งเดียวกัน
จางซิ่วเอ๋อฟังแล้วต่อประโยคของท่านหมอเมิ่ง “กลัวแต่ว่าคนพวกนั้นจะไม่ยอมให้แม่ข้าได้อยู่อย่างสงบสินะเจ้าคะ”
เวลานี้เนี่ยหย่วนเฉียวกำลังดึงถังน้ำขึ้นมาจากบ่อน้ำ ส่งเสียงดังเล็กน้อย
ท่านหมอเมิ่งกวาดสายตามองไปยังเนี่ยหย่วนเฉียว และถามอย่างลังเลเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าคนผู้นี้คือ…..”
ที่จริงท่านหมอเมิ่งสังเกตเห็นเนี่ยหย่วนเฉียวอยู่ในลานตั้งแต่ตอนเข้ามาแล้ว ตอนแรกเขาไม่อยากถาม แต่ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
อย่างไรจางซิ่วเอ๋อก็เป็นเด็กผู้หญิง เขาไม่อยากให้ใครหลอกเอาเปรียบนาง
ท่านหมอเมิ่งถามพลางมองเนี่ยหย่วนเฉียวอย่างประเมิน
เขารู้สึกว่าเนี่ยหย่วนเฉียวนั้นคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างกับเคยเจอกันที่ไหน ทว่าเขานึกไม่ออก
สุดท้ายท่านหมอเมิ่งจึงนึกในใจว่าคงจำผิด คนไข้ที่เขาต้องรักษาในแต่ละวันนั้นมีเยอะมาก ไม่มีทางจำทุกคนในละแวกนี้ได้หมดหรอก บางทีอาจเป็นคนไข้สักคน หรืออาจจะเคยพบกันโดยไม่ตั้งใจ
“นี่ญาติของข้าเองเจ้าค่ะ” จางซิ่วเอ๋ออธิบายแบบถู ๆ ไถ ๆ ไป
พูดจบจางซิ่วเอ๋อถึงนึกขึ้นได้ทีหลังในขณะที่มองท่านหมอเมิ่ง พลางนึกในใจว่า ท่านหมอเมิ่งอย่าคิดมากเกินไป
แต่เห็นได้ชัดว่าจางซิ่วเอ๋อคิดมากเกินไป นางเป็นกังวลเกินเหตุแล้ว
ในสายตาของท่านหมอเมิ่งมีเพียงความห่วงใย ไม่ได้คาดเดาไปต่าง ๆ นานาเพียงเพราะในบ้านนางมีบุรุษโผล่มา
บัดนี้เนี่ยหย่วนเฉียวเงยหน้าขึ้น พยักหน้าให้ท่านหมอเมิ่งเล็กน้อยถือเป็นการทักทาย
ท่านหมอเมิ่งลอบถอนหายใจ เขาเคยเจอคนมาไม่น้อย ถือว่าอ่านคนเป็นในระดับหนึ่ง แต่เขาก็ยังมองเนี่ยหย่วนเฉียวตรงหน้าไม่ออก
เนี่ยหย่วนเฉียวสวมเสื้อผ้าหยาบ แต่กลับมีรัศมีสูงส่งที่แม้แต่เสื้อผ้านี่ยังปิดไม่มิด
“ไม่ทราบว่าต้องเรียกขานท่านว่าอย่างไรหรือ?” ท่านหมอเมิ่งถามยิ้ม ๆ
เนี่ยหย่วนเฉียวปริปาก เสียงของเขาดั่งสายน้ำธารที่ไหลผ่านเทือกเขา เจือแววเยือกเย็นเล็กน้อย “หนิงอัน”
เวลาที่เขาคุยกับคนไม่สำคัญเช่นนี้ มักจะมีท่าทางเย็นชาเสมอ
“ที่แท้ก็คุณชายหนิง” ท่านหมอเมิ่งยิ้มพลางประสานมือ
“หนิงอัน คนผู้นี้คือท่านหมอเมิ่ง เป็นผู้มีพระคุณของข้า” จางซิ่วเอ๋อบอกพร้อมส่งยิ้ม
เนี่ยหย่วนเฉียวพยักหน้า “ยินดีที่ได้พบท่าน”
คำพูดของเขากระชับทว่ามีน้ำหนัก จนผู้อื่นไม่อาจเมินได้
ท่านหมอเมิ่งแอบแปลกใจ คนผู้นี้ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนทั่ว ๆ ไป ตอนนี้ท่านหมอเมิ่งพอเดาได้แล้วว่าฐานะของเนี่ยหย่วนเฉียวนั้นไม่ได้ธรรมดาอย่างที่จางซิ่วเอ๋อบอก
แม้ว่าท่านหมอเมิ่งจะเป็นห่วงจางซิ่วเอ๋อ แต่เขาก็รู้ว่าเรื่องบางเรื่องตัวเองไม่ควรถามมากและเข้าไปยุ่ง
เวลานี้จึงพยักหน้าให้เนี่ยหย่วนเฉียว ถือว่าทักทายกันแล้ว
สองคนนี้ไม่เคยข้องแวะกันมาก่อน บัดนี้จึงไม่มีอะไรให้คุยกันนัก
จึงต่างคนต่างวุ่นวายกับเรื่องของตัวเอง
เนี่ยหย่วนเฉียวช่วยจางซิ่วเอ๋อตักน้ำใส่โอ่งต่อ
ตอนนี้ท่านหมอเมิ่งหยิบเอายาบำรุงครรภ์ในขวดทรงน้ำเต้าเล็ก ๆ ออกมาและยื่นให้จางซิ่วเอ๋อ “ให้แม่เจ้ากินวันละเม็ด”
จางซิ่วเอ๋อรับยามาแล้วเปิดดู พบว่ามันเหมือนกับยาที่นางให้แม่โจวกินในวันนี้
“ยานี่เท่าไหร่เจ้าคะ ข้าจะให้พร้อมกับค่ารักษาวันนี้เลย” จางซิ่วเอ๋อเอ่ยยิ้ม ๆ
ทุกครั้งที่นางไปตามท่านหมอเมิ่ง เขาก็จะมาโดยไม่ลังเล เพียงแค่นี้นางก็ซาบซึ้งมากพอแล้ว เวลานี้นางจึงเอาเปรียบท่านหมอเมิ่งไม่ได้เด็ดขาด ท่านหมอเมิ่งไม่พูดเรื่องตำลึงเงิน แต่นางก็จะแกล้งเฉไฉไม่เอ่ยถึงไม่ได้
ท่านหมอเมิ่งยิ้มกว้าง “พูดเรื่องนี้ทำไมกัน วันนี้เจ้าเลี้ยงข้าวข้าก็แล้วกัน ถือว่าเป็นค่าข้าว”
จางซิ่วเอ๋อส่ายหน้า “เรื่องนั้นไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
“เรื่องเลี้ยงข้าวเป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำแล้ว แต่ค่ารักษาและค่ายาข้าต้องให้ท่านอยู่ดี ท่านอาเมิ่ง ถ้าท่านไม่รับไว้จริง ๆ วันหน้าข้าเจอเรื่องลำบากคงไม่กล้าไปตามท่านอีก” จางซิ่วเอ๋อพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ท่านหมอเมิ่งฟังแล้วจึงรู้ว่าตัวเองเถียงจางซิ่วเอ๋อไม่ชนะ
เขาคิดไปคิดมาแล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจ่ายข้ามาแค่ครึ่งตำลึงเงินก็พอ”
“ท่านอาเมิ่ง! ท่านหลอกข้าหรืออย่างไรเจ้าคะ! ข้ารู้ว่ายาของท่านราคาไม่ถูก ท่านต้องการจะให้ข้านำยานี่ไปถามราคาที่โรงยาหุยชุน? จากนั้นค่อยจ่ายเงินท่านหรืออย่างไร?” จางซิ่วเอ๋อชักจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
ท่านหมอเมิ่งทำอะไรไม่ได้อีก รู้ว่าตัวเองเถียงชนะจางซิ่วเอ๋อไม่ได้เลย จึงได้แต่พูดว่า “เจ้านี่นะ ไม่ยอมเอาเปรียบเลยสักนิดจริง ๆ ต้นทุนยาเท่ากับ 3 ตำลึงเงิน ส่วนค่ารักษาเจ้าไม่ต้องพูดถึงอีก ข้าไม่ได้กินกับข้าวฝีมือเจ้ามานานแล้ว วันนี้ถือเป็นค่ารักษาแล้วกัน”
จางซิ่วเอ๋อพยักหน้า มองจางชุนเถาพลางบอก “ชุนเถา เจ้าไปเอา 3 ตำลึงเงินมาให้ท่านอาเมิ่ง”
ท่านหมอเมิ่งรับตำลึงเงินแล้ว จางซิ่วเอ๋อคิดไปคิดมาก็ถามขึ้นอีก “ท่านอาเมิ่ง ไม่ทราบว่าท่านมีโสมขายหรือไม่?”
ท่านอาเมิ่งพยักหน้า “พอมีแผ่นโสมอยู่บ้าง”
จางซิ่วเอ๋อตาเป็นประกาย “ของแบบนี้มีประโยชน์กับร่างกายของแม่ข้าใช่หรือไม่?”
ท่านหมอเมิ่งพยักหน้า “ร่างกายของนางทรุดโทรมนัก หากตุ๋นแผ่นโสมกับไก่ต้องได้ผลดีแน่นอน”
พูดมาถึงตรงนี้ ท่านหมอเมิ่งหยิบกระเป๋าผ้าเล็ก ๆ ออกมา ในนั้นมีแผ่นโสมอยู่ ซึ่งเขาพกติดตัวไว้เพื่อยื้อชีวิตของคนไข้อาการสาหัส
โสมในสมัยโบราณไม่เหมือนกับโสมที่เพาะโดยฝีมือมนุษย์อย่างยุคปัจจุบันหรอกนะ
ของพวกนี้ขึ้นตามธรรมชาติทั้งนั้น ภูเขาดีน้ำดี อานุภาพของโสมก็ดีตามไปด้วย
แต่ขณะเดียวกัน ราคาโสมนั้นก็ไม่ถูก
ตอนแรกท่านหมอเมิ่งคิดจะยกโสมกระเป๋าเล็กนี้ให้จางซิ่วเอ๋อ แต่คิดไปคิดมาสุดท้ายก็เอ่ยขึ้น “โสมพวกนี้ทั้งหมด 4 ตำลึงเงิน”
ไม่ใช่ว่าเขาเสียดายของเหล่านี้ แต่เขารู้ว่าหากเขาบอกว่าจะยกให้จางซิ่วเอ๋อ นอกจากจางซิ่วเอ๋อจะไม่ยอมรับไว้แล้ว อาจจะไม่พอใจด้วย