บทที่ 72 จดจำบุญคุณ
จ้าวเอ้อร์หลางพยักหน้าอย่างจริงจัง “ท่านพ่อ ข้ารู้แล้วขอรับ”
บัณฑิตจ้าวมองลูกชายตัวเองอย่างพึงพอใจ พวกเขายากจนไปหน่อยก็จริง แต่เขาก็คิดว่าจ้าวเอ้อร์หลางคือความภูมิใจของตัวเอง ลูกชายผู้อื่นมีใครที่รู้เรื่องและมีมารยาทเท่าจ้าวเอ้อร์หลางบ้าง?
ตอนนี้ชีวิตของพวกเขานั้นอัตคัดขัดสน แต่ก็ใช่ว่าไม่มีความหวังเลย
เขาเป็นบัณฑิต ถึงจะไม่มีเงินส่งเอ้อร์หลางไปโรงเรียน แต่ก็สอนสิ่งที่ตัวเองรู้ให้เอ้อร์หลางได้
ไม่มีพู่กันกับกระดาษ แต่ก็เขียนหนังสือบนพื้นได้!
รอให้จ้าวเอ้อร์หลางอายุถึงเกณฑ์ อาจจะสอบบรรจุเข้าเป็นบัณฑิตก็ได้ เขาไม่ขอให้เอ้อร์หลางเป็นข้าหลวงตำแหน่งสูงอะไรมากมาย เป็นแค่อาจารย์สอนหนังสือธรรมดาชีวิตก็คงไม่ลำบากมาก
ที่จริงเมื่อก่อนบัณฑิตจ้าวก็เป็นอาจารย์สอนหนังสือ แต่ตั้งแต่เขาป่วยก็ไปโรงเรียนไม่ได้อีก
ใคร ๆ ก็หวาดกลัวว่าจะติดโรคร้ายจากบัณฑิตจ้าว บัณฑิตจ้าวจึงหมดหนทางทำมาหากินด้วยเหตุนี้ เขาเป็นพวกเรียนหนังสือ กลับมาอยู่บ้านต่อให้ไม่ป่วยก็ทำงานใช้แรงไม่ได้ ไม่มีภรรยาคอยดูแลบ้านให้ จะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไรกัน
ตอนนี้ความหวังเดียวของเขาก็คือให้จ้าวเอ้อร์หลางโตไว ๆ และมีทางออกที่ดีในอนาคต
ตอนที่จางซิ่วเอ๋อกลับไปถึง จางชุนเถาก็รออยู่อย่างกระวนกระวาย
จางซิ่วเอ๋อต้มข้าวต้มผสมข้าวโพดเข้มข้นอย่างชำนาญ และเรียกจางชุนเถามากินข้าว ก่อนจะตักใส่กระปุกไปครึ่งกระปุกและออกจากบ้าน
ไม่นานนัก จางซิ่วเอ๋อก็มาถึงลำธารเล็ก ๆ หลังบ้านตระกูลจาง
จางซานหยารออยู่ที่นั่นแล้ว ตอนนางออกจากบ้านตระกูลจางก็ส่งสัญญาณให้จางซานหยามารอตัวเองที่นี่
“พี่ใหญ่! ท่านมาแล้ว!” จางซานหยาเอ่ยระริกระรี้
จางซิ่วเอ๋อส่งกระปุกให้จางซานหยาด้วยรอยยิ้ม หลังเดินถือข้าวต้มมาตลอดทั้งทางจนไม่ค่อยร้อนแล้ว นางจึงเอ่ยขึ้น “ซานหยา เจ้ากินข้าวต้มนี่ไปนะ วันนี้ข้าเสียเวลากับท่านย่าไปตั้งนาน ไม่ได้ทำอะไรอร่อย ๆ ไว้ กินง่าย ๆ ไปก่อนนะ”
จางซานหยาเลือกกินที่ไหนกัน ข้าวต้มข้น ๆ แบบนี้ไม่ได้กินที่ตระกูลจางหรอกนะ
จางซิ่วเอ๋อเพิ่งออกจากบ้านตระกูลจางไม่นาน จางซานหยากับแม่โจวก็โดนไล่ลงจากโต๊ะ
จากนั้นจางซิ่วเอ๋อจึงเอาแผ่นแป้งหนึ่งแผ่นที่เหลือให้จางซานหยาออกมา “ข้าวต้มนี่เอากลับไปลำบาก เจ้าซ่อนแผ่นแป้งนี่ไว้ หาโอกาสให้แม่กิน วันนี้พี่เข้าเมืองไปซื้อเนื้อมาด้วย พรุ่งนี้พี่ค่อยตุ๋นเนื้อให้เจ้ากิน”
จางซานหยารับคำ รีบก้มหน้ากินข้าวต้ม ไม่นานนักก็กินหมด นางเช็ดปากลวก ๆ และเอ่ย “พี่ใหญ่ ข้าต้องกลับไปแล้ว ไม่อย่างนั้นต้องโดนด่าอีก”
พูดเสร็จจางซานหยาก็หิ้วน้ำขึ้นมาถังนึง เดินตัวโอนเอนกลับไป
จางซิ่วเอ๋อเห็นแล้วปวดใจ แต่ก็ไม่กล้าช่วยจางซานหยาแบกน้ำ ถ้านางเข้าใกล้บ้านตระกูลจาง คนตระกูลจางเห็นเข้าก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก
จางซิ่วเอ๋อถือกระปุกและเดินกลับ แค่ครู่เดียว เมฆครึ้มบนฟ้าก็ขยายเป็นวงกว้าง ปกคลุมผืนฟ้าดูหนักอึ้ง บดบังแสงจากพระจันทร์และดวงดาวจนหมด
รอบบริเวณมืดมิดดูน่าขนลุก
ลมกรรโชกพัดมาเป็นระยะ ๆ จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าถ้าลมแรงขึ้นกว่านี้อีกนิดคงพัดนางไปด้วย
ใครใช้ให้นางตัวผอมบางอย่างกับกระดาษล่ะ? ยังดีที่ช่วงนี้ได้กินดีหน่อย แต่ร่างกายนี้ก็ขาดสารอาหารมากเกินไป ไม่อาจบำรุงกลับมาได้ในเวลาสั้น ๆ นางเคยบาดเจ็บจนถึงแก่นพลังหยวน ตอนนี้ทั้งตัวรวมกันมีเนื้อไม่ถึงสองเท่า
นี่ก็เป็นเหตุผลที่จางซิ่วเอ๋อได้เงินมาก็ซื้อของกิน พวกนางสามพี่น้องแล้วก็แม่โจวต้องบำรุงจริง ๆ ไม่อย่างนั้นแค่โรคอะไรนิดหน่อยก็คร่าชีวิตพวกนางได้ ด้วยสภาพอ่อนแอแบบนี้ของพวกนาง
ภูมิต้านทานของคนขาดสารอาหารจะดีสักแค่ไหนเชียว
จางซิ่วเอ๋อเดินกลับอย่างฉับไว แต่ฝนมาเร็วมาก ยังไม่ทันเข้าป่า ฝนเท่าเม็ดถั่วก็ตกลงมาโดนจางซิ่วเอ๋อ
ซ่า…..ไม่รู้ว่าเป็นเสียงลมพัดใบไม้หรือเสียงฝนกระทบใบไม้ แต่เสียงนี้ดังจนน่ากลัว
เมื่อเห็นอยู่ว่าฝนกำลังจะเทลงมาห่าใหญ่ จางซิ่วเอ๋อจึงสาวเท้าวิ่งไปข้างหน้า นางไม่อยากเปียกฝนเป็นลูกหมาตกน้ำ
ในยุคโบราณ แค่ไข้หวัดธรรมดาก็คร่าชีวิตคนได้!
จางซิ่วเอ๋อวิ่งไปถึงหน้ารั้วหัก ๆ ของบ้านตัวเอง เมื่อเห็นอยู่ว่าจะเข้าไปในตัวบ้านแล้ว เวลานี้จึงวิ่งเต็มแรงไปข้างหน้า
แต่นางก็ล้มลงกับพื้น กระปุกในอกเสื้อแตกเป็นเสี่ยง ๆ!
ยังดีที่กระปุกนี้ทำจากดินหยาบ ไม่คมเท่าไหร่ ถึงจางซิ่วเอ๋อนอนทับมันแต่ก็ไม่โดนบาด ถึงอย่างนั้นก็ยังคงร้องโหยหวนเพราะแรงกด จนอดสบถคำหยาบออกมาไม่ได้ โคตรพ่อโคตรแม่เจ็บเลยโว้ย!
จางซิ่วเอ๋อใช้ทั้งมือทั้งเท้าในการคลานขึ้นมา อิฐที่เคยระเกะระกะถูกเก็บไปหมดแล้ว แม้แต่เศษใบไม้ก็ถูกกวาดออกไปหมด หลุมบนพื้นนางก็ถมจนเต็มแล้ว
นางเข้าออกตรงนี้ทุกวันนับครั้งไม่ถ้วน ต่อให้หลับตาเดินก็ไม่ล้ม
แล้วเมื่อครู่นี้ที่นางสะดุดคืออะไรกัน?
จางซิ่วเอ๋อก้มหน้ามอง พลางเอามือไปลูบ
ของนั่นส่งเสียงร้องด้วย จางซิ่วเอ๋อตะลึงตัวแข็งทื่อ นี่ ๆๆๆ……
นี่ ๆๆๆ….มันคนเป็น ๆ เลยนี่นา! จางซิ่วเอ๋อตกใจจนสะดุ้ง รีบยืนตัวตรงและวิ่งเข้าไปในบ้าน
รอจนถึงบ้านแล้ว นางก็หายใจฟืดฟาด
จางชุนเถาเห็นจางซิ่วเอ๋อมีท่าทางลนลาน ก็นึกว่านางร้อนใจเพราะต้องรีบกลับมาหลบฝน จึงเอ่ยขึ้น “พี่ รีบถอดชุดเปียก ๆ นี่ออกเร็ว”
จางซิ่วเอ๋อได้สติกลับมา แม้จะยังตะลึงอยู่นิดหน่อย
จู่ ๆ ก็เห็นว่ามีคนล้มหน้าบ้านตัวเองแบบนี้เป็นใครก็ต้องตกใจเหมือนกันแหละ อีกอย่างบ้านนี้ยังเป็นบ้านผีสิงที่อยู่ห่างไกลผู้คน นางคิดไม่ถึงเลยว่าเย็นป่านนี้แล้ว ยังมีคนอื่นนอกจากพวกนางสองพี่น้องอยู่ในป่านี้ด้วย
ตอนแรกจางซิ่วเอ๋อจะทำเป็นไม่เห็นคน ๆ นี้ แต่ในเมื่อเห็นแล้ว จะทำเฉยได้อย่างไร?
นางอดคิดในใจไม่ได้ เมื่อกี้ตอนเห็นคน ๆ นั้น สภาพเขาก็ไม่ค่อยดีเท่าไร ไม่อย่างนั้นคงไม่นอนอยู่กลางฝน
ถ้าคน ๆ นี้ตายอยู่หน้าบ้านตัวเองจะทำอย่างไร?
ถึงตอนนั้นตัวเองจะทำลายศพทิ้งหรือต้องแจ้งทางการ?
ทำลายศพทิ้งเหรอ? โลกนี้ไม่มีกำแพงที่ลมไม่พัดผ่าน ไม่แน่อาจจะมีคนรู้แล้วว่าคน ๆ นี้อยู่ที่บ้านผีสิงของตัวเอง ถึงตอนนั้นสืบสวนขึ้นมานางจะทำอย่างไร?
ต่อให้นางไม่ได้เป็นคนทำร้ายคน ๆ นี้ ถึงตอนนั้นก็ต้องโดนไปด้วย
ส่วนแจ้งทางการเหรอ? ตั้งแต่สมัยโบราณ คนมีเงินเท่านั้นถึงจะขึ้นศาลได้ นางไม่มีทั้งเงินไม่มีทั้งอำนาจ ถ้าถูกคนอื่นใส่ร้ายป้ายสีจะทำอย่างไร?
“พี่ใหญ่? พี่? เป็นอะไรไป?” จางชุนเถาเห็นจางซิ่วเอ๋อมีท่าทางล่องลอยจึงอดเรียกไม่ได้
จางซิ่วเอ๋อส่งเสียงครางและวิ่งออกไปด้านนอก ก่อนไปก็ไม่ลืมกำชับ “อยู่ในบ้านนะ ข้าไปดูที่ห้องเก็บฟืนหน่อย”
……………………………………………