บทที่ 103 ชายหนุ่มตรงนี้
เจียงวั่งกลับมา
เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าอันตราย และรู้ว่ากลับมาจะตายมากกว่ารอด
แต่ไม่ว่าอย่างไร ไป๋เหลียนก็ช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งหนึ่ง เขาหันหลังกลับไปแบบนี้ไม่ได้ ไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็นสถานการณ์ของนาง ไม่อาจทำหูทวนลม
เขาซุ่มซ่อนอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าเผยจิตมุ่งต่อสู้ออกไปให้ถูกสังเกตเห็น
แต่ศึกใหญ่ของไป๋เหลียนกับจี้เสวียน พลานุภาพช่างน่าตกตะลึง
แค่คลื่นพลังลูกหลงเขายังยากจะทานรับได้ จึงถอยแล้วถอยอีก อ้อมแล้วอ้อมอีก
เขาหาโอกาสอยู่ตลอดเวลา แต่ศึกใหญ่ระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเข้าไปร่วมได้เลย
ต่อให้เปลี่ยนตำแหน่งและหามุมนับครั้งไม่ถ้วน ก็ยังไม่สามารถสอดมือเข้าไปได้
เขากดกระบี่อยู่นาน แต่ก็ไม่อาจชักออกจากฝัก!
เขากำลังเฝ้ารอ รอจังหวะกระบี่ที่สะเทือนฟ้าดิน เฝ้ารอชั่วเวลาที่เป็นไปได้อันยอดเยี่ยมที่สุด
แต่จี้เสวียนไม่ใช่สยงเวิ่น เขาไม่ได้ถูกไป๋เหลียนไล่โจมตี ระดับเบิกคลังสูงสุดยิ่งไม่ใช่สิ่งที่ระดับมังกรทะยานจะเทียบเคียงได้
หลังจากเปิดประตูฟ้าดิน หนึ่งระดับคือโลกใบหนึ่ง คำพูดนี้ไม่ใช่คำพูดลอยๆ
การกดมือบนกระบี่ท่ามกลางการต่อสู้เช่นนี้ เรื่องประโยชน์ที่จะได้รับไม่ต้องพูดถึงเลย
วิกฤตกาลหลอมจิตใจ จิตรู้แจ้งลับกระบี่
คืนนี้หากเขาสามารถออกกระบี่ได้ โลกก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
……
หลังจากการต่อสู้ที่รวดเร็วจนตาลายครู่หนึ่ง จู่ๆ ไป๋เหลียนก็ถูกกระแทกจนลอยกระเด็น
ยิ่งไปกว่านั้นยังลอยผ่านเหนือพื้นหญ้าที่เขาหมอบอยู่ด้วย
ไม่มีเวลาให้ทันคิดแล้ว ร่างกายไวกว่าความคิด เขาพุ่งออกไปรับตัวไป๋เหลียนในทันใด
กระบี่ยังไม่ออกจากฝัก แต่เขาก็ออกกระบี่นี้ไปแล้ว!
กลางวงต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งระดับเบิกคลัง เด็กหนุ่มยืดตัวตรงพุ่งออกไป
พรวด!
ในพริบตาที่รับร่างไป๋เหลียนไว้ได้ เสี้ยวพลังจากหมัดของจี้เสวียนก็แผ่กระเพื่อมมาถึง ฉีกทำลายการป้องกันรากพลังเต๋าของเขาไปอย่างง่ายดาย
เลือดสดกระอักออกจากปาก
ลอยหวือ กระแทกพื้น กลิ้งหลุนๆ
เขาพลิกตัวปีนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กอดตัวไป๋เหลียนพลางวิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง
เคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพถูกกระตุ้นเต็มกำลังเพื่อเสริมกำลังของร่างกาย เขาไม่เคยวิ่งห้อเร็วขนาดนี้มาก่อน
ได้ยินเพียงเสียงลม เสียงลม และเสียงลมหวีดหวิว
เขารู้อยู่แก่ใจว่าอาจจะหนีไม่รอด ทว่าเขาก็ต้องลองดู
จนกระทั่งด้านหลังมีเสียงคลื่นยักษ์ดังสนั่น เขาถึงรู้ว่าสถานการณ์ทางด้านหลังเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่กล้าหยุดเท้าหันกลับไปมอง
ดังนั้นจึงไม่แน่ใจว่าด้านหลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขาไม่ได้วิ่งตรงไปทางเมืองเฟิงหลิน แต่วิ่งไปทางเมืองวั่งเจียงก่อน จากนั้นจึงหันไปทางตะวันออก จากนั้นก็เลี้ยวอีกเปลี่ยนทิศอีก ท้ายสุดจึงค่อยตรงไปทางเหนือ
ยามนี้เขาสร้างกระแสวนเต๋าแม่น้ำดวงดาวแล้วสองวง รากพลังเต๋าเต็มเปี่ยม สามารถวิ่งไปยังเมืองเฟิงหลินได้ในอึดใจเดียว
แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น หลังจากกลบเกลื่อนร่องรอยเรียบร้อย กลับพุ่งเข้าไปในป่าเขาแห่งหนึ่ง
เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จี้เสวียนถึงไม่ไล่ตามมาทันที ทำให้เขาช่วงชิงเวลาอันมีค่ามาได้ แต่ว่าเขาเข้าใจอย่างชัดเจนยิ่งว่าความเร็วของตนเองห่างชั้นจากจี้เสวียนมาก หากถูกไล่ตามมาก็โดนตามทันอย่างง่ายดาย
และคนที่วิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งบนถนนกลางค่ำคืน ย่อมกลายเป็นเป้าที่เด่นชัดที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นเขาจึงเลือกหาสถานที่หลบซ่อนตัวเสียก่อน
เขาพบถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง หลังจากซัดกำปั้นเข้าใส่เจ้าของที่แห่งนี้…หรือก็คือหมีดำธรรมดาตัวหนึ่ง เจียงวั่งก็อุ้มไป๋เหลียนเข้าไปหลบด้านในถ้ำภูเขา
เขาไม่ได้สังหารหมีดำ ยังคงให้มันอยู่ในถ้ำต่อเพื่อช่วยกำบัง
จวบจนตอนนี้ เขาถึงได้มีเวลามาสังเกตบาดแผลของไป๋เหลียน
……
ในถ้ำภูเขาแห้งมาก หมีดำตัวนี้มีความต้องการต่อสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของตนเองมากทีเดียว
หลังวางไป๋เหลียนลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง เจียงวั่งสร้างไฟขึ้นมาดวงหนึ่ง ก่อนแขวนไว้กลางอากาศให้ส่องสว่าง
หมีดำตัวนั้นดูตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่พอถูกเจียงวั่งถลึงตาใส่ ก็กลับไปนั่งอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่าย
ไป๋เหลียนหมดสติไปแล้ว เวลานี้ดวงตาที่แสนดึงดูดใจคู่นั้นปิดสนิท
เสื้อผ้าสีดำบนร่างขาดวิ่นหลายแห่ง เผยให้เห็นภาพที่ขาวเนียนชวนให้ใจสั่น ทว่าผ้าโปร่งคลุมหน้าสีดำกลับอยู่ในสภาพดี น่าจะไม่ใช่สิ่งของทั่วไป
เจียงวั่งรวบรวมสมาธิ
บาดแผลที่หนักที่สุดน่าจะเป็นบริเวณท้อง ทั้งจุดนั้นเนื้อกับเลือดเหวอะหวะ เศษผ้าขาดปนอยู่กับเลือดเนื้อ มองไม่เห็นจุดที่ยังสมบูรณ์อยู่เลย
วิชาปลูกรากพลังชั้นสามระดับกลาง เป็นวิชาเต๋าเยียวยาวิชาเดียวที่เจียงวั่งใช้ได้
หากวิเคราะห์หลักการของมัน ก็เป็นแค่การรวมพลังปราณธาตุไม้มาช่วยให้พลังชีวิตของผู้บาดเจ็บมีชีวิตชีวาขึ้น และกระตุ้นให้รักษาตัวเอง
สำหรับอาการบาดเจ็บเช่นนี้ของไป๋เหลียน มีอยู่เล็กน้อยย่อมดีกว่าไม่มีเลย แต่เจียงวั่งก็ทำได้เพียงทดลองดู
หลังจากประสานปางมือเสร็จสิ้น พลังปราณสีเขียวกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ลอยไปใกล้ส่วนท้องของไป๋เหลียน ก่อนจะมีปฏิกิริยากับบาดแผลของนาง
ครั้นแสงขาวกะพริบวาบ พลังปราณสีเขียวกลุ่มนี้ก็หายวับไป
ด้วยระดับวิชาปลูกรากพลังของเจียงวั่ง ย่อมไม่สามารถรักษาบาดแผลที่จี้เสวียนทิ้งไว้ได้
แต่ขณะเดียวกับที่พลังปราณสีเขียวสัมผัสตัวไป๋เหลียน การเปลี่ยนแปลงประหลาดบางอย่างก็เกิดขึ้น
เคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพบทมังกรเขียวของเจียงวั่งสมบูรณ์แล้ว เดิมทีก็มีความรู้สึกไวต่อพลังปราณธาตุไม้มาก เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงการสลายไปของวิชาปลูกรากพลัง และก็ไม่พลาดการเปลี่ยนแปลงของเทียนสีดำในจุดผ่านสวรรค์ในพริบตานั้นด้วย
เทียนดำเล่มนั้นถูกจุดขึ้นมา
จุดขึ้นมาเองโดยไม่มีไฟภายในจุดผ่านสวรรค์
อัศจรรย์มาก เจียงวั่งเข้าใจโดยจิตใต้สำนึก เทียนสีดำเล่มนี้สามารถลุกไหม้อยู่ราวหนึ่งเค่อ จากนั้นก็จะหายไป
แต่เขาไม่รู้ว่ามันถูกจุดขึ้นมาอย่างไร ไม่รู้ว่าควรจะจุดมันอย่างไร กระทั่งไม่รู้ว่าจะดับมันอย่างไรก่อนที่มันจะดับไปเอง
สรุปคือเรื่องทั้งหมดสับสนมึนงง
สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือ มันน่าจะเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับไป๋เหลียน
เทียนสีดำดับไปแล้ว สั้นลงช่วงหนึ่ง
มันค้างอยู่ในจุดผ่านสวรรค์ของเจียงวั่งมานาน นอกจากถูกวิญญาณแท้ชีพจรเต๋าพันรัดก็มองไม่เห็นจุดที่พิเศษเฉพาะอื่นๆ แต่เวลานี้กลับจุดขึ้นเองและดับลงเอง
และคล้อยหลังเปลวไฟชั่วพริบตานี้ วิชาเต๋าวิชาหนึ่งปรากฏขึ้นในสมองของเจียงวั่ง
เวลาเพียงชั่วพริบตาไม่ควรที่จะสั้นลงไปมากขนาดนั้น สาเหตุน่าจะมาจากวิชาเต๋าวิชานี้เอง
“เนื้อสร้างกระดูกขาว วิญญาณกลับสู่ร่างที่เน่าเปื่อย…”
เจียงวั่งพึมพำตามจิตใต้สำนึก มือขวาทำปางมือโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายก็ถูกแสงขาวชั้นหนึ่งปกคลุมไว้
แสงนั้นควรเป็นสีขาวซีดไม่ใช่ขาวโพลน เดิมควรจะมืดทึมน่ากลัว แต่กลับมีความรู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์อย่างน่าประหลาด
ครั้นนำแสงขาวกลุ่มนี้มาปกคลุมบนช่วงท้องของไป๋เหลียน เลือดเนื้อช่วงท้องของนางก็ขยับไปมาด้วยความเร็วที่ตามองเห็น เริ่มฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิม
จนถึงตอนสุดท้าย ลมหายใจของไป๋เหลียนคงที่แล้ว
เจียงวั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแสงขาวนี้มาจากที่ใด หลักการของมันคืออะไร ใช้พลังอะไร
เขารู้เพียงว่าวิชาเต๋าในหัวมีชื่อว่า…วิชาสร้างร่างคืนวิญญาณ
เทียนสีดำเล่มนั้นที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในจุดผ่านสวรรค์…เหมือนจะเป็นสิ่งของไม่ธรรมดาอะไรสักอย่าง
เจียงวั่งจดจ่อตั้งใจกับการรักษาจนไม่ทันได้สังเกต
เบื้องหลังของเขา เจ้าหมีดำตัวนั้นขดตัวเป็นก้อนและตัวสั่นงันงกไปแล้ว
……
ตอนที่ไป๋เหลียนฟื้นสติขึ้นมา ฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว
แสงอาทิตย์กระทั่งลอดเข้ามาในตัวถ้ำ ทำให้ไป๋เหลียนมองเห็นหมีดำตัวนั้นได้ชัดเจน
มันอยู่ชิดผนังถ้ำ ท่านั่งเรียบร้อยผิดปกติ อุ้งเท้าหมีทั้งสองข้างพาดอยู่ด้านหน้า ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
จากนั้นก็ได้กลิ่นประหลาดบางอย่าง สายตาของไป๋เหลียนย้ายตามไป จึงค่อยมองเห็นเจียงวั่ง
เขาลุกขึ้นยกสิ่งที่น่าจะเรียกได้ว่า ‘ชาม’ ใบหนึ่งเดินเข้ามาหาไป๋เหลียนช้าๆ
แสงอาทิตย์สาดลงบนใบหน้าของเขา ไป๋เหลียนรู้สึกว่าค่อนข้างน่ามองอย่างประหลาด
“ตื่นแล้วหรือ” เจียงวั่งเอ่ยเสียงอบอุ่น
“อืม” อาจเพราะเพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บหนัก เสียงของไป๋เหลียนจึงอ่อนโยนเป็นพิเศษ
“ตอนที่เจ้าสลบ เอาแต่เรียกเต้าจื่ออะไรสักอย่าง” เจียงวั่งยกสิ่งที่อยู่ในมือพลางอธิบายว่า “ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะหิว แต่ตอนนี้ทำอาหารไม่ค่อยสะดวกนัก ข้าจึงไปหาผักป่ามาต้มน้ำแกงให้เจ้าดื่ม”
“เต้า…” ไป๋เหลียนชะงักเล็กน้อย “ต้ม…ให้ข้าหรือ”
“ใช่” เจียงวั่งประหม่าเล็กน้อย “ตอนเด็กๆ บ้านข้าขายพวกสมุนไพร ข้าแยกสมุนไพรกับผักป่าออก วางใจเถิด ไม่มีพิษ ส่วนชามข้าคว้านหินก้อนหนึ่งทำขึ้นชั่วคราว และใช้วิชาเต๋าควบคุมไฟ…”
“ส่งมาสิ” ไป๋เหลียนตัดบทเขา
“โอ้” เจียงวั่งเดินเข้าไปหา ยื่นชามน้ำแกงผักป่าในมือไปตรงหน้าไป๋เหลียน
ไป๋เหลียนฝืนยกตัวขึ้นเล็กน้อย หลังจากมองผาดหนึ่งก็อยากทิ้งตัวลงนอนต่อทันที
‘ชาม’ ใบนั้นคว้านออกมาได้หยาบยิ่ง อย่างมากสุดก็เป็นแค่ก้อนหินที่มีหลุม แล้วน้ำแกงนั่น…ถ้าหากของเหลวเหนียวข้นสีเขียวๆ นั่นเรียกว่าน้ำแกงได้น่ะนะ
พอยื่นเข้ามาใกล้ กลิ่นประหลาดนั่นน่ากลัวยิ่งกว่า…
“ดื่มสิ” เจียงวั่งยื่นมาอีก ช่างคาดหวังและจริงใจยิ่งนัก
“ไม่เคยมีใครต้มน้ำแกงให้ข้ามาก่อน” ไป๋เหลียนเอ่ยขึ้น
นางทำใจดีสู้เสือ รับ ‘ชาม’ ใบนี้มา
“ตอนนี้ท่านเป็นคนป่วย ควรได้รับการดูแล” เจียงวั่งกล่าว
ไป๋เหลียนอดยอมรับไม่ได้ว่า ถ้ามองข้ามรูปลักษณ์ภายนอกกับกลิ่นประหลาดไป น้ำแกงชามนี้มอบความอบอุ่นที่นางแทบจะไม่เคยได้สัมผัสให้
ถูกดูแล…
นางไม่เคยถูกดูแลมาก่อน
……………………………………….