บทที่ 106 ใครจะยอมให้หัวใจเด็กหนุ่มผิดหวัง
เมี่ยวอวี้ยิ้มเย้ายวน เดินสะอิ้งจากไป
ทูตกระดูกขาวเป็นคนที่ซับซ้อนมากคนหนึ่ง แม้จะรู้จักกันมานาน แต่นางกลับมองเขาได้ไม่ปรุโปร่ง
การกระทำเช่นในวันนี้ เป็นไปได้ว่าต้องการหยั่งเชิงว่านางเจอผู้สืบทอดมรรคาแล้วหรือไม่ แต่ก็อาจจะเป็นการเตือนนางให้ระวังท่าทีไว้ อย่าทำให้เรื่องที่เจอผู้สืบทอดมรรคาเจอแล้วแตก
ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่สำนักกระดูกขาวด้วยอุดมการณ์เดียวกัน แต่ก่อนจะถึงเป้าหมายปลายทางนั้น ทุกคนล้วนมีแผนการของตัวเองทั้งสิ้น
สำหรับผู้อาวุโสสอง ท่าทีของเขาชัดเจนกว่ามาก เขาไม่สนใจว่าเมี่ยวอวี้จะสอบเค้นได้ผลอย่างไร บางทีเขาอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องหลี่เสวียน หรือบางที เขาอาจรู้ดีแล้วว่าเมี่ยวอวี้จะเค้นอะไรออกมาไม่ได้
คนแก่เจ้าเล่ห์ชั่วช้าเช่นนี้ นางไม่อยากไปคาดเดาความคิดของเขา รังแต่จะถูกชักนำไปผิดทาง เดาอย่างไรก็เดาไม่ออก
สำหรับเรื่องลักพาตัวเผ่าวารี คนที่รับผิดชอบจับตามองมีอยู่ไม่มาก
เดิมเมี่ยวอวี้ก็ไม่ได้บอกใครว่านางจะไปที่ริมฝั่งแม่น้ำชิง คนที่เดาเรื่องนี้ได้จะต้องสนิทกับนางมาก
นางไม่รู้ว่าคนที่ซ่อนอยู่ในเงามืดคอยส่งข่าวให้เป็นใคร เค้นสอบไปก็ไม่มีความหมาย เพราะพวกเขาอาจไม่รู้อะไรจริงๆ
นางกังวลนักว่าเรื่องผู้สืบทอดมรรคาจะถูกเปิดเผย หลังจากรอดตายมาได้ ความกังวลนี้ถึงขนาดแสดงออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้เลย
แต่ตอนนี้ทูตกระดูกขาวเห็นได้ชัดว่าเดาทางได้แล้ว ผู้อาวุโสสองก็ไม่ใช่คนโง่เช่นกัน
หลังจากผู้สืบทอดมรรคาปรากฏตัวก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาทันที กลับกัน จะถูกทุกสิ่งที่ได้พบเจอเมื่อเกิดมาแล้วผูกมัดไว้ ภายหลังถึงจะเป็นขั้นตอนอันยาวนานของการดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นและตื่นขึ้นมา ก่อนหน้านั้น ผู้สืบทอดมรรคาไม่ได้แข็งแกร่ง สิ่งที่กำหนดพลังต่อสู้ของเขามีเพียงการฝึกฝนหลังจากถือกำเนิดมาเท่านั้น
นี่ก็หมายความว่า ผู้สืบทอดมรรคามีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะถูกทำลาย…หรือไม่ก็ถูกแทนที่ก่อนตื่นขึ้น
นี่เป็นเหตุผลที่เมี่ยวอวี้ดำเนินการเป็นความลับ โดยเฉพาะหลังจากที่ชัดเจนว่าผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้ตั้งใจจะออกตามหาผู้สืบทอดมรรคา
ในฐานะธิดาเทพ ในฐานะคู่ฝึกบำเพ็ญคนปัจจุบันที่ถูกกำหนดไว้ของผู้สืบทอดมรรคา สิ่งที่นางอยากทำก็คือเร่งขั้นตอนการตื่นของผู้สืบทอดมรรคา
ดังนั้น หลังจากที่มั่นใจว่าเจียงวั่งคือผู้สืบทอดมรรคาที่ปรากฏตัวบนโลก นางก็เตรียมการเอาไว้สามเรื่อง
สามเรื่องคือสามทางเลือก
นางต้องสั่นคลอนไปจนถึงทำลายทัศนคติด้านศีลธรรมของเจียงวั่ง หลังจากนั้นจะช่วยเขาตามหาตัวตน
เรื่องแรกคือให้เขาคิดทบทวนถึงรัฐและราชสำนัก เรื่องที่สองให้เขาตรึกตรองความสัมพันธ์ระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าวารี พิจารณาถึงธาตุแท้ของเผ่ามนุษย์
สุดท้ายเรื่องที่สาม…ทำได้เพียงชะลอเอาไว้ก่อน
‘ผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่รัฐอวิ๋นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงขาดการติดต่อไปชั่วคราว ผู้อาวุโสสองกับทูตกระดูกขาวล้วนท่าทีไม่ชัดเจน ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่โอกาสที่ดี ในเมื่อตอนนี้ช่างอันตรายนัก’ นางคิด
นางเดินกลับห้องไปอย่างเหม่อลอย
นางถึงขนาดลืมไปว่า แต่ไหนแต่ไรนางไม่ใช่คนที่จะกังวลเรื่องอันตรายเลย
……
ตอนที่ยังเล็ก บิดาบอกกับเจียงวั่งว่า เผ่าวารีคือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในน้ำ
พวกเขาเหมือนกับเผ่ามนุษย์ มีความคิดมีความรู้สึกของตัวเอง มีญาติมิตรของตัวเอง มีความรักความแค้นพัวพัน
ความจริงแล้วนี่ก็เป็นความเห็นพ้องของมนุษย์เช่นกัน
ความเห็นพ้องนี้ไม่ได้ได้มาง่ายๆ แต่มาจากการคบค้าปรับตัวเข้าหากันของเผ่ามนุษย์และเผ่าวารี และเป็นความพยายามของผู้ทรงปัญญานับไม่ถ้วนของทั้งสองเผ่าในนับพันหมื่นปีที่ผ่านมา
ทว่าตอนนี้มีมนุษย์แอบลักพาตัวเผ่าวารี เลาะชีพจรเต๋าของพวกเขาเอามาทำลูกกลอนเปิดชีพจรเต๋า เหมือนกับว่าเพื่อให้ได้ลูกกลอนเปิดชีพจรที่สมบูรณ์แบบ เผ่ามนุษย์ก็ไม่เสียดายที่จะเลาะชีพจรเต๋าของผู้บำเพ็ญมา
นี่ทำให้เจียงวั่งรู้สึกถึงความโกลาหลและเหลวไหลไร้สาระของโลกใบนี้
“ท่านคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีอยู่หรือ” เจ้าหรู่เฉิงดื่มเสียจนใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ พูดจาก็ยิ่งตามอำเภอใจ
เวลาดึกดื่น เจียงอันอันหลับไปนานแล้ว เจียงวั่งฝึกบำเพ็ญเสร็จก็ยังนอนไม่หลับ จึงออกมาหาหลิงเหอและเจ้าหรู่เฉิงยามดึก
สามพี่น้องรวมตัวกันดื่มที่บ้านของเจ้าหรู่เฉิง ดื่มกันจนตาเยิ้มสะลึมสะลือ
พูดเรื่องความสับสนที่อยู่ในใจ เจ้าหรู่เฉิงที่อายุน้อยที่สุดกลับไม่แยแสมากที่สุด
“คนกินคนมีเยอะแยะ สยงเวิ่นเป็นแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น!” เขาหัวเราะพร้อมกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง “ท่านคิดว่าเพียงแค่หลายคนไม่ได้กินเข้าไปตรงๆ พวกมันเปลี่ยนวิธีกิน พวกท่านก็คิดว่ามนุษย์กินคนมีน้อยแล้วหรือ พี่สาม ท่านไร้เดียงสาเหลือเกิน!”
“พี่สามของเจ้าไม่ได้ไร้เดียงสา” หลิงเหอก็ดื่มไปมากเหมือนกัน แต่เขาคนนี้ต่อให้เมา ก็ไม่มีทางปล่อยตัวเองตามสบาย เขาเอนพิงเก้าอี้เล็กน้อย ผ่อนลมหายใจ พูดต่อไปว่า “เขาน่ะ มีสิ่งที่ตัวเขาเชื่อ”
“แล้วท่านเล่า พี่ใหญ่ของข้า ท่านเชื่ออะไร” เจ้าหรู่เฉิงตบๆ เข่าของเขา แสยะยิ้มพูด “อายุน้อยแค่นี้ แต่ทั้งวันกลับทำท่าทางเหมือนตาแก่ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ท่านทำเพื่ออะไรกัน”
“ข้าเชื่อว่ามนุษย์เดิมมีจิตใจดี ข้าเชื่อว่าไม่มีใครอยากกินคนจริงๆ หลายครั้งเป็นเพราะไร้ทางเลือก หากมีโอกาสให้เลือก พวกเขาไม่มีทางทำอย่างนั้น ข้าเชื่อว่าทุกคนอยากยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์อย่างผ่าเผยทั้งนั้น”
“พี่สามไร้เดียงสาไปบ้าง…ส่วนท่านน่ะโง่!” เจ้าหรู่เฉิงนั่งไม่ค่อยไหวแล้ว จึงฟุบลงกับที่วางแขนเสียเลย แล้วสะบัดมือแรงๆ “อย่าให้โอกาสคนแบบนั้นสิ!”
เจียงวั่งฟุบอยู่บนโต๊ะ กรอกเหล้าลงไปอีกจอก อาการเมาแสดงออกมาบนใบหน้า เขาหรี่ตาเอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่เป็นคนที่ไม่คิดร้ายกับคนอื่น หลายเรื่องเขาไม่มีทางลงมือทำเด็ดขาด จากนั้นเลยคิดว่าเหมือนคนอื่นก็จะไม่ทำเหมือนกัน”
“หัวใจคนล้วนเป็นก้อนเนื้อนี่นา” อาจจะเป็นเพราะดื่มมากไปจริงๆ คืนนี้หลิงเหอดูค่อนข้างดื้อดึง หรืออาจบอกได้ว่าอันที่จริงเขาก็เป็นคนที่ดื้อดึงอยู่แล้ว เพียงแต่ยามที่มีสติไม่อยากจะถกเถียงเท่านั้น
“เนื้อบางก้อนก็เป็นหนอง เป็นของเน่า!”
“แต่ก่อนที่จะเป็นหนองมันก็เป็นเนื้อดี”
“ไม่ๆๆ คนบางคนหัวใจไม่ใช่ก้อนเนื้อ แต่เป็นของเน่าเปื่อย!”
“เหลวไหล น้องห้า ของเน่าเปื่อยเป็นหัวใจมนุษย์ไม่ได้”
หลิงเหอเมาแล้วจริงๆ พวกเขาเหล่านี้อยู่ด้วยกัน นานมากแล้วที่ไม่ได้เรียกน้องห้าคำนี้
เจ้าหรู่เฉิงหัวเราะฮี่ๆ ขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะเป็นมนุษย์หรอกนะ พี่ชายคนโง่ของข้า”
“ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะไม่ใช่มนุษย์นี่” เจียงวั่งที่ดูการโต้เถียงอยู่คว้าช่องโหว่ไว้ได้อย่างแม่นยำ พูดอย่างมั่นใจยิ่งว่า “เหตุที่มนุษย์ยังเป็นมนุษย์ก็เพราะส่วนใหญ่เป็นมนุษย์ ไม่อย่างนั้นพวกเราไม่เรียกว่าผีหรือ”
เขายกมือขวาขึ้นสูงอย่างเมามาย “เพราะฉะนั้น ข้าขอตัดสินว่า! พี่ใหญ่พูดได้ถูก!”
หลิงเหอคลี่ยิ้ม ยิ้มได้พอใจและไร้เดียงสาเป็นอย่างยิ่ง
“ช่างมันแล้ว!” เจ้าหรู่เฉิงพลิกตัว หงายหน้านอนบนเก้าอี้เอน “ที่บ้าๆ แบบนี้ ใครเป็นใครตายข้าไม่สนใจทั้งนั้น นอกจากพวกท่าน แล้วก็เจ้าเสือ…”
จู่ๆ เขาก็ร้องไห้ออกมา “ฮือๆๆ แล้วก็ยังมีฟางเผิงจวี่ด้วย ไอ้บ้าชิงสุนัขเกิดฟางเผิงจวี่!”
ปกติแล้วคนที่ดูถูกเหยียดหยามฟางเผิงจวี่ที่สุดก็คือเขา มีเพียงแค่ยามที่ปลดปล่อยทุกสิ่ง ดื่มจนเมามาย ถึงจะพูดวาจาแบบนี้ออกมา
เจียงวั่งรินเหล้าให้ตัวเองอีกจอกด้วยอาการโงนเงน โคลงเคลงไปมา “แด่เจ้าบ้าฟางเผิงจวี่”
จากนั้นก็ดื่มลงไปรวดเดียวหมด
เจ้าหรู่เฉิงร้องไห้อยู่ไม่กี่ทีก็ไม่ร้องแล้ว เปลี่ยนมากล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าเสือไปจิ่วเจียงตั้งนานขนาดนี้แล้ว ไม่รู้จักเขียนจดหมายมาหาพวกเรา เขาก็เป็นไอ้บ้าชิงสุนัขเกิดเหมือนกัน!”
“ใช่ เป็นไอ้บ้าชิงสุนัขเกิดอีกตัว!”
หลิงเหอที่กึ่งเมากึ่งได้สติโพล่งขึ้นมาแก้คำพูดของพวกเขา “ชิงเสือเกิดต่างหาก”
……
ไม่รู้อาเติ้งยืนพิงอยู่ด้านนอกตั้งแต่เมื่อไร มือทั้งสองสอดอยู่ในแขนเสื้อ ฟังเสียงข้างในห้อง ก่อนจะถอนหายใจยาวๆ ออกมา เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ยังเป็นเด็กกันทั้งนั้น…”
ลมกลางคืนพัดแขนเสื้อของเขาปลิวขึ้น เลือดหยดหนึ่งร่วงลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง
แต่ก่อนที่มันจะหยดลงพื้น พลังบางอย่างก็รีบเข้ามาสลายมันไป
………………………………………………………