บทที่ 120 จิตใจคนที่เกลียดแค้นยังมิสู้สายน้ำ
ที่นี่คือถ้ำใต้ดิน บนพื้นเห็นได้ชัดว่าผ่านการซ่อมแซมด้วยฝีมือมนุษย์ ดูมีเอกลักษณ์
หินหนืดสีแดงเพลิงหลั่งทะลักออกมาตามร่อง แบ่งพื้นดินแยกจากกัน จนกลายเป็นภาพค่ายกลที่ซับซ้อนขนาดยักษ์ผืนหนึ่ง
ผู้อาวุโสรองถลึงดวงตาที่มีเพียงตาขาวคู่นั้น นั่งอยู่บนพื้น เอ่ยขึ้นอย่างอึมครึม “เมื่อคืนบนเขาหัวโค เหมือนจะไม่ได้มีคนรอดไปแค่คนเดียว”
ทูตกระดูกขาวยืนอยุ่อีกด้าน พอได้ยินก็เอ่ยตอบเสียงเบา “แล้วเป็นเช่นใดเล่า นอกจากเบาะแสที่ผิดพลาดกับหลุมพรางกับดักสังหาร เขาหัวโคก็ไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว”
“เคี้ยกๆๆ…แล้วเจ้าเด็กตระกูลฟางนั่น เจ้าก็ปล่อยให้เขากลับไปหรือ”
“แล้วทำไมหรือ”
“ท่านคิดว่าต่งเออจะมาปกป้องเขาหรือ”
“หากต่อเออไม่ปกป้องเขา นอกจากฟางเฮ่อหลิงที่จะตายไปคนหนึ่ง พวกเราก็ไม่ได้สูญเสียอะไรเลย ถ้าหากต่งเออปกป้องเขา พวกเราก็จะได้เห็นสำนักเต๋ากับกรมอาญาฉีกหน้ากันเอง น่ายินดีจะตายไป”
ผู้อาวุโสรองหัวเราะประหลาดออกมาอีกสองที ตบลงที่ตำแหน่งข้างๆ ตัว “มานั่งเป็นเพื่อนคนแก่อย่างข้าหน่อย”
ใต้เท้าเป็นหินหนืด พลังร้อนแรงที่น่ากลัวยังคงหลั่งทะลักอย่างเชื่องช้า
“ข้าชอบยืนมากกว่า” ทูตกระดูกขาวตอบ
“คนหนุ่มสมัยนี้ ดูฉลาดกันขึ้นทุกที พอเห็นพวกเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกว่าตัวเองแก่เสียเสียเหลือเกิน”
“ท่านเป็นผู้มีดวงตายมโลกแต่กำเนิด เกิดมาก็ติดต่อกับหยินหยางได้แล้ว ไม่มีทางเข้าใจความทุกข์ทรมานของคนธรรมดาอย่างพวกเราหรอก” ใบหน้าทูตกระดูกขาวยังคงปิดบังอยู่ใต้หน้ากาก “พรสวรรค์ไม่เพียงพอ ทำได้เพียงใช้สมองให้มากหน่อยเท่านั้น”
ผู้อาวุโสรองหัวเราะ เงยหน้ามองเขา “ทูตเอ๋ย เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอวดดีจนโง่เขลาไหม”
ทูตกระดูกขาวเลี่ยงการสบตาอย่างเหมือนจงใจไม่จงใจ ตอบกลับเสียงเบา “แน่นอนว่าท่านไม่ใช่คนอวดดีที่โง่เขลา แต่ท่านก็ควรเข้าใจด้วยว่าข้าก็ไม่ใช่”
“ท่าทีของเจ้ากับธิดาเทพเหมือนกันอย่างกับแกะ”
“จริงหรือ ดูเป็นเกียรติต่อข้ามาก”
“รอให้ผู้สืบทอดมรรคาตื่น นางก็จะกลายเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไป ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในระดับเดียวกัน ถึงตอนนั้นก็คงต้องก้มหน้าให้กับนางไปตลอดกาล เจ้ารับได้หรือ”
“ไม่มีอะไรรับได้หรือรับไม่ได้” ทูตกระดูกขาวหัวเราะเบาๆ “ล้วนเป็นการทุ่มเทเพื่อลัทธิของเรา มีสูงมีต่ำเสียที่ไหน”
พูดจบประโยค เขาก็หันหลังเดินจากไป
ที่ควรพูดก็พูดหมดแล้ว การจะอยู่ที่นี่คอยระวังดวงตาคู่นั้นดูไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีนัก
รอจนทูตกระดูกขาวเดินห่างไป ผู้อาวุโสรองจู่ๆ ก็กางแขนออกราวกับกำลังโอบกอดบางอย่าง “ใครจะคิดไปถึง ว่าตราเวทเก้าอสูรหยินทมิฬจะทิ้งอสูรหยินที่บริสุทธิ์ถึงขนาดนี้เอาไว้? จั่วกวงเลี่ยที่ตายไป เป็นปณิธานของเทพเทวะอย่างแท้จริง!”
หินหนืดในร่องพื้นจู่ๆ ก็ไหลย้อนกลับ ที่ใต้เท้าของเขา ก่อตัวเป็นร่างโครงกระดูกขึ้นมา
“เช่นนั้น ลู่เหยี่ยน” โครงกระดูกหินหนืดพูดออกมา น้ำเสียงต่ำพร่าอึมครึม “ใครกันแน่ที่เป็นคนอวดดีที่โง่เขลา”
“เคี๊ยกๆๆๆ แน่นอนว่าเป็นเจ้า! ไปท้าทายเยี่ยหลิงเซียว แค่นั้นยังไม่อวดดีอีกหรือ”
ผู้อาวุโสรองที่มีชื่อจริงว่าลู่เหยี่ยนก้มหน้าลง จ้องดวงตายมโลกคู่นั้นไปที่ร่องพื้น
“แผนการมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่าได้พลั้งพลาดขึ้นมาอีกเลย…”
โครงกระดูกสลายไปในพริบตา หินหนืดไหลต่ออย่างช้าๆ
ราวกับว่าทั้งหมดไม่มีอะไรเกิดขึ้น
…
“เจ้าสำนัก! แย่แล้ว!”
เจียงวั่งเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูเรือนของต่งเออ ก็เห็นศิษย์พี่คนหนึ่งพุ่งเข้าไปในเรือนเล็ก
เขาเอ่ยรายงานด้วยลมหายใจหอบหืดอยู่กลางเรือน “กรมอาญาเข้ามาจับตัวคนของสำนักเต๋าเรา ถูกรองเจ้าสำนักซ่งขวางเอาไว้ อยู่ที่ประตูใหญ่สำนักเต๋านี้เอง! รองเจ้าสำนักซ่งให้ข้าตรงมารายงานท่านทันที!”
“เข้าใจแล้ว” ต่งเออข้ามประตูเดินออกไปอย่างไม่เร่งไม่ร้อน
กรมอาญา? เจียงวั่งใจสั่นกึก
เดาว่าน่าจะมาจับตัวฟางเฮ่อหลิง สายสืบของพวกเขาหายตัวไปแบบนั้น อย่างไรก็ต้องการคำอธิบายแน่นอน
เขาพักอยู่ที่ตรอกอาชาเหิน ทุกครั้งล้วนเดินเข้าสำนักเต๋าผ่านประตูหลัง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าที่ประตูหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ศิษย์พี่ที่มารายงานคนนั้นนำอยู่ด้านหน้า ต่งเออเดินอยู่ด้านหลัง สอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่สับสน
และจากการได้รับผลกระทบความนิ่งของเขา อารมณ์ของศิษย์พี่คนนั้นจึงสงบลงมา เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกมาเสียรอบหนึ่ง
เรื่องราวเดิมทีไม่ได้ซับซ้อนนัก ก็คือกรมอาญามาเยือนอย่างกะทันหัน บอกว่าสายสืบที่รับหน้าที่ติดตามฟางเฮ่อหลิงคนหนึ่งหายตัวไป จึงจะพาตัวฟางเฮ่อหลิงกลับไปไต่สวน
เซียวหน้าเหล็กที่กำลังสอนอยู่เข้าขวางเอาไว้ บอกให้กรมอาญาเอาหลักฐานมาก่อนแล้วค่อยว่ากันเรื่องจับตัวคน
ทั้งสองฝ่ายยืนกรานไม่ยอมกัน ต่อมาซ่งฉีฟางรองเจ้าสำนักรู้ตัวขึ้น ซ่านฉาผู้รับผิดชอบกรมอาญาก็รีบตรงเข้ามาด้วยตัวเองเช่นกัน
เพราะสถานการณ์ยกระดับมาถึงขั้นนี้ จึงต้องมาเชิญต่งเอออย่างเสียมิได้
ใบหน้าต่งเออก็มองไม่ออกถึงสีหน้า หลังจากสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ก็มาถึงพื้นที่ประตูหน้า
ผู้ฝึกตนสองคนของกรมอาญาคุมตัวฟางเฮ่อหลิง แต่เซียวหน้าเหล็กก็ขวางพวกเขาไว้ ไม่ยอมให้พวกเขาออกไป
ตาขวาฟางเฮ่อหลิงมีรอยบวมปูดเขียววงหนึ่ง ดูท่าคงโดนอัดมาแล้ว
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ซ่งฉีฟางรองเจ้าสำนักที่มีนักเรียนที่กำลังเรียนกลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วย กำลังคุมเชิงกับซ่านฉาที่นำกำลังคนมากลุ่มใหญ่
“ท่านซ่ง” ซ่านฉาน้ำเสียงดูเคารพ แต่สีหน้ากลับไม่ได้มีความเคารพเลย “ไม่ทราบที่ท่านมาขวางปฏิบัติการของกรมข้า มันหมายความว่ากระไรหรือ”
ซ่งฉีฟางที่อายุมากแล้ว ขยับเปลือกตาตั้งท่าจะพูดอะไร
กลุ่มคนแยกตัวออกกะทันหัน
“เจ้าสำนักต่งมาแล้ว!”
“เจ้าสำนักต่งจัดการให้พวกเราด้วย!”
กระทั่งตัวซ่านฉาเอง สีหน้าก็ยังดูเรียบร้อยขึ้นมา
“สกุลซ่านเอ๋ย เจ้าคิดจะพาศิษย์สำนักข้าไปที่ไหนหรือ” ต่งเออถามขึ้นเสียงเรียบ
“เจ้าสำนักต่ง” ใบหน้าซ่านฉามีรอยยิ้ม “กรมอาญาสงสัยว่าภารกิจหมายเลขสามห้าที่ทำให้ศิษย์สำนักเต๋าล้มตายไปมากมายก่อนหน้านี้มีลับลมคมใน เลยจงใจส่งสายสืบให้ติดตามจับตาดูฟางเฮ่อหลิงทั้งวันทั้งคืน แต่เมื่อคืนนี้ สายสืบคนหนึ่งของกรมอาญา ผู้ฝึกตนระดับโจวเทียนจู่ๆ ก็หายตัวไป ศิษย์สำนักเต๋าเมืองล้วนเป็นกระดูกสันหลังในอนาคตแห่งรัฐจวงของข้าทั้งสิ้น เพื่อความปลอดภัยของศิษย์สำนักเต๋า พวกเราจึงตัดสินใจพาตัวฟางเฮ่อหลิงไปสอบสวนเสียก่อน”
“พวกเจ้าจะบอกว่าฟางเฮ่อหลิงเกี่ยวข้องกับสายสืบที่หายตัวไปหรือ มีหลักฐานหรือเปล่า”
ซ่านฉารู้สึกว่าช่างเหลวไหล “สายสืบคนนั้นหายตัวไปตอนที่ติดตามจับตาดูเขา ยังต้องการหลักฐานอะไรอีกหรือ จะเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่ พากลับไปสอบสวนเดี๋ยวก็รู้เอง!”
“แล้วเจ้าเตรียมที่จะบีบบังคับให้สารภาพอย่างโหดร้าย หรือว่าจะช่วงชิงวิญญาณไปเลยตรงๆ กัน”
ซ่านฉาฝืนยิ้มตอบ “เจ้าสำนักต่งก็ล้อเล่นเกินไปแล้ว กรมอาญาแต่ไหนแต่ไรก็ทำการอย่างยุติธรรม ทำงานมีขั้นมีตอนมีกฎกติกา แล้วจะไปทำเช่นนั้นได้อย่างไร”
เจ้าสำนักต่งกลับไม่มีความเมตตาปราณี “เจ้าก็แค่ผู้รับผิดชอบตัวเล็กจ้อย สำนักของข้าจะมาล้อเล่นอะไรกับเจ้า”
พอพูดขึ้นมา เจ้าสำนักเต๋า ผู้รับผิดชอบกรมในเขตเมืองใหญ่ๆของกรมอาญาจนไปถึงเจ้าเมือง ล้วนมีตำแหน่งชั้นสูงในเขตเมืองใหญ่เหมือนกัน ว่ากันตามสายอาชีพ เจ้าเมืองสูงกว่าครึ่งระดับ เจ้าสำนักกับผู้รับผิดชอบกรมควรจะอยู่ระดับเดียวกัน
แต่ในเขตเมืองใหญ่ๆ ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ ใครมีพลังที่แข็งแกร่งกว่า อำนาจในคำพูดก็จะยิ่งหนักกว่า
ก็เหมือนกับตอนที่แต่ก่อนซ่งฉีฟางเป็นคนดูแลสำนักเต๋าเมือง การที่ซ่านฉาจะบุกเข้ามาในสำนักเต๋าจับตัวคนก็ไม่ใช่อะไรที่พบเห็นได้ยาก แต่ตอนนี้ต่งเออเป็นคนดูแลอยู่
ซ่านฉาเป็นผู้ฝึกตนระดับมังกรทะยานสูงสุด จะไปแหงนหน้ามองต่งเออต่อหน้าเขาได้อย่างไร
“ศิษย์สำนักเต๋า หลังจากนี้ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพวกพ้องกรมอาญาของข้า ข้าไม่มีทางบีบบังคับให้สารภาพอย่างโหดร้ายอยู่แล้ว” ซ่านฉากัดฟันเอ่ยรับปาก
ต่งเออมองไปรอบๆ “ใครที่อีกเดี๋ยวไม่มีคาบเรียน ติดตามฟางเฮ่อหลิงไปที่กรมอาญาด้วย รัฐจวงของข้ามีกฎมีเกณฑ์ หากเป็นการสอบถามปกติพวกเราจงให้ความร่วมมือ แต่ถ้ากล้าหยิบพวกตรวนพันธนาการในคุกเหล่านั้นออกมา สำนักข้าไม่อนุญาตเด็ดขาด!”
“เจ้าสำนัก ข้าไป ฟางเฮ่อหลิงถูกพาไปในคาบเรียนข้า ข้าควรจะออกหน้า” เซียวหน้าเหล็กเอ่ยขึ้น เขาที่มีชื่อด้านความเข้มงวด ก็ยังเคารพต่อตัวต่งเออเจ้าสำนักที่มีนิสัยน่าเข้าหาคนนี้อย่างมากเช่นกัน
การชักดาบง้างธนูคุมเชิงจบลงด้วยประการฉะนี้ คนของกรมอาญาก็ไม่กล้าที่จะมัดจับกุมฟางเฮ่อหลิง ทำได้เพียงล้อมไว้ซ้ายขวา
เซียวหน้าเหล็กติดตามไปด้วยข้างๆ
จากต้นจนจบ ฟางเฮ่อหลิงก้มหน้าไม่พูดจา แต่สายตาของเขากลับซับซ้อนอย่างมาก
ก่อนหน้าที่จะออกไป ซ่านฉาเอ่ยขึ้นกะทันหัน “จริงด้วย หัวหน้ากรมจี้จะมาเมืองเฟิงหลินเร็วๆ นี้ เขาเคยเชื่อมสันพันธ์กับเจ้าสำนักต่งที่เมืองซินอันไปแล้ว ครั้งนี้ไม่แน่ว่าอาจจะเข้ามาทักทายสหายเก่า”
“ได้” ต่งเออตอบกลับไร้สีหน้าอารมณ์ “ถ้าหน้าเขาหายบวมแล้วก็มาได้เลย”
ซ่านฉานิ่งไป
เดิมทีเขาคิดจะยืมหนังพยัคฆ์มาอวดบารมีเสียหน่อย แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองเหมือนกับได้รู้เรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่ควรรู้เข้า
ทำได้เพียงพาตัวคนออกไปอย่างเร่งด่วน
…
ต่งเออเหมือนกับเสาเทพค้ำทะเลอย่างไรอย่างนั้น มีจิตใจสำนักเต๋าที่สงบเยือกเย็น ตั้งแต่ต้นจนจบ มั่นคงอหังการ
มีเพียงเจียงวั่งที่ติดตามต่งเออมาจากนอกเรือนเล็กเท่านั้น ที่มองเห็นมือที่ไพล่หลังอยู่ของเขา พริบตาหนึ่งกำขึ้นมาอย่างตึงเครียด
“เมืองซินอัน” สถานที่นี้ถูกเอ่ยขึ้นมาเป็นพิเศษ อาจจะไปสะกิดอะไรเขาขึ้น
สะกิดใจชายกลางคนผู้แข็งแกร่งตรงไปตรงมาคนนี้เข้า
……………………………………….