บทที่ 126 ใจข้าดุจดวงจันทร์เว้าแหว่ง
ระหว่างวิ่งทะยาน หวางฉางเสียงขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
การฝึกฝนจากการต่อสู้อันดีเยี่ยมทำให้เขาประสานปางมือได้อย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมลงมือได้ทันที
เขาย่อมไม่มีทางจากไปอย่างนี้แน่นอน กลับใช้ไหล่เข้ากระแทก!
กระแทกประตู
พุ่งเข้ามาในห้องนอน
แต่ในห้องนอนไม่มีคนอื่น ไม่มีโจรที่เขาจินตนาการว่าจับตัวพี่ชายของเขา
ในห้องมีเพียงพี่ชายของตนคนเดียวเท่านั้น
ตอนนี้กำลังขดตัวม้วนอยู่บนเตียง
มือทั้งสองของเขากุมอยู่ที่หัวเปื้อนไปด้วยเลือด บนนั้น…ยังมีขนสีส้มอยู่กระจุกหนึ่ง
ขนของเจ้าส้ม
หวางฉางเสียงคลายท่าประสานปางมือ พุ่งไปที่หน้าเตียง พยุงเขาเอาไว้ “พี่ พี่! ท่านเป็นอะไรไป”
ใบหน้าของหวางฉางจี๋บิดเบี้ยว แปรเปลี่ยนเป็นอำมหิต บิดเบี้ยว เขาพยายามดันตัวเข้าไปชิดกำแพงสุดกำลัง สองมือเหวี่ยงซ้ายป่ายขวาไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง พยายามขับไล่น้องชาย
“อย่าเข้ามา! อย่าเข้ามา…”
เขาแทบจะร้องไห้ฟูมฟาย แทบจะร้องอ้อนวอน
เขาตวาดขึ้นมาอีก คำรามออกมาว่า “ไปให้ไกลข้า! ไสหัวไปให้ไกล”
“พี่! ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้ข้ากลัวสิ!” หวางฉางเสียงคว้ามือทั้งสองที่เหวี่ยงซ้ายขวาเปะปะของเขา ไม่สนใจรอยเลือดพวกนั้นแม้แต่นิดเดียว ร้องไห้พลางพูดขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น พวกเราพี่น้องมาเผชิญหน้าไปด้วยกัน”
“อา”
หวางฉางเสียงได้ยินเสียงแบบนี้
เหมือนทอดถอนใจอะไรสักอย่าง ทั้งยังเหมือนปลดปล่อยอะไร
จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองถูกมือคู่นั้นพลิกกลับมาจับเอาไว้แน่น
มือของพี่ชายเย็นยิ่งนัก
เขาเห็นหวางฉางจี๋เงยหน้าขึ้นมาจากการหลบเลี่ยงม้วนตัว มองมาทางเขาอย่างเงียบงัน
รอยดิ้นรน บิดเบี้ยวบนใบหน้าของเขาหายไปจนหมดสิ้น กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง
ทว่าเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาอย่างผิดปกติ ไร้ซึ่งความอบอุ่น ไม่มีเคลื่อนอารมณ์แม้แต่น้อย
“ถึงเวลาแล้ว”
เขาพูด
พลังเยียบเย็นทั้งยังทะลักล้นแทบจะทะลวงเข้าไปในตำแหน่งที่สองมือสัมผัสในทันที รากพลังเต๋าป้องกันที่สร้างขึ้นมาตามสัญชาตญาณของหวางฉางเสียงพังทลายในทันใด!
เขารู้สึกได้ว่าเลือดของตัวเองแข็งตัว รากพลังเต๋าแข็งตัว ความคิดก็เริ่มแข็งค้าง
เขาขยับริมฝีปาก พยายามจะเปล่งพยางค์เสียงสุดท้ายออกมา “พี่…”
แต่เสียงหยุดนิ่งไปแล้ว
พร้อมกับลมหายใจ
หวางฉางจี๋ปล่อยมือ หวางฉางเสียงก็ล้มตุบลงไปบนพื้นต่อหน้าเขา
แขนขาทั้งสี่กางออก เงยหน้าขึ้นท้องฟ้า แววตาสุดท้ายสงบนิ่ง
ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าในเสี้ยวเวลาสุดท้ายเขาคิดถึงอะไร
หวางฉางจี๋ลุกขึ้น ดึงผ้าปูเตียงออกมา เช็ดรอยเลือดบนมืออย่างช้าเนิบ ในแววตาไม่มีความเจ็บปวดเสียใจแม้แต่นิด หรือจะบออกว่า นับจากตอนนี้ไป เขาสูญเสียอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดไปแล้ว
เขาเริ่มเดินออกไปข้างนอก
ร่างของหวางฉางเสียงนอนขวางอยู่ข้างหน้า
เขายกเท้าจะเดินก้าวข้ามไป
แต่ฝีเท้าก้าวไปได้ครึ่งหนึ่งก็ถอยกลับมา
เขาสังเกตเห็นที่เข็มขัดของหวางฉางจี๋มีขวดเล็กๆ งดงามขวดหนึ่งห้อยอยู่
กลิ่นอายในขวดใบนั้นทำให้เขาในตอนนี้ที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับนี้รู้สึกว่าล้ำค่า
เขาก้มตัวลงเล็กน้อย ยื่นมือปลดขวดใบนั้นมา
บนขวดมีชื่อของมันแปะเอาไว้ว่า…โอสถศักดิ์สิทธิ์ขยายชีพจร
หวางฉางจี๋ลุกขึ้น ข้ามศพร่างนี้ เดินก้าวไปข้างนอกต่อไป
ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์
แต่ไม่รู้ทำไม
น้ำตาถึงได้ไหลริน
……
“ข้าศึกโจมตี! ข้าศึกโจมตี! สัตว์ร้ายพวกนั้นคลั่งขึ้นมาแล้ว! แม้แต่สัตว์ปีศาจก็เหมือนกัน!”
“รีบส่งข่าวไปเมืองซินอันเร็วเข้า!”
“ค่ายกลส่งข้ามไร้ผล ส่งข่าวไปไม่ได้”
บนยอดเขาเหินทะยาน อารมณ์พุ่งพล่านสงบไปครู่หนึ่ง
ทุกคนต่างรู้ว่านี่หมายถึงอะไร
ในยามที่ซุนเหิงกวาดล้างเขายอดพู่กันราชสำนักคิดไม่ถึง หรือจะบอกว่า ฝั่งราชสำนักเองก็มีท่าทีที่ขัดแย้งกัน ผู้บำเพ็ญที่ป้องกันเขายอดพู่กันไม่ได้รับคำสั่ง ก็ไม่กล้าแสดงตัวตน ประจัญหน้ากับเจ้าเมือง
เดิมคิดว่าคลื่นสัตว์ร้ายสุดท้ายก็จะบีบกลุ่มเมืองซานซานให้ถอยไปได้ แค่ใครก็คิดไม่ถึงว่าซุนเหิงจะฝ่าขึ้นไป สู้จนน้ำมันแห้งแสงเทียนดับ โจมตีคลื่นสัตว์แตกพ่ายไปด้วยกำลังเพียงคนเดียว
ยอดเขาหยกสมดุลเผชิญหน้ากับวิกฤตทำลายล้างครั้งแรก ตู้หรูฮุ่ยที่เป็นถึงอัครมหาเสนาบดีออกโรงเอง นี่ถึงได้หยุดโต้วเยวี่ยเหมยเอาไว้ได้
แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนฉวยโอกาสการแข่งขันสำนักเต๋าประจำเขตการปกครอง ตู้หรู่ฮุ่ยไปประจำการที่เมืองซินอัน ทำลายยอดเขาหยกสมดุล
ตอนนี้ในเมืองซานซานเหลือเพียงเขาบินทะยานเท่านั้นแล้ว
แม้จะอยู่ในเขตรัฐจวง มีสถานที่จำนวนไม่น้อยเลยที่ซ่อนรังสัตว์ร้ายเอาไว้ใช้สำหรับเลี้ยงสัตว์ปีศาจ
แต่รังระดับอย่างเขาบินทะยานนี้ แทบจะเป็นทรัพยากรระดับยุทธปัจจัย สูญเสียเขาลูกใดไปล้วนเป็นการสูญเสียอย่างมหาศาล
ดังนั้นผู้แข็งแกร่งอย่างตู้หรูฮุ่ยระดับนี้จึงต้องเดินทางไปด้วยตัวเองหลายครั้ง
รัฐจวงแบกรับการสูญเสียไม่ไหว
“มีคน! มีคนพุ่งขึ้นมาแล้ว!”
“เป็นคนของสำนักกระดูกขาวหรือคนของรัฐยง”
ภายในสัตว์ร้ายอาละวาด ภายนอกมีศัตรูโจมตี พุ่งทำลายการป้องกันอย่างรวดเร็ว
กองทัพปกป้องอย่างเดียวดาย ไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือได้
พวกเขากระทั่งว่าไม่อาจวิเคราะห์ได้ว่าศัตรูมาจากทางไหน เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันนัก
ก่อนที่เรื่องจะเกิดขึ้นก็ไม่มีการเตรียมตัวใดๆ ทั้งสิ้น และก็ไม่มีร่องรอยอะไรเลยแม้แต่น้อย
มีคนปกปิดทุกอย่างนี้
ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกเดือดพล่านเช่นนี้ ท่ามกลางความหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้
ผู้บำเพ็ญกรมอาญาคนหนึ่งไม่พูดพร่ำทำเพลงพาดกระบี่ปาดคอตัวเองทันที!
เลือดพุ่งออกมาจากหลอดลมที่ถูกปาดสาดไปยังใบหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าเขา
วิญญาณของผู้บำเพ็ญทุกคนที่เฝ้ารักษาเขาบินทะยานล้วนผูกด้วยเคล็ดวิชาลับเอาไว้ ทันทีที่ตาย ทางเมืองซินอันก็จะเคลื่อนไหวทันที
เขาอับจนหนทาง ใช้ความตายส่งข่าว
ผู้บำเพ็ญที่จู่ๆ ถูกเลือดสาดกระเซ็นเข้าเต็มหน้าคนนั้นเช็ดหน้าในทันที ชักกระบี่แล้วก็วิ่งไปที่ตีนเขา
“ฆ่า! ฆ่าพวกมันเสีย!”
“ก่อนที่ท่านอัครมหาเสนาบดีจะมา จะให้พวกมันบุกเข้ามาอีกไม่ได้แม้เพียงก้าวเดียว!”
นอกจากผู้บำเพ็ญที่พยายามแก้ไขซ่อมแซมค่ายกลมาโดยตลอดเหล่านั้น ผู้บำเพ็ญที่เฝ้ารักษาที่นี่ทุกคนตะโกนออกมา พุ่งไปข้างล่างพร้อมกัน
ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับกรมอาญา แต่ไม่มีใครจำชื่อของพวกเขาได้ พวกเขาสวมชุดของกรมอาญาเหมือนกัน แต่ที่กรมอาญาไม่มีชื่อของพวกเขา
เพราะภารกิจที่พวกเขาทำเป็นภารกิจลับเช่นนี้ เรื่องที่ทำก็เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่ได้ยินดีจะทำ
ใจพวกเขาเต็มไปด้วยความอัปยศและความรู้สึกผิด แต่ก็เฝ้าปรารถนาในความหยิ่งทะนงและภาคภูมิใจ
พวกเขาทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่ก็รักษาไว้ซึ่งอนาคตของรัฐจวง
พวกเขาเหล่านี้เป็นคนอย่างไร
ประวัติศาสตร์จะวิจารณ์อย่างไร
บางทีอาจจะสำคัญ บางทีอาจจะไม่สำคัญ
มาถึงเวลานี้แล้ว เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว มีเพียงฆ่าเท่านั้น
ข้าแข็งแกร่งเกรียงไกร ยืนหยัดไม่ละทิ้งหาทางที่ยึดมั่น!
……
การโจมตีเขาบินทะยานเริ่มขึ้นแล้ว แผนการของสำนักกระดูกขาวที่วางมาหลายสิบปีเปิดฉากในทุกๆ ด้าน เข้าสู่ขั้นสุดท้ายอย่างเป็นทางการ
ในฐานะที่เป็นธิดาเทพสำนักกระดูกขาว เมี่ยวอวี้กลับเศร้าสร้อยไม่มีความสุข
เพราะนางยังลังเลว่าจะผลักดันการตัดสินใจครั้งที่สามที่วางแผนเอาไว้เรียบร้อยตั้งนานแล้วดีหรือไม่ อาศัยสามเรื่องที่เจียงวั่งให้สัญญา ช่วยให้ผู้สืบทอดมรรคาตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์
นางรู้ดีว่าเมื่อแผนดำเนินมาจนถึงขั้นสุดท้าย หากนางยังไม่เคลื่อนไหว เช่นนั้นความพยายามของนางก่อนหน้านี้ก็นับว่าสูญเปล่า
ตอนนี้องค์เทพจุติลงมาที่โลก ผู้สืบทอดมรรคาตื่นขึ้นไม่มีความดีความชอบของนาง
ในเวลาที่ทุกข์ทรมานที่ผ่านมาเหล่านั้นยางถูกบอกนับครั้งไม่ถ้วนว่า นางคือธิดาเทพของสำนักกระดูกขาว นางจะช่วยผู้สืบทอดมรรคากระดูกขาวที่หลังจากฟื้นตื่นขึ้นมาร่วมล้างโลกอันน่ารังเกียจใบนี้
ผู้สืบทอดมรรคาคือคู่ฝึกบำเพ็ญของนาง
นี่เป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณของนางมาโดยตลอด เป็นเหตุผลที่ทำให้นางเดินมาถึงทุกวันนี้
ดังนั้นนางจึงเฝ้าคำนึงถึงและพร่ำเพ้อ เฝ้าใฝ่ฝันหาถึงผู้สืบทอดมรรคาที่ยังไม่ปรากฏตัวขึ้นแต่จะปรากฏตัวขึ้นในสักวันหนึ่งคนนั้น
ดังนั้นหลังจากที่มั่นใจว่าเจียงวั่งเป็นผู้สืบทอดมรรคาจุติลงมา นางกระทั่งว่าสู้สุดชีวิตเพื่อเขาได้โดยไม่ลังเล
ในฐานะที่เป็นธิดาเทพสำนักกระดูกขาว นางก็รู้ดีเช่นกันว่า ผู้สืบทอดมรรคาหลังจากที่ฟื้นตื่นถึงจะเป็นผู้สืบทอดมรรคาที่แท้จริง
ชีวิตก่อนหน้านั้นล้วนเป็นปริศนาในครรภ์มารดา เป็นความเหลวไหลไร้เหตุผลในโลกโลกีย์
ดังนั้นนางจึงเตรียมการตัดสินใจสามครั้งไว้ให้เจียงวั่ง ผลักดันให้เขาฟื้นตื่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
ทว่า นางก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าไม่รู้ทำไม ทำไมจึงลังเลนานขนาดนี้
จนทำให้เวลาพลาดไปทีละนิดๆ
ก่อนหน้านี้นางไม่เชื่อเลยว่าตัวเองที่เติบโตมาจากการฆ่าฟันในฝูงสัตว์ร้ายตั้งแต่เล็ก เมื่อมีความจำก็นับถือเทพกระดูกขาว กลับมีความรู้สึกลังเลเช่นนี้
ทว่าสิ่งที่เสียดสีเป็นอย่างยิ่งคือ…ในตอนที่นางลังเล ผู้สืบทอดมรรคา…ตื่นขึ้นมาแล้ว
บางทีเทพกระดูกขาวอาจไม่เชื่อในสาวกของพระองค์ หรือบางทีอาจเกิดเหตุเหนือความคาดหมายอะไร
ไม่เหมือนกับเวลาจากโองการแห่งเทวะ แต่ตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ
ในฐานะที่เป็นธิดาเทพกระดูกขาวคนปัจจุบัน ความใกล้ชิดที่ราวกับชะตาชีวิตไม่มีทางหลอกนาง
ณ ที่แห่งหนึ่งในช่วงเวลานี้ เสี้ยวขณะนี้ ผู้สืบทอดมรรคากระดูกขาวตื่นขึ้นมาแล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่นางสามารถยืนยันได้ก็คือ ร่างจุติของผู้สืบทอดมรรคากระดูกขาวไม่ใช่เจียงวั่ง
ไม่ใช่เจียงวั่ง!
เมี่ยวอวี้บอกไม่ถูกว่าตัวเองโล่งใจหรือเสียใจกันแน่
………………………………………………………