บทที่ 132 เจ้าถามข้าจะกลับเมื่อไร ข้าเองก็กำหนดไม่ได้
เขตปกครองไต้ซาน เมืองจิ่วเจียง
ทั่วทั้งเขตเมืองเป็นเขตล่าสัตว์ขนาดยักษ์
เขตเมืองจิ่วเจียงเป็นเขตเมืองเดียวของทั้งรัฐจวงที่ไม่มีถนนทางหลวง ที่นี่คือพื้นที่ล่าสัตว์ร้าย เป็นรังของสัตว์ร้ายที่ใหญ่ที่สุด
และเมืองจิ่วเจียง รวมถึงตำบล หมู่บ้านที่อยู่ใต้อาณัติล้วนเป็นค่ายทหารทั้งหมด
เขตเมืองจิ่วเจียงไม่มีประชาชนทั่วไป ทั้งหมดล้วนเป็นนักรบ
เขตเมืองแห่งนี้ไม่มีถนนทางหลวง ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพื้นที่ปลอดภัย
แต่สถานที่ที่นักรบอยู่ ก็คือสถานที่ที่ปลอดภัย เส้นทางที่นักรบเดินผ่าน ล้วนเป็นเส้นทางที่ปลอดภัย
สัตว์ร้ายไม่มีสติปัญญา แต่ก็ยังถูกสังหารจนกลายเป็นถนนได้
นี่คือสถานที่ที่หน่วยเกราะทมิฬเก้าแม่น้ำตั้งอยู่
พลทหารส่วนใหญ่ในเขตปกครองจิ่วเจียงล้วนเป็นทหารกองหนุน เกราะทมิฬเก้าแม่น้ำที่แท้จริง มีอยู่เพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น
ตู้เหยี่ยหู่ก็อยู่ในนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นนายทหารคนหนึ่ง มีลูกน้องอยู่ห้าคน และเนื่องจากการขาดกำลังทหาร ปัจจุบันจึงมีอยู่เพียงสามคนเท่านั้น
แน่นอน ในจดหมายที่เขียนให้เหล่าพี่น้อง เขาแต่งตั้งตนเองเป็นหัวหน้าหน่วยเรียบร้อย
จากที่เขาเห็น มันเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ถือเป็นการคุยโม้
ในค่ายทหารแห่งหนึ่ง ตู้เหยี่ยหู่ที่ร่างชุ่มไปด้วยเลือดเดินเข้าไปในกระโจมทหาร
“อ๊ะๆๆ ทำไมเจ้าเข้ามาทั้งที่เลือดท่วมตัวอย่างนี้เล่า” คนในกระโจมถามขึ้น
“ไม่เป็นไร เลือดสัตว์ร้ายทั้งนั้น” ตู้เหยี่ยหู่ลูบๆ หน้าตัวเอง เอ่ยต่ออย่างขอไปที “หัวหน้าหน่วย สิ้นปีแล้ว กำหนดวันหยุดให้ข้าที ข้าจะกลับไปฉลองสิ้นปีกับคนที่บ้าน”
“คิดว่าข้าเป็นห่วงเจ้าหรือ ข้ากลัวเจ้าจะทำกระโจมข้าสกปรกต่างหาก!” ใบหน้าหัวหน้าหน่วยมีรอยแผลเป็น ปากบ่นพร่ำไปเรื่อย แต่มือเองก็ไม่ชักช้า ตวัดพู่กันไปไม่กี่ทีก็ยื่นตราส่งให้เขาชิ้นหนึ่ง “เจ้าไม่เคยหยุดเลย สมควรได้วันหยุดยาวอยู่แล้ว”
“อ๊ะ ไม่ถูกสิ” เขาเอ่ยถามขึ้นมา “ข้าจำได้ว่าเจ้ามันเด็กกำพร้านี่นา? ”
ในหน่วยเกราะทมิฬเก้าแม่น้ำ ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่มีบ้านให้กลับ ถ้าเอาคำพูดของเจ้าเมืองจิ่วเจียงมาพูดก็คือ “ครอบครัวธรรมดาล้วนมีผู้ปกครอง ถ้าผู้ปกครองมีจิตมีใจเสียหน่อย ก็ไม่ควรให้ลูกๆ มารนหาที่ตายถึงที่นี่”
เกราะทมิฬเก้าแม่น้ำไม่เคยเห็นความเป็นความตายเป็นเรื่องต้องห้าม ดังนั้นจึงไม่ได้อ่อนไหวกับคำพูดนี้นัก
“ดูท่านพูดเข้า” ตู้เหยี่ยหู่เอยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีพ่อแม่ แต่ก็ยังมีพี่น้องนี่นา เขารอข้าอยู่ที่บ้านทั้งนั้น ชะเง้อคอยหาน่ะ! เคยเรียนไหม”
“เรียนบ้าเรียนบออะไร!”
ตู้เหยี่ยหู่ก้มตัวหลบฝ่ามือ หัวเราะร่าเดินออกจากกระโจมทหารไป
……
เขตเมืองเฟิงหลิน พื้นที่ฐานที่มั่นกองทัพประจำเมือง
ตอนที่พื้นแตกมาถึงที่นี่ พลทหารมากมายกำลังฝึกฝนอยู่
เว่ยเหยี่ยนสังเกตเห็นเป็นอันดับแรก จากร่องพสุธาแยกที่กว้างขึ้น ระหว่างฟ้าดินมีหมอกปกคลุม
เขาคุ้นเคยกับหมอกนี้มาก!
เรื่องที่ตำบลเสี่ยวหลิน ความทรงจำที่เขาไม่มีทางลบได้ตลอดกาล
“ขอบเขตภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ใช่แค่หนึ่งเมืองหรือหนึ่งตำบล แต่ปกคลุมไปทั่วทั้งเขตเมือง ถึงกระทั่งกลายเป็นภัยพิบัติของทั้งเขตปกครองเลยก็เป็นได้!” เว่ยเหยี่ยนเอ่ยขึ้นเช่นนี้กับเจ้าหล่าง
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยสงสัยต่อการตัดสินใจของตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงกระโจนขึ้นแท่นสูงทันที กระตุ้นพลังรากเต๋า เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง “ทหารกองทัพประจำเมืองทั้งหมดจงรับคำสั่ง! ไม่ต้องหยิบจับอะไรแล้ว! ไม่ต้องสนใจอะไรอีกด้วย! ถอนทัพออกไปนอกเขตเมืองทันที! รอดไปได้สักคนหนึ่งก็…”
ผัวะ!
“จะไปไหนกันเล่า!”
เท้าใหญ่ข้างหนึ่งเตะเขาลงไปจากแท่นสูง ขุนพลหลักกองทัพประจำเมือง ขุนพลที่ผู้คนเรียกว่าฟางหนวดเฟิ้มเบียดตัวขึ้นไปบนแท่นสูง ในปากยังคงก่นด่ากระปอดกระแปด
ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพประจำเมืองเฟิงหลิน เขาเปลี่ยนแปลงคำสั่งโดยไม่ลังเล “สถานการณ์คับขัน เรื่องอื่นข้าไม่พูดแล้ว ทหารทั้งหมดของกองทัพประจำเมืองจงฟังคำสั่ง! จัดกลุ่มเล็กกระจายออกไปทันที ออกค้นหาในเขตเมืองทั้งหมดโดยมีเมืองเฟิงหลินเป็นศูนย์กลาง จะต้องค้นหาต้นตอของภัยพิบัติให้ได้ในเวลาสั้นที่สุด! เรื่องนี้อันตรายมาก แต่ข้าต้องการให้พวกเจ้านำชีวิตเข้ามาเติมเต็ม! ใช้ชีวิตช่วยเหลือบ้านเกิดของพวกเจ้า! บอกกับข้าที พวกเจ้าเข้าใจไหม?”
ตูม! โครม!
ในเสียงครืนครันของแผ่นดินไหวขนาดยักษ์ ผู้คนกลับเอ่ยขึ้นพร้อมกันอย่างยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าภัยพิบัติ
“ไม่กลัว!”
“ไม่กลัว!”
“ไม่กลัว!”
ฟางหนวดเฟิ้มโบกมือ “ออกเดินทาง!”
ขบวนทหารแยกย้ายกันสะเทือนเลือนลั่น
เว่ยเหยี่ยนมองเขาด้วยสายตาโกรธเคือง “นี่เป็นการเสียสละที่ไร้ความหมาย! สกุลฟาง ท่านจะให้เหล่าพี่น้องออกไปตายเปล่า!”
“ออกไปตายน่ะมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่จะตายเปล่าหรือไม่มันก็ยังไม่แน่” ฟางหนวดเฟิ้มมองเขาอย่างเหยียดหยาม เดินออกไปยังทิศทางที่ตนเองเลือกไว้ “ถ้าเจ้ากลัว ก็ไสหัวไปเสีย! อย่าลากทหารของข้าลงไปด้วย!”
ทั่วทั้งฐานที่มั่นกองทัพประจำเมืองสลายตัวหมดจดด้วยเวลาอันรวดเร็ว
ในหนึ่งขุนพลหลัก สองรองขุนพลซ้ายขวา ห้ารองขุนพลของกองทัพประจำเมือง นอกจากเว่ยเหยี่ยนที่ไม่เชื่อฟังยืนอยู่ที่เดิม กับเจ้าหล่างที่ยังไม่ขยับตัวแล้ว ที่เหลือทั้งหมดล้วนทะลวงนำออกไปหมดแล้ว
ใครๆ ก็รู้ว่าแผ่นดินไหวที่ปรากฏขึ้นกะทันหันเช่นนี้มีต้นกำเนิดอยู่ และใครๆ ก็รู้ถึงอันตรายในการค้นหาต้นกำเนิดของภัยพิบัตินี้ สถานการณ์นี้เวลานี้ ต่อให้หนีออกไปอย่างไม่สนใจอะไรก็ไม่แน่ว่าจะหนีพ้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเดินในเส้นทางตรงกันข้ามไปพร้อมกับผู้ลี้ภัยเลย อันตรายทั้งนั้น
ไม่มีใครเป็นคนโง่
แต่ทหารเกือบจะทั้งหมด ล้วนเลือกในสิ่งที่ ‘โง่เขลา’ ที่สุดออกมา
พวกเขาตรงไปยังสถานที่ที่อันตรายที่สุด
เว่ยเหยี่ยนมองส่งแผ่นหลังที่หายไปจากระยะสายตา ไม่พูดไม่จา
เขาหันหน้ากลับไปมองเจ้าหล่าง แต่เจ้าหล่างก็แค่ตบลงบนบ่าของเขา เดินจากไปโดยไม่พูดไม่จาเช่นกัน
เขาไม่เข้าใจ
เขาไม่ใช่คนที่รักตัวกลัวตาย
แต่การเสียสละที่ไร้ความหมายเช่นนี้ มันจำเป็นจริงหรือ
และก็เป็นหมอกเช่นนี้ ตำบลเสี่ยวหลินที่ถูกทำลายจนเรียบในครั้งนั้น กระทั่งเว่ยชวี่จี๋ไล่ตามไปด้วยตนเองก็ยังไม่ทันการ
ตอนนี้ขอบเขตขยายไปจนทั่วเขตเมืองเฟิงหลิน ยังมีใครที่มีพลังพลิกสถานการณ์ได้อีกกัน
นอกจากราชวงศ์จวงทางนั้นจะเตรียมการเอาไว้ก่อน แต่เขาในฐานะที่เป็นระดับสูงของกองทัพประจำเมือง เข้าใจเป็นอย่างนี้ว่าไม่มีการเคลื่อนไหวในด้านนี้
และเหตุผลนี้ ฟางหนวดเฟิ้มและพวกของเจ้าหล่าง ไม่มีทางไม่เข้าใจ
แต่พวกเขาทำไมยังต้องทำเรื่องที่โง่เขลาเช่นนี้ ลากทหารกองทัพประจำเมืองทั้งหมดไปตายด้วยกัน?
การรักษากำลังเอาไว้ให้มากที่สุดในสถานการณ์อับจน ไม่ใช่สิ่งที่ขุนพลควรทำหรือไร
แต่ว่าครั้งนี้ ขนาดเจ้าหล่างเองก็ยังไป
ไม่มีใครสามารถให้คำตอบกับเขาได้อีกแล้ว
เขายืนอยู่ในฐานที่มั่นกองทัพประจำเมืองที่ว่างเปล่าอยู่คนเดียว เหมือนตอนที่เขาห้าขวบ ถูกทิ้งไว้คนเดียวในป่ารกร้าง
ปีนั้นมารดาของเขาตายลงเพื่อปกป้องเขา
ศพนอนพาดอยู่เบื้องหน้าเขา
และบิดาของเขาเว่ยชวี่จี๋ เพียงแค่มองเขาด้วยสายตา จากนั้นก็พุ่งผ่านข้างตัวเขาไป
บนตัวเว่ยชวี่จี๋มีแต้มเต๋าที่มากมายไม่ขาดมือ แต่เบื้องหลังของเขาก็ทิ้งคนเอาไว้นับไม่ถ้วน
…
ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นกะทันหัน รบกวนอารมณ์ไร้มูลเหตุของเว่ยเหยี่ยน
ร่างเงาร่างหนึ่งลอยคว้างกลับมาด้วยความเร็วสูง ร่วงลงมากระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง
นั่นคือฟางหนวดเฟิ้มที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่
พอเห็นฉากนี้ เว่ยเหยี่ยนก็เข้าใจขึ้นมาในพริบตา
ภัยพิบัติที่ปกคลุมเขตเมืองเฟิงหลินครั้งนี้ แผ่นดินไหวเป็นเพียงแค่ก้าวแรก
ขั้วอำนาจที่หลบซ่อนมานานหลายปี ไม่สิ ตอนนี้พูดได้แล้วว่าเป็นสำนักกระดูกขาว
สำนักกระดูกขาวมีองค์กรที่จัดการด้านแผนร้ายลอบสังหารเมืองเฟิงหลินอยู่ เจตนาชัดเจนมาก นั่นคือต้องการทำให้ความสามารถในการช่วยเหลือตนเองของเขตเมืองเฟิงหลินกลายเป็นอัมพาตไป
และการที่ผู้แข็งแกร่งระดับมังกรทะยานขั้นสูงสุดอย่างฟางหนวดเฟิ้มถูกเล่นงานจนเป็นเช่นนี้ ฝั่งตรงข้ามต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
“ให้ตายเถอะ!” ฟางหนวดเฟิ้มพลิกตัวกระโจนขึ้น ในปากยังคงกระอักเลือด แต่กลับพุ่งเข้าไปอีกครั้งอย่างไม่ลังเล “เจ้าพวกวิถีชั่วร้าย จงตายเสียเถอะ!”
ร่างเงาในชุดคลุมเต๋าสีดำสวมหน้ากากนักษัตรสามคนปรากฏตัวขึ้น ต่างฝ่ายต่างใช้วิชาเข้าล้อมโจมตีฟางหนวดเฟิ้ม
และกลิ่นอายของพวกเขา…เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมังกรทะยานขั้นสูงสุดทั้งสามคน!
ฉึก!
แสงทองดุจอัสนีฟาดผ่าน เว่ยเหยี่ยนกุมกระบี่ฟันออกไป
คนชุดดำสามคนแยกจากกันในพริบตา มุมเสื้อที่ถูกเฉือนออกชิ้นหนึ่งลอยร่วงลงมา
แม้จะแค่เฉือนชุดคลุมสีดำออกไปได้ แต่ก็ทำลายรูปขบวนของสามคนนี้ลงเรียบร้อย
“รนหาที่ตาย!” หนึ่งในคนชุดดำที่สวมหน้ากากลายกระดูกงูหันไปทางเว่ยเหยี่ยน ฟังแล้วเป็นเสียงผู้หญิง
เสียงของนางแหลมคม มือใหญ่กางออก ฝ่ามือมีงูเลือดสกปรกนับไม่ถ้วนพุ่งกัดไปทางเว่ยเหยี่ยน
ในกลุ่มงูเลือด มีงูสีเงินปรากฏขึ้น
หยาดฟ้าทะลวงลาดตระเวน ราวหยาดฟ้าอัสนีสีเงิน แหวกผ่างูเลือดที่โจมตีเข้ามา
คนชุดดำหน้ากากกระดูกหนูที่เป็นหัวหน้า เข้าปะทะกับฟางหนวดเฟิ้มที่บาดเจ็บหนัก เอ่ยขึ้นว่า “เจ้านี่ข้าจัดการเอง สิบเอ็ด เจ้าไปช่วยงูจัดการเขาให้ไวที่สุด”
คนสวมหน้ากากกระดูกสุนัขไม่พูดพล่ามทำเพลง หันกลับกระโจนทันที ด้านหลังของเขา มีวิญญาณสุนัขร้ายมากมายหลั่งทะลักออกมา
โฮ่งๆๆ!
แฮ่ๆๆ!
แยกเขี้ยววาดกรงเล็บ พุ่งฉีกทึ้งไปทางเว่ยเหยี่ยน
กำแพงหินผืนหนึ่งเข้ามาขวางเบื้องหน้ากระดูกสุนัขอย่างไร้ซุ่มไร้เสียง
เป็นเจ้าหล่างที่ได้ยินการเคลื่อนไหว แล้วรีบพุ่งกลับมาอันดับแรกนั่นเอง
พริบตาที่เขาแตะพื้น ปางมือประกบเสร็จสิ้น สายลมปรากฏขึ้นทันควัน เปลวไฟลุกโชน
ลมพายุบ้าคลั่ง แผดเผาจนกลายเป็นทะเลเพลิง
“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า!” รองขุนพลเจ้าเอ่ยขึ้นเช่นนี้
……………………………………….