ตอนที่เจียงวั่งเห็นโครงกระดูกเด็กน้อย ในพริบตาที่อารมณ์เดือดดาล
ฟิ้ว!
เสียงลมแหลมคมตรงเข้ามาอย่างกะทันหัน
เจียงวั่งบิดข้อมือ ตั้งกระบี่พร้อมฝักไว้ที่แผ่นหลังในจังหวะที่ไม่น่าเป็นไปได้ สกัดวัตถุแหลมคมที่พุ่งเข้ามาได้พอดี เกิดเป็นเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นมา
เจียงวั่งหันกายกลับพร้อมชักกระบี่ ในอึดใจเดียวก็เหลือบเห็นแล้วว่าวัตถุที่โจมตีเข้ามาคือกระดูกนิ้วชิ้นหนึ่ง เขาไม่มีเวลาครุ่นคิด ร่างกายหมุนกลับตามสัญชาตญาณอีกครั้ง
โครงกระดูกของเด็กหญิงบนเตียงกระโจนขึ้นกลางอากาศ หัวกะโหลกอ้าปากกว้าง พุ่งเข้ามาจะกัดเจียงวั่ง!
เจียงวั่งไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาใช้เท้ายันโครงกระดูกกลับไปที่เดิม จากนั้นกระบี่ยาวก็บิดหมุนหลายครั้ง ในชั่วพริบตานี้ราวกับมีอัสนีสีม่วงสายหนึ่งวิ่งวนในห้องมืด โครงกระดูกเด็กน้อยถูกฟันตามข้อต่อ จากนั้นร่วงลงบนเตียงนอนตามเดิม ราวกับว่าไม่เคยขยับเขยื้อนมาก่อน
“ฮี่ๆๆๆ นักพรตน้อย ข้าสังหารเด็กผู้หญิงคนนี้ไป ท่าทางเจ้าจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย ทว่าสิ่งสุดท้ายที่นางเหลือไว้ กลับถูกเจ้าทำลายทิ้งด้วยมือเจ้าเอง”
เสียงแหลมเสียดหูซ้ำยังไม่ชัดเจนไม่รู้ดังมาจากที่ไหน
วิชาอำพรางตาที่สามารถปกปิดร่องรอยได้เช่นนี้ไม่ใช่ธรรมดา อธิบายได้ว่าศัตรูที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดวางแผนไว้ก่อนแล้ว
เจียงวั่งยังสร้างรากฐานไม่สำเร็จ ประสาทสัมผัสทั้งห้ายังไม่เปิดออก ยังไม่อาจทำลายวิชาอำพรางตาได้ในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ลนลาน จากความเข้าใจที่เรียนมาในสำนักเต๋า ตอนนี้เขาพิจารณาได้สองจุด หนึ่งคือระดับของศัตรูไม่สูงมากนัก เหตุผลนั้นง่ายมาก ถ้าหากเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูงเช่นนั้นจริง ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิชาอำพรางตา กระทั่งสังหารเขาทิ้งตั้งแต่แรกก็ยังได้
จุดนี้เชื่อมไปยังข้อวินิจฉัยที่สอง จากข้อจำกัดด้านพลังของศัตรู ระดับของวิชาพรางตาก็คงไม่ได้สูงมากนัก ทันทีที่ฝ่ายตรงข้ามโจมตีหรือถูกโจมตี กระทั่งแค่ขยับตัว วิชาก็จะสลายด้วยตัวเอง เบาะแสที่สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้ก็คือ ก่อนหน้านี้การโจมตีครั้งแรกของศัตรูทำเพียงควบคุมโครงกระดูก ไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง
“คนที่สังหารนางคือเจ้า คนที่ทำลายกระดูกนางก็คือเจ้า วิถีชั่วร้ายนอกรีต สั่นคลอนจิตใจข้าไม่ได้หรอก!”
เจียงวั่งเดินตามรอยกระบี่ เพียงครู่เดียวก็เดินจนทั่วห้องเล็กๆ นี้ แสงกระบี่แทบจะส่องห้องนี้จนสว่าง!
กระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพา ท่าสังหารกระบวนที่หนึ่ง!
ในพริบตาที่แสงสว่างจ้าทั้งห้อง แสงกระบี่ทั้งหมดถูกรวมไว้ด้วยกัน เจียงวั่งยื่นมือเหมือนคว้าแสงกระบี่นี้ไว้ จากนั้นฟาดฟันออกไป!
ไม่รู้ประตูห้องใกล้ๆ กันแตกออกดังสนั่นตั้งแต่เมื่อไร
จางหลินชวนยืนอยู่นอกประตู ในมือมีแสงอัสนีรางๆ
“เมื่อครู่โครงกระดูกสองร่างด้านนอกถูกควบคุม ข้าทำลายไปแล้ว ทางนี้เป็นอย่างไรบ้าง” เขาถาม
“ข้าก็ถูกโจมตีเหมือนกัน ข้าทำลายวิชาพรางตาของมันไม่ได้ แต่กระบี่ของข้าก็ยังทำมันบาดเจ็บ!” เจียงวั่งเขย่ากระบี่ยาวในมือ เลือดสดหยดหนึ่งหยดลงมาจากปลายกระบี่
จางหลินชวนยื่นมือไปรับเลือดหยดนี้ หยดเลือดลอยอยู่กลางฝ่ามือเขา “มีเจ้านี่อยู่ ก็ไล่ตามร่องรอยของมารได้ไม่ยากแล้ว”
สีหน้าของเขาเผยแววชื่นชมออกมา “ศิษย์น้องเจียง คราวนี้เจ้าได้คุณงามความดีครั้งใหญ่เลย”
เจียงวั่งกวาดตาไปรอบด้าน แต่มองไม่เห็นรอยเลือดอื่นๆ อีก “ศิษย์พี่จาง มารร้ายอาจยังไม่หนีไปไหน”
จางหลินชวนพลิกฝ่ามือเก็บหยดเลือดไป ก่อนจะหลับตาสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายศีรษะบอกว่า “ไม่มีร่องรอยแล้ว”
แทบจะทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ปราณศพที่อัดแน่นอยู่ในเขตบ้านก็สลายหายไปในพริบตา
“ไปเถอะ” จางหลินชวนเก็บหยดเลือด “ที่นี่ไม่มีเบาะแสที่มีประโยชน์แล้ว ส่งหยดเลือดนี้ให้รองเจ้าสำนัก เขาชำนาญวิชาทำนายหกลักษณ์ ต้องค้นหาเจ้ามารนั่นเจอแน่”
การเดินทางครั้งนี้กระเทือนจิตใจของเจียงวั่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โจรภูเขาชั่วเหล่านั้นแม้จะถือว่าชั่วช้าสามานย์เช่นกัน แต่พอเทียบกับมารที่สังหารเรียบทั้งครอบครัวซ้ำยังสามารถควบคุมศพคนที่ตายไปแล้วได้ แน่นอนว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
เขาได้รู้จักด้านที่โหดร้ายอำมหิตของโลกการฝึกบำเพ็ญ พลังเหนือมนุษย์ก็อาจนำมาซึ่งความเหี้ยมโหดเหนือธรรมดาได้
เจียงวั่งอยากหันกลับไปมองโครงกระดูกเด็กหญิงคนนั้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่กล้า
ตอนนี้เอง จางหลินชวนเอ่ยขึ้นว่า “คนของกรมอาญาตรวจสอบไปรอบหนึ่งยังไม่มีอะไรคืบหน้า แต่พอพวกเรามากลับเจอการโจมตีของมาร เรื่องนี้มีเงื่อนงำอยู่”
“ศิษย์พี่หมายความว่า…”
“หึๆ” จางหลินชวนหัวเราะเสียงเย็น
หลังฝากตัวเข้าสำนักสายใน เจียงวั่งมุ่งแต่จะฝึกฝน ไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างต่งเออกับเว่ยชวี่จี๋ แต่จางหลินชวนกลับชี้ให้เห็นความเป็นไปได้นี้
น่าเสียดายที่เขายังไม่มีอำนาจจะปฏิเสธ
“วิชากระบี่ของศิษย์น้องเจียงไม่ธรรมดา ไม่ใช่พวกวิชาตื้นเขินที่สำนักเต๋ารวบรวมไว้แน่นอน” จางหลินชวนเอ่ยอย่างปลงอนิจจังเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
เจียงวั่งตอบกลับ “ถ้าพูดถึงวิชาเต๋าระหว่างเราแล้ว วิชากระบี่เป็นเพียงศาสตร์เล็กๆ วิชาอัสนีของศิษย์พี่ต่างหากถึงน่าตกตะลึง”
เวลานี้โครงกระดูกในห้องโถงและในลานบ้านทั้งสองร่างหายไปแล้ว เหลือเพียงขี้เถ้าชั้นหนึ่งตกอยู่ตรงตำแหน่งเดิม เจียงวั่งแทบจะจินตนาการฉากนั้นออกมาได้ โครงกระดูกทั้งสองเพิ่งถูกควบคุม ยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวก็ถูกวิชาอัสนีทำลายไปแล้ว
“ศิษย์น้องเจียงถ่อมตัวเกินไปแล้ว อันที่จริงกระบี่วิชาเต๋าของข้าไม่เป็นสองรองใคร น่าเสียดายที่สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินของพวกเราไม่มีวิชาทางด้านนี้ ทั้งรัฐจวงน่าจะมีแค่สำนักเต๋าของรัฐเท่านั้นจึงจะมีอยู่” จางหลินชวนทอดถอนใจไม่ขาด
วิชาเต๋าก็มีศาสตร์วิชาที่ใช้ยุทธ์ผสานเต๋าเช่นกัน ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ไม่ได้แพ้การฝึกกระบี่โดยทั่วไปเลย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สายหลัก สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินไม่มียอดฝีมือที่จะชี้แนะการฝึกด้านนี้ได้
ความจริงยามนี้เจียงวั่งไม่มีอารมณ์พูดคุยแม้แต่นิด แต่จะไม่สนใจจางหลิวชวนก็ไม่ได้ จึงกล่าวชมไปตามปาก “ด้วยพรสวรรค์ของศิษย์พี่ การเข้าสำนักเต๋าระดับรัฐเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น”
“จริงด้วย เป็นเรื่องของเวลาสินะ” จางหลินชวนพลันถอนหายใจ ยืนอยู่ในลานบ้านพลางมองทอดไกลออกไปทางทิศของเทือกเขาฉีชาง “แต่ช้ากับเร็วอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมือนกัน บ่อยครั้งก็รู้สึกว่ามีมีดเล่มหนึ่งแทงอยู่ด้านหลังข้า ทุกชั่วขณะเวลาเร่งรีบบีบคั้น”
คุณชายรักสะอาดที่พร้อมทั้งศักยภาพและพรสวรรค์เช่นนี้ ความกังวลในน้ำเสียงเขากลับจริงเสียยิ่งกว่าจริง
เจียงวั่งเงียบงัน EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq และไปยังสถานที่ที่เขาควรไปให้เร็วกว่านี้
ทุกชั่วขณะเวลาเร่งรีบบีบคั้น
“ข้ามเทือกเขานั้นไปก็จะเป็นรัฐยง” จางหลินชวนเอ่ยขึ้น “ถ้าหากมารร้ายหนีเข้าไปในเขตของรัฐยง พวกเราก็จะตามจับมันไม่ได้อีก”
เจียงวั่งย่อมรู้ว่าทำไมเขาจึงพูดเช่นนี้
รัฐจวงสถาปนามาแล้วสามร้อยกว่าปี จวงเฉิงเฉียนบรรพชนผู้ก่อตั้งรัฐในอดีต เดิมทีเป็นแม่ทัพใหญ่ของรัฐยง นำทหารพิชิตพื้นที่นับพันลี้ ถือโอกาสที่สามราชาของรัฐยงกำลังช่วงชิงตำแหน่ง จัดการแบ่งแยกดินแดนแล้วสถาปนารัฐขึ้นมา จากนั้นก็เชื่อมแนวขวางประสานแนวดิ่ง[1] ตั้งสำนักเต๋าขึ้นเป็นลัทธิแห่งรัฐ และใช้โอกาสนี้อาศัยบารมีของรัฐมหาอำนาจใต้หล้าที่มีชีพจรเต๋าเช่นเดียวกันอย่างรัฐจิ่ง เช่นนี้จึงลงหลักปักฐานอย่างมั่นคง สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ก็เพราะประวัติศาสตร์ส่วนนี้ จึงทำให้จวงกับยงสองรัฐไม่ลงรอยกัน
ศัตรูของรัฐจวงอาจจะถูกต้อนรับอย่างดีในรัฐยงก็เป็นได้
เจียงวั่งไม่พูดอะไรกับเรื่องนี้ เพียงแค่เดินตามจางหลินชวนออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ
ถังตุนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรีบตรงเข้ามาหา ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง “เป็นอย่างไรบ้าง มารถูกกำจัดแล้วหรือยัง”
เขาเพิ่งได้ยินความเคลื่อนไหวจากด้านนอก รู้ว่าข้างในเกิดการต่อสู้ขึ้น
“ได้เบาะแสแล้ว” เจียงวั่งตอบ เขาหันไปมองจางหลินชวน “ศิษย์พี่ให้ข้ายืมเงินหน่อยได้หรือไม่”
จางหลินชวนไม่ถามเหตุผล โยนถุงเงินใบหนึ่งไปให้
เจียงวั่งลองชั่งน้ำหนักดู ก่อนจะหยิบก้อนเงินปลีก[2]ที่เล็กที่สุดในนั้นออกมา…เดิมทีเขาคิดจะหยิบเหรียญมีดส่วนหนึ่ง แต่ในกระเป๋าเงินของจางหลินชวนมีแต่เงินกับทอง
เจียงวั่งยื่นก้อนเงินปลีกส่งให้กับถังตุนมือปราบประจำตำบล “ด้านในมีโครงกระดูกเด็กผู้หญิงอยู่ รบกวนเจ้าใช้เงินนี่ซื้อโลงศพแล้วฝังนางที ในบ้านยังมีเถ้ากระดูกอยู่อีกสองกอง เป็นบิดามารดาของนาง จัดการฝังไว้ด้วยกันเถิด”
ใบหน้าหยาบกร้านของถังตุนโศกเศร้ายิ่งนัก แต่ก็ผลักมือของเจียงวั่งออกอย่างหนักแน่น “ตูข้าจะจัดการงานศพให้พวกเขาเอง ตูข้ารับเงินของท่านไม่ได้หรอก”
“เอาไปเถิด” เจียงวั่งยัดก้อนเงินปลีกใส่ในมือของเขา “ถือว่าทำให้ข้าสบายใจแล้วกัน”
ชุดมือปราบบนตัวถังตุนมีร่องรอยการเย็บปะ เห็นได้ว่าฐานะการเงินไม่ค่อยดี จากที่ถูกส่งตัวมาดูแลเขากับจางหลินชวนก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีนัก แสดงว่าคนผู้นี้เป็นบุคคลชายขอบที่ไม่ได้รับความสำคัญในส่วนราชการ
เขาเลี่ยงไม่ได้ ทำได้เพียงกุมมือเจียงวั่งไว้แน่น “ตูข้าขอขอบคุณแทนนิวเอ๋อร์ด้วย!”
ที่แท้นางก็ชื่อว่านิวเอ๋อร์
ภาพวาดที่แขวนอยู่บนกำแพงราวกับปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขาอีกครั้ง นางเคยอยากอยู่ในฤดูใบไม้ผลิอย่างไร้เดียงสา ทว่าชีวิตของนางจะไม่ได้เบ่งบานอีกต่อไปแล้ว
นิวเอ๋อร์ นิวเอ๋อร์
ในใจเจียงวั่งเรียกชื่อนี้อยู่หลายครั้ง ราวกับผูกความรับผิดชอบบางอย่างเอาไว้กับจิตใจที่ผดุงธรรม
……………………………………….
[1]เชื่อมแนวขวางประสานแนวดิ่ง ในสมัยจ้านกั๋ว เชื่อมแนวขวางเป็นแนวคิดที่เสนอให้รัฐฉินเข้าโจมตีพันธมิตร 6 รัฐอื่นๆ ส่วนประสานแนวดิ่ง เป็นแนวคิดที่รัฐเล็ก 6 รัฐร่วมมือกันต่อต้านรัฐฉินที่แข็งแกร่งกว่า
[2] ก้อนเงินปลีก เป็นเงินสมัยโบราณชนิดที่เป็นชิ้นส่วนหรือเศษเงิน โดยหั่นแบ่งจากเงินก้อนใหญ่ มูลค่า น้ำหนัก และขนาดของแต่ละก้อนจะต่างกัน จึงใช้งานค่อนข้างยาก