ชีพจรเต๋าคือพื้นฐานของการฝึกบำเพ็ญ
‘เต๋า’ คำนี้ ไม่ใช่คำว่าเต๋าจากสำนักเต๋า แต่เป็นเต๋าจากมหามรรคา ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนของพุทธ เต๋า หรู (ลัทธิขงจื๊อ) ลัทธิโม่เจ้าพิชัยยุทธ์ (ลัทธิม่อจื๊อ) หรือว่าสายใดก็ตาม ล้วนต้องฝึกฝนชีพจรเต๋าเป็นอันดับแรก
ในยุคโบราณ สิ่งที่เรียกกันว่าต้นกล้าผู้ฝึกตนก็คือบุคคลที่ชีพจรเต๋าแสดงชัดแต่กำเนิด แต่มนุษย์ไม่ยอมให้พรสวรรค์มากำหนดทั้งชีวิต ลูกกลอนเปิดชีพจรจึงเป็นหนึ่งในวิธีแก้ปัญหาเรื่องพรสวรรค์ด้านการฝึกบำเพ็ญ
อาศัยพลังของโอสถทำให้ชีพจรเต๋าปรากฏขึ้นในร่าง ทั้งยังสามารถมอบพลังชีวิตในฟ้าดินหล่อเลี้ยงร่างกาย เลือดลมเพิ่มพูน ก่อกำเนิดเป็นรากพลังเต๋า และก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกบำเพ็ญ
จะว่าไปแล้ว ถ้าเทียบกับข้าวของที่ถูกระเบิดเสียหายไปพวกนั้นของจั่วกวงเลี่ย ลูกกลอนเปิดชีพจรน่าจะนับไม่ได้ว่าล้ำค่าอะไร
แต่สำหรับขอทานที่ตกระกำลำบากผู้นี้ นี่คือกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะเปิดขุมสมบัติในร่างมนุษย์ออก
ในบรรดาเรื่องที่ยากเข็ญทั้งหลาย ความตายนั้นยากที่สุด ยามชีวิตสิ้นหวังขอฟ้าจงประทานพร!
ตอนนี้ ขอทานคว้ากุญแจแห่งความหวังของเขาเอาไว้แล้ว
เขาเชื่อมั่นศรัทธาเช่นนี้เอง
เขาใช้สองมือที่สั่นเทาประคองขวดหยก ใช้ริมฝีปากสั่นระริกแตะไปที่ปากขวด ก่อนเงยหน้ากระดกกินลงไป!
ด้านข้างคืออารามเต๋าทรุดโทรมที่เงียบสงัด ไกลออกไปคือซากศพของพวกขอทาน ข้างกายคือกระดูกและเนื้อที่แหลกละเอียด
เวลานี้แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่อง ขอบฟ้ากระจ่างใส ซากศพเกลื่อนกลาด ณ ป่ารกร้าง ส่วนขอทานกำลังกลืนโอสถ
ลูกกลอนเปิดชีพจรกลิ้งไปยังปลายลิ้น แปรเปลี่ยนเป็นกระแสธารอุ่นไหลลงมาตามลำคอ แล้วกระจายไปทั่วสรรพางค์กาย
ขอทานหลับตาลงเล็กน้อย ในชั่วเวลานี้มีภาพร้อยพันปรากฏขึ้นในหัว
ฤดูร้อนฤดูหนาวตั้งใจฝึกฝน ฤดูใบไม้ผลิฤดูใบไม้ร่วงฝึกกระบี่
ตามกวาดล้างโจรชั่ว สังหารโจรป่าเหี้ยมโหด
จนสุดท้ายเขาเดินกลับลงมาจากเขาทางตะวันตกที่ซ่องสุมกลุ่มโจรป่าเพียงคนเดียวพร้อมด้วยกระบี่เล่มเดียว ทั่วทั้งร่างอาบย้อมไปด้วยเลือด
เช่นนี้ถึงจะแลกลูกกลอนเปิดชีพจรเม็ดหนึ่งมาได้
เขาใช้เวลาตั้งกี่ปีถึงจะได้เข้าใกล้โลกแห่งการฝึกบำเพ็ญ
เขาทุ่มเทสุดกำลัง ดิ้นรนพัฒนาตัวเองอยู่ทุกชั่วขณะ เขาเดินมาถึงก้าวนี้ได้อย่างไรกัน
มารดาจากไปเร็ว ภายหลังบิดาที่ป่วยหนักจากไปก็แทบจะใช้ทรัพย์สมบัติที่เหลืออยู่เพียงนิดจนหมดสิ้น
เขาตัวคนเดียว บากบั่นฝ่าฝันด้วยตัวเอง
จากการเลือกเฟ้นสอบแข่งขันเข้าสำนักเต๋า โดดเด่นเป็นหนึ่งในสำนักสายนอกที่มีการแข่งขันดุเดือด ในที่สุดเขาก็คว้ากุญแจที่จะข้ามผ่านมนุษย์สามัญได้เป็นครั้งแรก
แต่สิ่งที่ตามมาติดๆ กันหลังจากนั้น…คือการวางยาพิษ ล้อมสังหาร
เขาฝ่าวงล้อมหนีออกมาสุดชีวิต แฝงตัวไปในกลุ่มขอทานเพื่อที่จะหลบหลีกการค้นหา
เดิมทีคิดจะรอโอกาส แต่ร่างกายกลับไม่อาจยืนหยัดได้แล้ว
เขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็ทำได้เพียงนอนบนกองฟางข้าวอย่างไร้ความหวัง รอคอยความตายอย่างเงียบงัน
เขาลากสังขารป่วยหนักดิ้นรนมาค้นสนามรบ ก็เพียงเพราะใจที่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะเก็บลูกกลอนเปิดชีพจรได้เม็ดหนึ่ง!
ผู้แข็งแกร่งระดับจั่วกวงเลี่ย ไยจึงพกลูกกลอนเปิดชีพจรเม็ดหนึ่งไว้ เหตุผลนี้ได้ปิดฉากลงไปพร้อมกับตำนานของเขาแล้ว ไม่มีใครได้รู้อีกต่อไป
แต่เรื่องของขอทานกลับเริ่มบทใหม่ขึ้นนับจากนี้
ชะตาชีวิตยากจะคาดเดา ไม่มีอะไรเกินไปกว่านี้แล้ว
ขอทานดึงสมาธิกลับมา สัมผัสการเปลี่ยนแปลงที่ยากจะบรรยายในร่างกาย
เขาสัมผัสได้ถึงพลังอบอุ่นที่แผ่กระจายไปทุกๆ ส่วนในร่าง และกำลังใช้วิธีบางอย่างที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ ‘แหวกว่าย’ ไปทั่ว สุดท้ายก็ไปรวมอยู่ที่กระดูกสันหลัง
ขั้นตอนนี้ช้าเนิบแต่ว่าแจ่มชัด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร มีพลังอ่อนแรงไล่ขึ้นมาจากกระดูกก้นกบ แล้ววิ่งขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง ความรู้สึกนี้เหมือนมีไส้เดือนตัวหนึ่งว่ายทวนแม่น้ำขึ้นมา
ขั้นตอนนี้ยากลำบากนัก แต่พลังอบอุ่นที่ส่งมาจากทุกส่วนของร่างกายสนับสนุนมันไม่หยุด…‘ไส้เดือนตัวน้อย’ ว่ายผ่านเส้นทางอันยาวไกล ทะลวงผ่านเส้นไขสันหลัง พุ่งไปยังกลางกระหม่อมจนได้!
ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้ว
เขาเหมือนมองเห็นแสงสว่างในร่างกายตัวเอง
ความอบอุ่นแผ่กระจายมาจากทั่วทุกมุมของแขนขา กระดูก และกายเนื้อ
เขาไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไป ไม่รู้สึกอ่อนแรงไร้กำลังอีก ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกแล้ว
เมื่อชีพจรเต๋าปรากฏ พลังชีวิตบำรุงเลี้ยง
ขอทานลืมตาทั้งสองข้างขึ้น แววตาเป็นประกายมีพลัง
เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลัง ในที่สุดเขาก็ควบคุมชะตาชีวิตได้อีกครั้ง!
ชีพจรเต๋าของเขาปรากฏขึ้นแล้ว ถึงแม้วิญญาณแท้ชีพจรเต๋าจะเป็นเพียงไส้เดือนดินตัวเล็กๆ ระดับต่ำสุด แต่ก็หมายถึงว่าเขาก้าวสู่เส้นทางเหนือมนุษย์อย่างเป็นทางการแล้ว
เหาะเหินเดินอากาศดำดิน เข้าออกโลกเซียน เป็นความฝันที่ไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป!
สักวันหนึ่ง กงหยางไป๋ โม่จิงอวี่ ไปจนกระทั่งจั่วกวงเลี่ยและหลี่อี…เรื่องที่บุคคลยิ่งใหญ่ชื่อเสียงก้องไกลเหล่านี้ทำได้ เขาก็ทำได้เหมือนกัน!
……
ขอทานลุกยืนขึ้นมา มองกองเศษเนื้อที่เท้ากองนี้
คนเป็นมองความตาย จุดเริ่มต้นปิดฉากลงต่อเนื่อง
เขาฝังศพจั่วกวงเลี่ยและขอทานเหล่านั้นไว้นอกอารามเต๋าทรุดโทรม แม้ว่าชีพจรเต๋าของเขาจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังในยามแรกที่ปรากฏ แต่ก็ใช้เวลาจวบจนจันทร์ขึ้นสูงกลางฟ้าถึงจะเสร็จสิ้น
นี่เป็นเรื่องที่อาจจะดูเล็กน้อยไร้ประโยชน์ ทว่าเป็นหลักคุณธรรมที่เขาต้องปฏิบัติ
แม้ว่าขอทานเหล่านั้นเลือกที่จะทอดทิ้งเขาตอนอันตรายมาเยือน แต่ในวันเวลาที่เขากำลังจะตายก็ไม่ได้ทิ้งเขาไว้ในป่าร้าง แม้จะไม่สามารถเชิญหมอซื้อยามาให้ได้ แต่อย่างน้อยก็ให้น้ำเขาดื่ม
ลำพังแค่เรื่องเหล่านี้ ภายใต้สถานการณ์ที่มีกำลังทำได้ ก็ควรจะฝังพวกเขาคืนสู่ดินเพื่อความสงบนิรันดร์ จะได้ไม่ต้องชาตินี้ทุกข์ยาก ชาติหน้ายังไร้ที่พึ่งอีก
ผู้คนเชื่อกันว่าฝังคืนสู่ดินจึงจะสงบสุข อยู่ในอ้อมกอดของผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลทั้งยังเปี่ยมด้วยเมตตา วิญญาณที่ตายไปถึงจะไปสู่สุคติ
สุดท้ายขอทานมายืนตรงหน้าหลุมศพของจั่วกวงเลี่ย
“ผู้ที่ฝังท่านมิใช่ผู้ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม เมืองเฟิงหลิน เขตปกครองชิงเหอ รัฐจวง…” ใต้แสงจันทร์ ขอทานยืนอยู่หน้าหลุมศพเล็กๆ ร่างกายสกปรก มือเลอะดินโคลน แต่กลับพูดชื่อของตัวเองออกมาด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย สุขุมเป็นอย่างยิ่ง “นามเจียงวั่ง”
ลูกพยัคฆ์ยังไม่เติบใหญ่ ใจกลับห้าวหาญพร้อมสังหารโค
“ท่านก็ไม่ได้ตายในสถานที่ไร้ชื่อ ที่นี่ชื่อว่าอารามหวนสัจจะ แม้ซากป้ายตัวอักษรจะรางเลือน และก็ไม่ได้มีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่ผู้คนจะต้องรู้จักเพราะท่านแน่!”
พูดเรื่องเหล่านี้จบ เจียงวั่งก็โค้งกายคารวะอย่างจริงจัง “ขอวิญญาณท่านจงไปสู่สุคติ”
การโค้งคารวะนี้ ไม่ใช่แค่เพราะลูกกลอนเปิดชีพจรที่จั่วกวงเลี่ยทิ้งเอาไว้เท่านั้น แต่ยิ่งเป็นเพราะความเห็นอกเห็นใจ ความใจกว้าง และความห้าวหาญองอาจที่อีกฝ่ายแสดงออกมา
บุคคลระดับจั่วกวงเลี่ยควรค่าที่จะเคารพในทุกๆ ทาง
คืนนี้เป็นคืนจันทร์เพ็ญพอดี แสงจันทร์ขาวนวลสาดส่องหลุมศพใหม่
คลับคล้ายว่ามีลมเอื่อยๆ กลุ่มหนึ่งพัดโชยมา
เจียงวั่งมองเห็นว่ามีแสงสีเงินหลายจุดลอยออกมาจากหลุมศพของจั่วกวงเลี่ย ลอยขึ้นมาท่ามกลางแสงจันทร์ ก่อนรวมกลุ่มกันเป็นจันทร์เสี้ยวสีเงินดวงน้อยๆ มันลอยอยู่เหนือหลุมศพในจุดที่เจียงวั่งแค่เอื้อมมือก็สัมผัสได้ ทำให้ดูทั้งลึกลับและสูงส่ง
“นี่มัน…”
เจียงวั่งคว้าโอกาสยามโชคมาเยือน
เขายื่นมืออกไป คว้าจันทร์เสี้ยวสีเงินดวงนี้เอาไว้
เบื้องหน้าพลันมืดมิด
ในความมืดมิดเวิ้งว้างไร้ขอบเขต มีเสียงที่อบอุ่นเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เสียงนี้เหมือนแฝงไว้ด้วยสัจธรรมแห่งฟ้าดิน ความลี้ลับอัศจรรย์แห่งมหามรรคา เมื่อได้ยินแล้วทำให้จิตใจสงบแจ่มใส
“ขอต้อนรับนายแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แดนร้างกระจ่างสัจจะ!”
เสี้ยวขณะต่อมา แสงสว่างจุดหนึ่งปรากฏขึ้น จุดแสงนับไม่ถ้วนก็ปรากฏตาม
แสงนับไม่ถ้วนบดบังครรลองสายตาของเขา เมื่อการมองเห็นของเจียงวั่งคืนกลับมาอีกครั้ง ในความมืดมิดเบื้องหน้า เขามองเห็นแม่น้ำดาราพร่างพรายสายหนึ่งกำลังทะลักท่วม!
และตรงหน้าแม่น้ำดารามีคนหนุ่มคนหนึ่งลอยอยู่
คนหนุ่มคนนี้ดวงตากระจ่างสุกใส จมูกโด่งคมสัน สีหน้าอ่อนโยนจนเหมือนไม่มีพิษภัยใดๆ มีเพียงริมฝีปากซึ่งเม้มเล็กน้อยที่แสดงความดื้อรั้นออกมาให้เห็นรางๆ บนร่างนอกจากชุดนักพรตเต๋าที่มองวัสดุไม่ออก ก็ไม่มีเครื่องประดับอื่นใดอีก
เจียงวั่งอึ้งตะลึง เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ก็คือตัวเขาเอง แม้เสื้อผ้าจะแตกต่าง และก็สะอาดเกลี้ยงเกลากว่าเขาในตอนนี้มาก แต่เขาจะจำตัวเองผิดไปได้อย่างไร
อีกทั้งเขากำลัง ‘มอง’ ตัวเองในคำจำกัดความแบบนามธรรม ด้วยมุมมองที่ตนไม่สามารถเข้าใจได้ในตอนนี้
“รากพลังเต๋าที่ส่งกลับมาไม่เพียงพอ ผนึกเวทีแสดงเต๋าชั้นสิบเก้า”
เสียงอบอุ่นอ่อนโยนดังขึ้นกลางห้วงดารากว้างใหญ่อีกครั้ง
“ผนึกเวทีแสดงเต๋าชั้นสิบแปด”
……
“ผนึกเวทีแสดงเต๋าชั้นสอง”
ทุกครั้งที่ประโยคนี้ดังขึ้นมา แม่น้ำดาราเบื้องหน้าจะหม่นแสงลงหนึ่งส่วน
เจียงวั่งพยายามทำความเข้าใจทุกสิ่งที่สังเกตเห็น ต่อมาก็ได้ยินอีกว่า
“ผนึกเวทีเสวนากระบี่ระดับสาม”
“ผนึกเวทีเสวนากระบี่ระดับสี่”
กล่าวเหมือนกับก่อนหน้านี้ต่อเนื่องไปจนถึง ‘ผนึกเวทีเสวนากระบี่ระดับแปด’ ถึงได้หยุดลง
เจียงวั่งไม่เข้าใจความหมายในนั้น แต่คิดแล้วน่าจะเกี่ยวกับที่พลังแท้จริงของเขาต่ำ ‘นายแห่งแดนร้างกระจ่างสัจจะ’ ที่ว่าน่าจะเป็นจั่วกวงเลี่ยไม่ใช่เขา
ในขณะเดียวกัน เขาก็สังเกตเห็นว่าในขอบเขตสายตามีตัวอักษรที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนแถวหนึ่งปรากฏขึ้น
ตัวอักษรนี้แตกต่างไปจากอักษรรัฐจวงที่เขาร่ำเรียนมาโดยสิ้นเชิง สำหรับเขาแล้วไม่คุ้นเอาเสียเลย แต่เขากลับรู้ความหมายของตัวอักษรเหล่านี้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง
“แต้ม: หนึ่งพันแปดร้อยห้าสิบแต้ม”
ในขณะที่เจียงวั่งกำลังขบคิด ตัวเขาคนนั้นที่เขา ‘มองเห็น’ พลันเดินมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขา
ขั้นตอนนี้สั้นจนแทบจะละไว้ได้ เจียงวั่งขยับแขนขาเล็กน้อย ทำได้ดั่งใจทุกประการ ในโลกลึกลับใบนี้ ในที่สุดเขาก็มีร่างจริงในนิยามบางอย่างเสียที
และในชั่วเวลาต่อมา ดวงดาราในท้องฟ้าอันเวิ้งว้างก็พลันม้วนตัว แม่น้ำดาราพร่างพรายทั้งสายโหมทะลักมาหาเขา!
เขาจมอยู่กลางแม่น้ำดารา
เวลาเหมือนหยุดนิ่งไป ยามที่เจียงวั่งได้สติกลับมาก็มาอยู่ในมิติที่มีไอเซียนอบอวลแห่งหนึ่งแล้ว ในหัวมีข้อมูลมากมายหลั่งไหลเข้ามาพร้อมกัน
ที่นี่คือโลกของมิติมายาห้วงจักรวาล แดนศักดิ์สิทธิ์แดนร้างกระจ่างสัจจะที่เขาอยู่ก็ตั้งอยู่ในโลกแห่งนี้เช่นกัน
จันทร์เสี้ยวสีเงินดวงนั้นที่เขาคว้าไว้ชื่อว่ากุญแจมายา เป็นกุญแจเข้ามาสู่ที่นี่ มันอาศัยพลังเทพจันทราดึงจิตวิญญาณของเจ้าของเข้ามาในมิติมายาห้วงจักรวาลแห่งนี้
ทุกอย่างที่นี่ล้วนจำลองขึ้นมา นอกจากไม่ทำร้ายกายเนื้อที่แท้จริงของเจ้าของแล้ว ทุกอย่างก็ไม่ต่างจากโลกความเป็นจริงเลย
เวทีแสดงเต๋าเป็นสถานที่อนุมานวิชายุทธ์วิชาเต๋า สิ่งที่ต้องใช้ในการอนุมานก็คือ ‘แต้ม’
เวทีเสวนากระบี่ใช้สำหรับเข้าออกมิติมายาห้วงจักรวาลโดยเฉพาะ และเอาไว้แลกเปลี่ยนวิชาประลองฝีมือกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ
การได้รับ ‘แต้ม’ ส่วนมากได้มาจากการต่อสู้ การต่อสู้ในระดับพลังเดียวกัน หากชนะได้แต้มเพิ่ม แพ้จะโดนลดแต้ม หากท้าประลองข้ามระดับจะได้แต้มเพิ่มตามความต่างของระดับ
นอกจากนี้แล้วยังมีวิธีเพิ่มแต้มวิธีอื่นอีก เช่นแดนศักดิ์สิทธิ์เทวาลัยซึ่งมีสถานะพอกันก็จะมอบ ‘แต้ม’ ให้ในทุกรอบเวลาหนึ่ง
ในเจ็ดสิบสองแดนศักดิ์สิทธิ์ แดนศักดิ์สิทธิ์เขาทะเลบูรพาที่อยู่อันดับต่ำสุดจะให้แต้มหนึ่งร้อยแต้มทุกเดือน และทุกๆ ครั้งที่แดนศักดิ์สิทธิ์สามสิบหกอันดับหลังยกระดับขึ้นหนึ่งระดับ แต้มคะแนนที่ได้จะเพิ่มขึ้นสิบแต้ม ทุกครั้งที่แดนศักดิ์สิทธิ์สามสิบหกอันดับแรกยกระดับ แต้มคะแนนที่ได้จะเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยแต้ม
แดนศักดิ์สิทธิ์ร้างแดนกระจ่างสัจจะที่จั่วกวงเลี่ยครอบครองอยู่ในอันดับที่ยี่สิบสาม ทุกเดือนจะให้แต้มหนึ่งพันแปดร้อยห้าสิบแต้ม
นี่ก็คือต้นทุนของเจียงวั่งในตอนนี้
แม้จะยังไม่กระจ่างเรื่องประโยชน์แบบเฉพาะเจาะจง แต่เจียงวั่งก็ได้ยินเสียงหัวใจที่ดังกึกก้องของตัวเองแล้ว
ที่แห่งนี้…ที่แห่งนี้!
โลกของแม่น้ำดาราพร่างพรายแห่งนี้ เหมือนจะซ่อนความลับยิ่งใหญ่เอาไว้
ลำพังแค่เวทีแสดงเต๋าและเวทีเสวนากระบี่ที่แสดงให้เห็น ก็เปิดโลกกว้างใหญ่ไพศาลใบหนึ่งออกมาแล้ว
แสดงเต๋าที่แดนศักดิ์สิทธิ์ เสวนากระบี่ที่แม่น้ำดารา ช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน!
ก่อนหน้าวันนี้ เจียงวั่งไม่เคยได้ยินชื่อของมันมาก่อนด้วยซ้ำ
จิตใจยากที่จะสงบลงได้ในทันที จวบจนกระทั่งสายตาของเขามองไปยังเงานาฬิกาแดด และเห็นตัวอักษรแถวหนึ่งว่า
‘นายแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะต้องรับการท้าประลองจากนายแห่งแท่นหยกเขียวแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยี่สิบสี่ในสามสิบวันหลังจากนี้’
‘หากแพ้จะถูกลดอันดับ’
อักษรหลายตัวดำขลับดุจหมึก ทุกตัวหนักแน่นทรงพลัง
………………………………………………………