“ศิษย์พี่ใหญ่ก็คือศิษย์พี่ใหญ่” หลิงเหอทอดถอนใจ รู้สึกเพียงว่าน่าเลื่อมใสชื่นชม
“เช่นนั้นตอนนี้ศิษย์พี่จู้มีพลังบำเพ็ญอยู่ขั้นไหน” เจียงวั่งถามขึ้นอีก
“ข้าก็ไม่ได้พบเขามาช่วงหนึ่งแล้ว” จางหลินชวนถอนหายใจออกมาอย่างไร้สาเหตุอีกครั้ง “น่าจะเปิดประตูฟ้าดินได้แล้วกระมัง”
“เช่นนั้นก็สูสีกับศิษย์พี่แล้วน่ะสิ ยังพอเทียบกันได้! แต่อันดับหนึ่งของสำนักเต๋าประจำเมือง ข้าก็ยังชื่นชมศิษย์พี่จางอยู่ดี!” หวงอาจ้านยังดึงดันประจบประแจง
ใครๆ ก็รู้ว่าหลินชวนเปิดประตูฟ้าดินได้นานแล้ว ห่างจากระดับหกมังกรทะยานอีกก้าวเดียวเท่านั้น ดังนั้นจะพูดว่าห่างกันไม่เท่าไรก็พอได้ เพียงแต่…
จางหลินชวนมองหวงอาจ้านอย่างแปลกประหลาดแวบหนึ่ง ก่อนจะถอยห่างไปอีกสองก้าว
จู้เหวยหว่อแม้จะอยู่เพียงระดับหกขั้นต้น แต่เขากำลังตามล่าสังหารมารกลืนจิตใจไปทั่วเชียว! นั่นเป็นระดับหกขั้นต้นทั่วไปได้หรือ
เจ้าหรู่เฉิงและเจียงวั่งมองตากัน พากันเขยิบออกห่างไปทางอื่นอย่างพร้อมเพรียง
“เฮ้ยๆๆ พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร” หวงอาจ้านโวยวาย
เจ้าหรู่เฉิงถอนหายใจก่อนพูดขึ้นว่า “ในที่สุดก็ได้รู้เสียทีว่าทำไมเจ้าเสือตู้ถึงได้โง่ลงเรื่อยๆ”
เจียงวั่งก็เงยหน้ามองท้องฟ้า “บางทีความโง่อาจจะติดกันได้กระมัง…”
ตอนนี้ต่งเออประกาศรายชื่อสุดท้ายของลูกศิษย์ปีหนึ่งออกมาแล้ว “ตามธรรมเนียมแล้ว ในการเสวนาเต๋าของศิษย์ปีหนึ่ง สำนักเต๋าทุกสำนักจะมีสิทธิ์หนึ่งรายชื่อมอบให้กับลูกศิษย์สำนักเต๋าที่เข้ามาล่าสุด เพื่อเป็นการแสดงว่ามีผู้มากความสามารถอยู่ทุกรุ่น…”
ข้างล่างเวที ฟางเฮ่อหลิงกำหมัดแน่นทันที!
ในบรรดาศิษย์สำนักเต๋าที่เข้ามารุ่นเดียวกับเขา มีเพียงเขากับเจียงวั่งที่เปิดชีพจรได้ก่อนใคร ตอนนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว มีลูกศิษย์คนอื่นๆ เปิดชีพจรสำเร็จเช่นกัน แต่คนที่สร้างรากฐานได้มีแค่เขาฟางเฮ่อหลิงคนนี้เท่านั้น
นับได้ว่าโดดเด่นเหนือใคร!
หากบอกว่าต้องการตัวแทนระดับของศิษย์ใหม่สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน จะเป็นใครไปได้นอกจากเขา?
นี่เป็นเกียรติยศอย่างหนึ่ง! มากพอจะลบล้างความสงสัยของทุกคนที่เห็นว่าบิดาของเขายืนกรานซื้อลูกกลอนเปิดชีพจรมาให้
เขาฟางเฮ่อหลิงจะต้อง…
“เจียงวั่ง” ต่งเออกล่าวขึ้น
ข้างล่างเวทีมีเสียงฮือฮาดังไปทั่ว ในฐานะศิษย์สายนอกคนแรกที่เข้ามาเป็นศิษย์สายใน ทั้งยังเอาชนะได้อย่างเด็ดขาดในศึกตัดสินมรรคาเป็นพยานต่อหน้าคนทั้งหลาย ชื่อของเจียงวั่งในสำนักเต๋าประจำเมืองจึงเป็นที่คุ้นเคยดี สำหรับเรื่องที่เขาวนเวียนไปมาอยู่นานก่อนจะสร้างรากฐาน ก็เล่าลือไปไกลจากการใส่สีตีไข่ของคนบางพวก
ลือว่าความสามารถถดถอยบ้าง พลังถดถอยบ้าง เรื่องที่ลือกันไปมาก็มีแค่เรื่องพวกนี้เท่านั้น
แต่ในสายตาของต่งเออผู้เป็นเจ้าสำนัก เจียงวั่งเป็นตัวแทนของลูกศิษย์ใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างนั้นรึ
“ท่านเจ้าสำนัก!” ฟางเฮ่อหลิงก้าวออกมาอย่างโกรธเคือง แต่เมื่อได้รับสายตาเคร่งขรึมเย็นชาของต่งเออ เขาก็เหมือนถูกน้ำเย็นราดลงมาที่หัว กระอักกระอ่วนเต็มประดา แต่เพียงครู่เดียวก็แข็งขืน “ขะ…ข้ายอมรับไม่ได้!”
“ฮ่า” เว่ยชวี่จี๋หัวเราะ ต่อให้เขาเชื่อว่าสายตาของต่งเออมองไม่ผิดแน่นอน แต่เขาก็มีความสุขนักที่ได้เห็นต่งเออถูกสงสัย
“ง่ายมาก” เว่ยชวี่จี๋เอ่ย “ขึ้นเวทีสู้กันรอบหนึ่ง ใครชนะคนนั้นก็ได้ไป”
พูดออกมาแล้วฟางเฮ่อหลิงถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองโง่เขลาปานใด ไม่ว่าอย่างไร ในสถานการณ์แบบนี้เขาก็ไม่อาจและไม่ควรจะสงสัยต่งเออ บุคคลยิ่งใหญ่ที่ตัดสินอนาคตของเขาได้อย่างง่ายดาย
ฟางเฮ่อหลิงรู้สึกเพียงส้นเท้ากำลังสั่นเทา แต่เขาก็ยังทำใจดีสู้เสือมองต่งเออ เขาขึ้นหลังเสือลงยากแล้ว
ดีที่ต่งเออเหมือนไม่ได้คิดจะสร้างความลำบากให้เขา และไม่ได้หักหน้าเว่ยชวี่จี๋ด้วยเช่นกัน
“ได้” เขาพูดแบบนี้
ฟางเฮ่อหลิงถอนหายใจโล่งอก เขาพยายามเหยียดหลังตรง เดินไปยังเวทีสูงท่ามกลางสายตาจับจ้องจากคนทั้งหลาย
เขาจะใช้การควบคุมวิชาเต๋าที่ชำนาญดีบดขยี้เอาชนะคู่ต่อสู้ เขาจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อชื่อเสียงของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน เป็นถึงงานสามเมืองเสวนาเต๋า จะส่งเจ้าคนที่สร้างรากฐานพลังไม่ได้ไปสู้ได้อย่างไร
เขาสัมผัสได้ถึงการจับจ้องของคนทั้งหลาย ในนั้นมีทั้งตะลึง อิจฉา ริษยา และเคร่งเครียด
ขณะเดินไปตามทางที่ฝูงชนแหวกทางให้ เขาพลันคิดขึ้นมาว่า ในอดีตตอนที่ฟางเผิงจวี่ญาติผู้พี่รุ่งโรจน์ก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกันใช่หรือไม่
ทว่าฟางเผิงจวี่ตายก่อนที่จะเข้ามาเป็นศิษย์สายใน เขากลับได้เป็นศิษย์สายในที่ทรงเกียรติแล้ว!
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของเจียงวั่ง
ตลอดช่วงที่เกิดเรื่องขึ้นจนมีการเปลี่ยนแปลง เจียงวั่งสงบนิ่งมาก นิ่งจนเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย
เพียงแต่หลังจากที่ต่งเออเห็นด้วยกับวิธีการต่อสู้เพื่อตัดสินสิทธิ์รายชื่อ เขาช้อนสายตาขึ้นมอง ถามอย่างง่ายๆ ประโยคหนึ่งว่า… “ข้าทำร้ายคนได้ไหม”
ข้าทำร้ายคนได้ไหม ที่เขาถามคือกฎอนุญาตหรือไม่ ไม่ใช่เขาทำได้หรือไม่ได้
ฟางเฮ่อหลิงโมโหจนจะระเบิดอารมณ์แล้ว!
ต่งเออใบหน้าไร้อารมณ์ เพียงตอบไปว่า “ห้ามทำให้พิการ ห้ามทำให้ถึงตาย”
ความหมายก็คือ นอกจากนี้แล้วทำได้ทั้งนั้น
เว่ยชวี่จี๋และต่งเออที่อยู่บนเวที รวมถึงขุนนางเมืองเฟิงหลินกับอาจารย์สำนักเต๋าที่อยู่ข้างหลังพวกเขา ตอนนี้ต่างก้าวถอยหลังไปสี่ห้าก้าว มายืนอยู่ขอบเวที เว้นเป็นที่ว่างให้มาต่อสู้
เจียงวั่งพยักหน้า มือข้างหนึ่งกุมฝักกระบี่ เดินมาทางเวทีอย่างสุขุม
ส่วนฟางเฮ่อหลิงที่ยืนอยู่บนเวทีแล้ว สายตาจ้องมาที่ร่างของเจียงวั่งเหมือนตอกตะปู
“วางใจเถอะ เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ข้าไม่ทำเจ้าพิการหรอก” ฟางเฮ่อหลิงกัดฟันกล่าว
ผู้คนต่างรอลุ้นว่าเจียงวั่งจะข่มขู่อย่างไร ทว่าเขากลับเงียบนิ่ง
ทั้งสองยืนนิ่งประจันหน้ากันบนเวทีสูง
ภาพนี้ทำให้หลายคนนึกถึงศึกตัดสินมรรคาเป็นพยานเมื่อไม่กี่เดือนก่อน คนหนึ่งในนั้นยังคงเป็นเจียงวั่ง ส่วนอีกคนหนึ่งก็ยังแซ่ฟางเหมือนเดิม
เว่ยชวี่จี๋ก่อนหน้านี้ยังตื่นเต้นสนอกสนใจ แต่หลังจากสังเกตเห็นอารมณ์พลุ่งพล่านและความร้อนใจของฟางเฮ่อหลิง เห็นเจียงวั่งสงบสุขุมโดยตลอด เขาก็หมดความสนใจทันที
คนหนึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นลูกนกที่ไม่เคยผ่านความเป็นความตาย ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญที่ผ่านการต่อสู้มาไม่รู้ต่อเท่าไร แม้ในด้านพลังบำเพ็ญจะแตกต่างเล็กน้อย แต่ยังมีอะไรน่ากังวลอีกเสียที่ไหน
“เริ่มเถอะ” เขาโบกมืออย่างหมดสนุก
ชิ้ง~!
นี่คือเสียงของกระบี่ที่ออกจากฝัก!
ก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้น ฟางเฮ่อหลิงคิดวิธีการต่อสู้เอาไว้มากมาย ชั่งน้ำหนักว่าใช้วิชาเต๋าชนิดใดเปิดศึกจะได้เปรียบมากที่สุด เขาไม่โง่ เขารู้ว่าข้อได้เปรียบที่สุดที่ตนเหนือกว่าเจียงวั่งอยู่ที่ด้านวิชาเต๋า เขาใช้วิชาเต๋าได้ แต่เจียงวั่งทำไม่ได้ นี่ก็คือโอกาสเอาชนะ
ทว่า กระบี่นั่นเร็วเหลือเกิน
วิชาเต๋าที่ฟางเฮ่อหลิงเลือกในตอนสุดท้ายคือดาบเปลวอัคคี ในวิชาเต๋าห้าธาตุพื้นฐาน วิชานี้รุนแรงทรงพลังที่สุด และเขาก็ใช้งานได้เชี่ยวชาญที่สุด
เพื่อรักษาความได้เปรียบไว้ เพื่อล้างข้อสงสัยในตระกูล เขาไม่เคยผ่อนคลาย เขาพยายามมาโดยตลอด
ตอนนี้ เขาถึงขั้นใช้เพียงชั่วสามอึดใจก็ประสานปางมือได้สำเร็จแล้ว!
แต่กระบี่นั่นเร็วเหลือเกิน
เป็นสองอึดใจหรือว่าหนึ่งอึดใจกันแน่ ผลสรุปคือการประสานปางมือของเขาเพิ่งเริ่ม กระบี่นั้นก็พาดมาที่คอของเขาแล้ว ความคมของกระบี่ทำให้ผิวและเส้นเลือดที่คอรู้สึกเจ็บแสบอยู่รางๆ
จบแล้วอย่างนั้นรึ
นี่คือวิชากระบี่อะไร!
เจียงวั่งพลิกคมกระบี่ ใช้ตัวกระบี่ตบแก้มของฟางเฮ่อหลิงเบาๆ ให้ได้สติคืนมาจากความงงงัน
“เจ้าแพ้แล้ว” เจียงวั่งพูด
ฟางเฮ่อหลิงงุนงง ทำอะไรไม่ถูก เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไรกัน เขากระทั่งว่ายังไม่ทันได้ใช้วิชาเต๋าสักวิชาด้วยซ้ำ
หากว่า หากว่า…หากว่าผ่านไปอีกช่วงระยะหนึ่ง รอจนเขาสร้างวงจรจักรวาลเล็กสำเร็จ และประทับวิชาเต๋าดาบเปลวอัคคีไว้ที่จุดผ่านสวรรค์ เขาก็จะสามารถสำแดงออกมาได้ทันที ไม่มีทางพลาดอีกเป็นอันขาด!
ถ้าหากว่า…
เขาพลันเงยหน้าขึ้นมา กัดฟันพูดว่า “เจ้าต้องใช้รากพลังเต๋ากระตุ้นวิชากระบี่แน่นอน แม้แต่รากฐานเจ้ายังสร้างไม่สำเร็จเลย รากพลังเต๋าใช้เม็ดหนึ่งก็น้อยลงเม็ดหนึ่ง แต่กลับยอมยืดเวลาสร้างรากฐานออกไปเพื่อการประลองแค่นี้ เจ้าก็ตัดใจทำได้ลงนะ!”
เจียงวั่งเก็บกระบี่เข้าฝัก หมุนตัวเดินลงจากเวทีไป เหมือนกับทุกครั้งก่อนหน้านี้ที่เจอการท้าทายจากฟางเฮ่อหลิง เขาขี้เกียจตอบโต้ ไม่มีค่าที่จะเหลือบแล
มดตัวหนึ่งมาขวางท้าทายอยู่กลางถนน แต่มนุษย์ไม่ได้ยินเสียงของมันเลย
“ชาตินี้เจ้าไม่มีทางสร้างรากฐานได้หรอก!” ฟางเฮ่อหลิงตะโกนใส่แผ่นหลังของเขา
“ไสหัวลงไป! เจ้าคนน่าขายหน้า!” แขนเสื้อของต่งเออเพียงสะบัด ฟางเฮ่อหลิงก็กลิ้งลงจากเวทีสูง
เขาลุกขึ้นมองไปรอบๆ สิ่งที่เห็นคือสายตาที่เห็นใจหรือไม่ก็เหยียดหยาม
เขาอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนพลันตะโกนออกมา แล้วโซซัดโซเซหนีไปจากที่นี่
………………………………………………………