เมืองซานซานตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเขตปกครองชิงเหอ ถือได้ว่าห่างไกล ทั้งเขตเมืองมีแนวเขาทับซ้อนกัน และมียอดเขาสามแห่งที่โด่งดังมากที่สุด จึงได้ชื่อว่าเมืองซานซาน (สามคีรี)
สามยอดเขานี้คือ ยอดเขาพู่กัน ยอดเขาหยกสมดุล และยอดเขาเหินทะยาน
คนของเขตเมืองนี้ยากจน ห่างไกลความเจริญ มักถูกหยามหมิ่นว่าเป็นคนเถื่อน คนมากมายถึงกระทั่งไม่สามารถซื้อรองเท้ามาใส่ได้ พวกเขาเดินข้ามยอดเขาขุนคีรีด้วยเท้าเปล่าราวกับเดินบนพื้นเรียบ
ขอเพียงคนจากเมืองซานซานมาถึง งานสามเมืองเสวนาเต๋าในปีนี้ก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการได้ เพราะคนจากเมืองวั่งเจียงเข้าเมืองไปล่วงหน้าแล้วหนึ่งวัน
หากพูดจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ระยะห่างแนวเส้นตรงของเมืองซานซานจะไกลกว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ไกลมากนัก ทว่าจากเมืองวั่งเจียงมาเมืองเฟิงหลิน เส้นทางน้ำสะดวกสบายอย่างยิ่ง นั่งเรือล่องลงมาตามแม่น้ำชิง จากนั้นเลี้ยวเข้ามาในแม่น้ำหลิวขจี ถ้าหากทิศทางลมพอดี อาจจะมาถึงในวันเดียวได้เลย
ส่วนการเดินจากเมืองซานซานมาเมืองเฟิงหลิน ด้วยฝีเท้าของคนธรรมดาต้องใช้เวลาประมาณสามสี่วัน…นี่ยังเป็นเพราะมีถนนทางหลวงอยู่
ศิษย์ที่ไม่ได้เข้าร่วมงานเสวนาเต๋าใช่ว่าจะได้หยุดพัก ในช่วงเวลาที่จัดงานสามเมืองเสวนาเต๋า พวกเขายังต้องช่วยทางการรักษาความเป็นระเบียบ ศิษย์น้องใหม่อย่างหลิงเหอและเจ้าหรู่เฉิงยิ่งไม่มีโอกาสที่จะขี้เกียจเลย
ในสถานการณ์เช่นนี้ กองทัพประจำเมืองแบ่งส่วนหนึ่งเข้ามาตั้งมั่นอยู่ในเมือง พวกเขาเองก็บ่นอะไรไม่ได้
กองกำลังจากเมืองซานซานต้องเข้ามาทางประตูทิศใต้แน่นอน ดังนั้นหลังจากได้รับการแจ้ง พวกเขาจึงมารอต้อนรับอยู่ที่ประตูทิศใต้นานแล้ว
“ต้องรออีกนานแค่ไหนเนี่ย” เจ้าหรู่เฉิงหาวหวอด “ถ้ารู้แต่แรกว่าสุดท้ายก็หนีไปไหนไม่ได้ ข้าเข้าร่วมการแข่งขันไปแล้ว จะยกสิทธิ์รายชื่อให้พี่สามทำไม”
เจียงวั่งในเวลานี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่บ้านอย่างถูกต้องชอบธรรมในนามของผู้เตรียมตัวเข้าการแข่งขัน ส่วนพวกเขาที่ไม่ต้องเข้าร่วมกลับต้องออกลาดตระเวนมาสามวันแล้ว การปฏิบัติแตกต่างกันถึงขนาดนี้เลย
“เฮ้อ” หวงอาจ้านก็ส่ายศีรษะ “ข้าเห็นว่าศิษย์พี่จางอายุมากแล้วเลยใจอ่อน ไม่เช่นนั้นข้าน่าจะไปเป็นคนนำกลุ่มแล้ว จะมาเสียเวลากับเด็กน้อยอย่างพวกเจ้าตรงนี้ทำไม!”
ในฐานะที่เขาเป็นลูกศิษย์ชั้นปีสาม จะโอ้อวดอีกสักแค่ไหนก็ควรจะหยุดไว้ตรงหลีเจี้ยนชิว ส่วนเรื่องที่เขาจะขึ้นไปถึงปีห้าในก้าวเดียวแล้วคว้าตำแหน่งผู้นำกลุ่มเลย คงทำได้แค่คุยโม้ไม่รู้จบสิ้นเท่านั้น
เจ้าหรู่เฉิงกับหลิงเหอหันหน้ามามองเขา ส่งสายตาชมเชยไปให้
“ใช่ไหมล่ะ?”
ขณะที่หวงอาจ้านกำลังงงงวย ด้านหลังก็มีเสียงเย็นเยือกดังขึ้น “ข้าอายุมากนักหรือ”
หวงอาจ้านแทบจะกระโดดเหยง “ที่ข้าอยากจะพูดก็คือ…ศิษย์พี่จางคุณธรรมสูงส่งมากบารมีต่างหาก!”
จางหลินชวนรักษาระยะห่างไว้ราวสองก้าวอยู่ด้านหลังเขา ท่าทางเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม “เพื่อการใหญ่ของเมืองเฟิงหลิน เจ้าจะใจอ่อนทำไมกัน ไม่ต้องสละให้จะดีกว่า เจ้าเอาตำแหน่งผู้นำกลุ่มคืนไปเลย…”
“โอ๊ย! โอ๊ย!” หวงอาจ้านร้องเสียงหลง “ทำไมถึงปวดท้องเหลือเกิน ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายเฝ้าไว้สักครู่หนึ่ง ข้าจะรีบไปรีบมา” เขากุมท้องด้วยสีหน้าทรมาน โค้งกายงอตัวเผ่นหนีไป
ส่วนเรื่องกลับ แน่นอนว่าไม่กลับมาแล้ว ยอมให้สำนักเต๋าลงโทษ ยอมโดนหักแต้มเต๋ายังดีเสียกว่า
เจ้าหรู่เฉิงเบ้ปาก ตัวเองก็แค่ปากพล่อยชั่วคราวเท่านั้น หวงอาจ้านผู้นี้หาเรื่องใส่ตัวเก่งเสียจริง ดูท่าคงเพราะตู้เหล่าหู่ไปแล้วจึงดื่มสุราได้น้อยเกิน
“ศิษย์พี่จาง” หลิงเหอมีนิสัยซื่อตรง เขาคารวะศิษย์พี่ก่อน จากนั้นเอ่ยว่า “ท่านมาทำไมหรือ”
จางหลินชวนพยักหน้ารับการทักทาย “งานเสวนาเต๋าจะเริ่มแล้ว ข้าต้องมาสังเกตสถานการณ์ของคู่แข่งเสียหน่อย”
ดูท่าทางต่งเออจะกดดันเขาไม่น้อยเลยจริงๆ ถึงขนาดทำให้เขาที่รักความสะอาดต้องมาเบียดเสียดอยู่ในกลุ่มคนเพื่อสังเกตสถานการณ์ของ ‘คู่แข่ง’
ในความเป็นจริง ประชาชนที่เบียดเสียดกันที่ประตูทิศใต้ก็มีไม่น้อย ถ้าเทียบกับพวกเศรษฐีจากเมืองวั่งเจียงเหล่านั้น พวกเขาสนใจเหล่าคนเถื่อนมากกว่า
“มาแล้ว!”
เบื้องหน้าเกิดความวุ่นวาย เหล่าลูกศิษย์ที่มาจากสำนักเต๋าเมืองซานซานในที่สุดก็มาถึงเสียที
แตกต่างจากผู้บำเพ็ญเมืองวั่งเจียงที่มาพร้อมคนรับใช้กลุ่มใหญ่เหมือนออกมาเที่ยวเล่น เมืองซานซานมาเพียงหกคนเท่านั้น จำนวนผู้เข้าร่วมงานเสวนาเต๋าจากแต่ละเมืองคือหกคนพอดี
พวกเขาเดินเข้าสู่ประตูทิศใต้แบบเรียงหนึ่ง สาม และสองคน
ผู้คนแทบจะมองไปที่เท้าของพวกเขาเป็นอันดับแรก ว่ากันว่าคนเถื่อนทุกครอบครัวจะมีรองเท้าเพียงคู่เดียว เพื่อให้คนที่ต้องเดินทางไกลสวมใส่เท่านั้น
และก็ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง เด็กสาวที่เดินอยู่หน้าสุดของกลุ่มคนเมืองซานซานเท้าเปล่าจริงๆ
สายตาพิจารณาที่มีนัยเหยียดหยามเช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกไม่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้หลิงเหอจึงตรงเข้าไปต้อนรับทันที
“สหายเต๋าเมืองซานซาน! หลิงเหอจากสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินรออยู่นานแล้ว โปรดตามข้ามา พวกเราไปพักเท้า กินอาหารกันที่สำนักเต๋าก่อน เย็นอีกหน่อยข้าจะพาพวกท่านไปทำความคุ้นเคยกับลานเสวนาเต๋า”
ว่ากันตามหลักการ ในกลุ่มพวกเขาหวงอาจ้านที่เป็นศิษย์ปีสามควรรับผิดชอบต้อนรับแขกจึงจะถูก ทว่าเพราะภาพลักษณ์ที่ไม่ดี อาจารย์ผู้แบ่งหน้าที่จึงมอบหมายงานให้หลิงเหอ และความจริงใจของหลิงเหอก็ทำให้เขาเหมาะที่จะรับงานนี้ด้วย
คนของเมืองซานซานถึงขั้นไม่ทันได้รู้สึกแย่ ก็เดินตามหลังหลิงเหอไปแล้ว
สิ่งที่เกินความคาดหมายของเจ้าหรู่เฉิงก็คือ เหล่าชาวบ้านที่เบียดเสียดอยู่ใกล้ประตูเมือง สายตาไปรวมกันอยู่บนร่างอ้วนกลมกลางกลุ่มคนจากเมืองซานซานนั่นมากกว่า
ไม่เหมือนคนอื่นที่สวมชุดธรรมดาเรียบง่าย เขาสวมเสื้อคลุมติดหมวกสีดำ ทั้งใบหน้าถูกบดบังไว้ใต้หมวกคลุมศีรษะ แต่กลับแปลกประหลาดและดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ
เจ้าหรู่เฉิงได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนบางส่วนด้วยซ้ำ
“นั่นคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขากระมัง”
“ยังต้องพูดอีกหรือ ยืนอยู่ตำแหน่งดาวล้อมเดือนแบบนั้น เจ้าดูรัศมีนั่นสิ!”
“ดูแล้วน่ากลัวนัก”
“เมืองเฟิงหลินของเราต้องระวังไว้เสียแล้ว!”
“กลัวอะไรกัน จางหลินชวนจากตระกูลจางไม่ใช่พวกสัตว์กินพืชเสียหน่อย!”
“เหมือนเขาจะกินพืชนะ…ครั้งที่แล้วตอนมาหอสุราของพวกเรา อุ้งตีนหมีคู่นั้นเขาไม่แตะเลย แค่ใช้ตะเกียบคีบผักมากิน ข้าเป็นคนยกสำรับอาหารไปให้พวกเขาเอง!”
หัวข้อสนทนาค่อยๆ ออกทะเลไป…
ส่วนเด็กสาวที่เดินอยู่หน้าสุดของขบวนเมืองซานซานก็ดูไร้พิษภัยเสียเหลือเกิน ต่อให้นางงดงามและตัวเล็กน่ารักก็จริง แต่ถึงอย่างไรโลกของผู้บำเพ็ญก็เป็นโลกที่โหดร้าย มีเพียงผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเท่านั้นคนถึงจะให้ความสำคัญ
ในฐานะที่เป็นคนรับแขก เจ้าหรู่เฉิงย่อมต้องคอยพูดคุยกับผู้บำเพ็ญเมืองซานซาน แต่คนเหล่านี้พูดค่อนข้างน้อย หนำซ้ำพวกเขายังคอยระวังรูปขบวนกันมาก คุ้มกันคนที่สวมเสื้อคลุมดำเอาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา ราวกับกลัวว่าใครจะมาศึกษาค้นคว้าอาวุธเวทลึกลับของพวกเขา
คุณชายเจ้าแสร้งเบียดเข้าไปเหมือนไม่ได้ตั้งใจอยู่หลายครั้งแต่ก็ทำไม่สำเร็จ จึงยอมแพ้ไป
แต่ว่าเขาสังเกตเห็น เมื่อมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนข้างทาง สีหน้าของผู้บำเพ็ญเมืองซานซานเหล่านี้…ประหลาดเล็กน้อย
จางหลิงชวนไม่ได้อยู่กับพวกเขา แค่เบียดฝูงชนมามองๆ แล้วก็จากไป
ภายใต้การแนะนำอย่างอบอุ่นของหลิงเหอและการตอบกลับที่หวงคำพูดดุจทองคำของเด็กสาวเท้าเปล่า กลุ่มคนเลี้ยวขวา เดินตรงไปทางสำนักเต๋า
เด็กสาวเท้าเปล่าพลันหยุดเท้าลง สายตาหันไปมองด้านในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งข้างทาง
ชั้นสองของโรงเตี๊ยม ชายหนุ่มใบหน้างามสง่าคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกข้างหนึ่งชูแก้วมาทางเด็กสาวเท้าเปล่าจากไกลๆ พร้อมเผยรอยยิ้มอันงดงามไร้ที่ติ
เด็กสาวเท้าเปล่าก็ไม่แยแส เดินตรงต่อไป
หลิงเหอจำได้
นั่นคือผู้นำกลุ่มเมืองวั่งเจียงที่มาเสวนาเต๋าครั้งนี้ และเป็นอันดับหนึ่งบนกระดานแต้มเต๋าของสำนักเต๋าเมืองวั่งเจียง…หลินเจิ้งเหริน!
……………………………………….