การไล่ล่าและการสังหารที่เกิดขึ้นในเมืองเฟิงหลิน กับดักและความบ้าคลั่ง เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับสนามประลองยุทธ์เลย
การต่อสู้ที่นี่ยังดำเนินไปตามปกติ
ผู้ชนะทั้งสามที่เข้าสู่รอบเวียนต่อสู้คือจางหลินชวน หลินเจิ้งเหริน และป๋อเป้าซงจากเมืองวั่งเจียง
เขาเป็นชายรูปร่างผอมสูง หน้าตาหมดจดงดงาม เขาเอาชนะศิษย์ชั้นปีห้าของเมืองเฟิงหลินได้อย่างยากลำบาก และชิงเอาที่ว่างสุดท้ายมาได้
ศิษย์ชั้นปีห้าของเมืองวั่งเจียงทั้งสองคนเข้าสู่รอบเวียนต่อสู้ทั้งหมด ได้เปรียบเป็นอย่างมาก
ความจริงแล้วการต่อสู้ระหว่างศิษย์ชั้นปีที่ห้าถึงจะเป็นรอบที่สำคัญที่สุด และมีเพียงผู้ชนะเลิศของศิษย์ชั้นปีที่ห้าเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติก้าวเข้าสู่สำนักเต๋าระดับรัฐ
การแข่งขันเสวนาเต๋าที่คล้ายๆ กันก็มีสิทธิ์รายชื่อจำนวนหนึ่งเช่นนี้ เพียงแต่ว่ามีมากน้อยต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น ‘ลมเหนือสำแดงหิมะ’ จะมีเพียงสองสิทธิ์รายชื่อเท่านั้น ต่อให้เป็นห้าเมืองเสวนเต๋า ในความเป็นจริงแล้วก็ต้องเลือกแค่สองจากสิบ ความน่าจะเป็นมีมากกว่า ‘สามเมืองเสวนาเต๋า’ เสียอีก
สิทธิ์รายชื่อเหล่านี้ก็เป็นการจัดสรรทรัพยากรอย่างหนึ่ง มักจะตัดสินจากศักยภาพของสำนักเต๋าในแต่ละที่ และสิ่งที่แสดงให้เห็นศักยภาพของสำนักเต๋าก็คือผู้บำเพ็ญที่ฝึกฝนบ่มเพาะมานั่นเอง ดังนั้นเมื่อผู้บำเพ็ญคนใดก็ตามเติบโตขึ้น สำนักเต๋าที่เขาเล่าเรียนมาก็จะผงาดตามไปด้วย
สิทธิ์รายชื่อสำนักเต๋ารัฐมากขึ้น ผู้บำเพ็ญพัฒนาเร็วขึ้น ก็จะเกิดเป็นวัฏจักรที่ดีเยี่ยม
แต่อย่างเช่นเมืองซานซาน ยอดฝีมือขาดช่วง ชนะงานเสวนาเต๋าไม่ได้ ทรัพยากรลดน้อยลง เงื่อนไขในการฝึกบำเพ็ญของลูกศิษย์ก็ยิ่งยากลำบาก…นี่คือวัฏจักรที่เลวร้าย
มีเพียงเข้าใจระบบสำนักเต๋าของรัฐจวงเท่านั้น จึงจะเข้าใจว่าทำไมผู้บำเพ็ญเมืองซานซานถึงได้พยายามสุดชีวิตเช่นนี้
กลับมายังการแข่งขัน ศึกสามเมืองเสวนาเต๋ารอบแรกของศิษย์ชั้นปีห้าเป็นการสู้ภายใน
หลินเจิ้งเหรินปะทะป๋อเป้าซง
การต่อสู้ศึกนี้แทบจะไม่มีอะไรให้ดู ทุกคนล้วนรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้คือเมืองเฟิงหลินปะทะกับเมืองวั่งเจียง จุดสำคัญของรอบเวียนต่อสู้อยู่ที่จางหลินชวนจะเอาชนะคู่ต่อสู้จากเมืองวั่งเจียงติดๆ กันได้หรือไม่…ตอนนี้ดูท่าจะไม่มีหวังอะไรแล้ว
สำหรับศึกภายในก็สู้พอเป็นพิธีเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าหลินเจิ้งเหรินก็คิดเช่นนี้ เมื่อเขาเห็นป๋อเป้าซงที่เดินมาอยู่ตรงหน้าตัวเอง จึงพูดไปตามปากว่า “เจ้ายอมแพ้เสียเถอะ อีกเดี๋ยวข้าจะลงมือเต็มกำลังให้จางหลินชวนบาดเจ็บ จากนั้นเจ้าค่อยเอาชนะเขา เอาที่สองไป”
เหมือนว่าเขาจะจัดอันดับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“นี่!” จางหลินชวนใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก ท่าทางรังเกียจสุดฤทธิ์ “อย่าทำเหมือนข้าไม่มีตัวตนสิ!”
หลินเจิ้งเหรินหันหน้ามามองจางหลินชวนที่อยู่ตรงจุดเตรียมตัวแล้วยิ้มให้ “ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ถอยไปเสียตอนนี้เลย จะได้เจ็บตัวน้อยลง”
หลังจากเปิดเผยพลังบำเพ็ญระดับหก บุคลิกของเขาดูเป็นอิสระขึ้นมาก ไม่ค่อยสนใจภาพลักษณ์แล้ว
ตอนนี้เอง…
“ข้าปฏิเสธ”
เขาได้ยินเสียงหนึ่งพูดขึ้นเช่นนี้
หลินเจิ้งเหรินพลันหันหน้ากลับมา มองไปยังต้นเสียง ป๋อเป้าซงชายร่างผอมสูงที่เงียบงันมาตลอดคนนั้นพูดประโยคแรกของวันออกมา
“เจ้าปฏิเสธ? ปฏิเสธอะไร” หลินเจิ้งเหรินรู้สึกผิดคาด
หลินเจิ้งหลี่ยิ่งก่นด่ามาจากนอกสนาม “ป๋อเป้าซงเจ้าเพี้ยนไปแล้วหรือไร ไม่รู้จักประมาณตนรึ”
ป๋อเป้าซงไม่สนใจ เขาเอาแต่มองไปยังหลินเจิ้งเหริน สายตาสุขุมเสมอภาคยิ่งนัก ไม่ต่างอะไรกับมองคนอื่น
เขากล่าวขึ้นว่า “ข้าจะพยายามสุดกำลัง ไม่ว่าคู่ต่อสู้เป็นใคร นี่คือความหมายของเสวนาเต๋า”
หลินเจิ้งเหรินโมโหสุดขีดจนกลายเป็นขำ “ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู”
เรื่องราวพลิกผัน
ประชาชนเมืองเฟิงหลินที่ชมการต่อสู้อยู่โดยรอบตื่นตะลึง ผู้บำเพ็ญสองคนจากเมืองวั่งเจียงเอาจริง นั่นไม่ได้หมายความว่าจางหลินชวนจากเมืองเฟิงหลินของพวกเขามีโอกาสแล้วหรอกหรือ
หลินเจิ้งเหรินแม้จะมีพลังบำเพ็ญระดับหก แต่หากป๋อเป้าซงสามารถโจมตีเขาให้บาดเจ็บสาหัสได้ก่อนแพ้…จางหลินชวนก็ใช่ว่าจะไม่มีความหวัง!
“ป๋อเป้าซงเยี่ยมยอด!”
“ซื่อสัตย์ยุติธรรม เข้มแข็งไม่ยอมใคร เป็นแบบอย่างของผู้บำเพ็ญ!”
“ใช่แล้ว! ทำไมต้องยอมแพ้ด้วย หลินเจิ้งเหรินไม่ได้มีหัวมากกว่าเจ้า ซัดเขาให้หมอบเสีย เจ้าก็จะเป็นผู้ชนะเลิศ!”
ที่นอกสนามผู้ชมทั้งหลายพากันส่งเสียง ท่าทางที่ฮึกเหิมตื่นเต้นแบบนั้น ราวกับว่ารักป๋อเป้าซงเป็นนักหนาจริงๆ
โดยเฉพาะเจียงวั่ง เขาแอบรู้สึกว่าเสียงสุดท้ายนั่นคุ้นหูเสียเหลือเกิน
เขามองตามเสียงไป ก็เห็นหวงอาจ้านทำลับๆ ล่อๆ มุดไปมุดมาท่ามกลางฝูงชน
เจียงวั่งหันหน้ากลับมา ใบหน้าไร้ความรู้สึก
เขาไม่รู้จริงๆ เจ้าคนที่มาเข้ากลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้เพราะตู้เหยี่ยหู่ยังจะมี ‘ความสามารถพิเศษ’ อะไรอีก ช่างประจบสอพลอ โลภมากลุ่มหลงนารี ตอนนี้ยังยุแยงตะแคงรั่วอีก
แต่ก็น่าแปลกนัก เจ้านี่ไม่ว่ามองตรงไหนก็มีแต่ข้อเสีย ทว่ากลับทำให้คนเกลียดไม่ลง
……
บนสนามประลอง หลินเจิ้งเหรินดูเหมือนจะโกรธแล้วจริงๆ ครั้นลงมือก็ใช้งูเขียวรัดสังหารทันที
งูหลามยักษ์ทะลวงขึ้นมาจากผืนดิน ก่อนพันรัดกันเป็นกลุ่ม
ตูม!
งูหลามสีเขียวเข้ารัดบนกำแพงเถาวัลย์
เถาวัลย์งูที่สานกันเป็นก้อนกลมก้อนหนึ่งปกป้องป๋อเป้าซงเอาไว้ตรงกลาง เป็นกำแพงเถาอสรพิษที่หลินเจิ้งเหรินเคยใช้เมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง
แต่กำแพงเถาอสรพิษวิชาระดับกลางชั้นสอง ไม่ว่าอย่างไรก็ป้องกันงูเขียวรัดสังหารวิชาระดับล่างชั้นหนึ่งไม่ได้
ไม่ถึงสามอึดใจ กำแพงเถาอสรพิษก็พังทลาย
งูหลามยักษ์สีเขียวออกแรงรัด แต่พริบตาต่อมามันกลับแห้งเหี่ยวทันใด
มือสีเขียวมรกตที่มาพร้อมความรู้สึกแห้งผากกดบนตัวงูหลาม สีเทาจากการเสื่อมสลายและสีเขียวมรกตยื้อยุดกันอยู่บนร่างมหึมาของมัน
วิชาเต๋าชั้นสองระดับบน เคล็ดไม้ผุ!
แม้จะทำให้งูหลามสลายไปด้วยมือเดียวเหมือนต่งเออไม่ได้ แต่ก็ทำให้งูหลามสีเขียวตัวนี้แห้งเหี่ยวลง
ป๋อเป้าซงอาศัยช่องว่างนี้พุ่งตัวออกมา
แต่หลินเจิ้งเหรินจะให้โอกาสเขาได้อย่างไร เขายื่นมือออกไป คลื่นมังกรวารีที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้วพุ่งทะยานออกมา!
เพียงแต่ข้างหลังร่างมังกรวารีโปร่งแสงตัวนี้ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง
วิชาเต๋าบางวิชาจะต้องมีพรสวรรค์ บางวิชาต้องมีความเข้ากันได้ ไม่ใช่ว่าพลังบำเพ็ญถึงขั้นแล้ว วิชาเต๋าที่ระดับสอดคล้องกันก็จะมาอยู่ในมือได้
ยกตัวอย่างเช่นเคล็ดไม้ผุนี้ แม้จะเป็นเพียงวิชาชั้นสองระดับบน แต่ก็เป็นวิชาลับเฉพาะของสำนักเต๋าเมืองวั่งเจียง เขาหลินเจิ้งเหรินยังไม่เคยได้รับการถ่ายทอดเลย! เหตุผลคือความเข้ากันได้ไม่มากพอหรือ
หรือว่าเจ้าคนจนผู้นี้ ก้อนหินในห้องน้ำ[1]ก้อนนี้ มีความเข้ากันได้มากพอ?
คนถือดีอย่างหลินเจิ้งเหรินได้รับข้ออ้างจอมปลอมที่ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงพวกนั้นมามากพอแล้ว อย่างเช่นระดับความเข้ากันได้ไม่เพียงพอ หรือความหมายของเสวนาเต๋า!
เมื่อเผชิญหน้ากับคลื่นมังกรวารีที่แทบจะจ้องรอจังหวะ ใต้เท้าป๋อเป้าซงเกิดคลื่นทะยานหอบม้วน หมายจะหลบหลีกผ่านไป หลินเจิ้งเหรินก็มาจากสำนักเต๋าเมืองวั่งเจียง ย่อมคุ้นชินกับคลื่นทะยานซ้อนสามเช่นกัน
เขาเพียงกดมือซ้ายลง ก็มีคลื่นซัดโหมเข้าปะทะกับคลื่นทะยานใต้เท้าของป๋อเป้าซง ทำให้การหลบครั้งนี้สูญเปล่า
คลื่นพิโรธวิชาเต๋าง่ายๆ วิชาหนึ่ง เพียงแค่จังหวะยอดเยี่ยม ตำแหน่งเหมาะสมได้เปรียบ ก็ทำลายคลื่นทะยานซ้อนสามที่มีผลเคลื่อนย้ายได้สามครั้งสำเร็จ
คลื่นมังกรวารีโจมตีเข้าใส่ร่างของป๋อเป้าซงอย่างไม่ปรานีแม้แต่น้อย พุ่งชนจนเขาลอยขึ้นสูง ก่อนจะร่วงลงมาเต็มแรง
คลื่นทะยานใต้เท้าหลินเจิ้งเหรินทอดยาว เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนศีรษะของป๋อเป้าซง
เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ใช้น้ำเสียงที่จงใจและดูถูกอย่างยิ่งพูดขึ้นว่า “อาศัยแค่เจ้า จะเอาชนะข้าได้หรือ”
ป๋อเป้าซงหันศีรษะที่อยู่ใต้ฝ่าหลินเจิ้งเหรินมาอย่างยากลำบาก เขามองหลินเจิ้งเหริน ในดวงตาไม่มีความโกรธเดือดดาล แต่เป็นความดื้อดึงที่คนไม่เข้าใจอย่างหนึ่ง “ข้าสู้เจ้าไม่ได้ แต่ข้าจะ…ยอมแพ้โดยไม่สู้ไม่ได้!”
คนคนนี้…ทั้งเหม็นทั้งแข็งเสียจริง
เหม็นจนทำให้คนขมวดคิ้ว แข็งจนชวนให้คนเคารพ
………………………………………………………
[1]ก้อนหินในห้องน้ำ ใช้อุปมาถึงคนที่ดื้อดึง ไร้เหตุผล ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร ทั้งเหม็นทั้งแข็งเหมือนก้อนหินในห้องน้ำสมัยโบราณ