ย้อนเวลากลับมาตอนที่เจียงวั่งแยกกับเจ้าหรู่เฉิง
เส้นทางไปสถานธรรมกระจ่าง เจียงวั่งเดินมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะของกินทั้งหมดที่อยู่บนถนนเส้นนี้ อร่อยหรือไม่อร่อยเขารู้หมด
ที่นี่คือเมืองเฟิงหลิน สถานที่ที่เขาใช้ชีวิตและฝึกบำเพ็ญมาหลายปี ยามเขาเดินอยู่ในเมืองนี้จะมีความรู้สึกสงบสบายใจแบบที่หาได้ยากจากที่อื่น
เพราะว่าผ่อนคลายเกินไป ถึงขนาดว่าตอนที่เงาของคนผู้นั้นพุ่งชนเข้ามา เขาก็ยังหลบไม่ทัน
ไม่สิ เขาอาจจะวูบหลบสุดกำลังแล้ว แต่ก็ยังถูกชนอยู่ดี
การถูกชนครั้งนี้ให้ความรู้สึกประหลาดผิดธรรมดา เพราะพวกเขาไม่ได้แยกออกจากกันตามแรงชนเหมือนในสถานการณ์ปกติ จากนั้นอาจจะล้มลงไปหรือไม่ขยับเลยแล้วแต่รูปร่างและความสูงที่ต่างกันของแต่ละคน
ทว่ากลับกลายเป็นแนบชิดอยู่ด้วยกัน
หรือก็คือ การชนครั้งนี้เหมือนเกิดขึ้นจากแรงดึงดูด ไม่ใช่แรงผลัก
นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว!
เจียงวั่งมองชายในชุดคลุมดำที่ยืนแทบจะแนบติดกับเขาคนนี้ พลางขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างประหลาด
เขามีลางสังหรณ์อันแรงกล้าอย่างหนึ่งว่า ชายคนนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง เขาไม่ใช่คู่มือด้วยเลย
ความแตกต่างของพลังสูงมาก หากเวลานี้เขาคิดจะอาศัยสถานะของศิษย์สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินหนีไปแจ้งเรื่อง อีกฝ่ายก็สามารถสังหารเขาทิ้งและเดินจากไปอย่างสบายได้
“ดูท่าจะเป็นศิษย์น้องของเจ้านั่นสินะ…” ชายชุดคลุมดำขยับเข้ามาใกล้หูของเจียงวั่งแล้วเอ่ยขึ้นเช่นนี้ “ไปพักบ้านเจ้าสักวันสองวันได้หรือไม่”
เจียงวั่งตัวแข็งทื่อขณะที่พยักหน้า
“ดีมาก” ชายชุดคลุมดำผละตัวออกห่าง ทำให้เจียงวั่งมองเห็นใบหน้าภายใต้หมวกที่ปิดบังเอาไว้ ใบหน้านั้นหยาบกระด้าง ป่าเถื่อน มีความโหดเหี้ยมโดยธรรมชาติอยู่ “เจ้าเป็นคนฉลาด น่าจะรู้ว่าไม่ควรทำเรื่องโง่ๆ”
เจียงวั่งเพิ่งสังเกตเห็นในตอนนี้เอง ชุดคลุมมีหมวกบนตัวของชายคนนี้เหมือนกับชุดคลุมดำของเด็กอ้วนจากเมืองซานซานมาก อีกอย่างคืออีกฝ่ายเป็นคนหัวล้าน
ไม่มีเวลาตรึกตรองนาน สายตาของชายหัวล้านอันตรายนัก
อันดับแรกเจียงวั่งแน่ใจแล้ว เขาจะพาคนอันตรายนี่กลับไปบ้านไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเจ้าหรู่เฉิงหรือว่าหลิงเหอก็ช่วยตนเองไม่ได้ มีแต่จะติดร่างแหไปด้วย ยิ่งที่บ้านยังมีอันอันอยู่อีกยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
“แต่ว่า…ข้าพักในหอพักของสำนักเต๋า” เจียงวั่งกลืนน้ำลายลงคอ ไม่ปิดบังความกลัวของตนเองสักนิด “ข้าเป็นศิษย์สำนักสายใน”
“โอ้ เปิดชีพจรแล้ว แต่ยังไม่สร้างรากฐาน การพูดจาตรงไปตรงมาเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่ดี” ชายหัวล้านหันกายเหมือนพึงพอใจ โอบไหล่ของเจียงวั่งและเดินไปกับเขา “แต่ข้าเชื่อว่าเจ้ามีวิธี จริงไหม”
บนถนนใหญ่มีคนเดินขวักไขว่ แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าพวกเขามีท่าทีประหลาดอะไร
กล่าวอีกอย่างก็คือ เจียงวั่งพยายามที่จะทำตัวเป็นปกติ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสังหารเป็นอันดับแรก
เจียงวั่งใช้สมองคิดอย่างหนัก
ก่อนอื่น ‘เจ้านั่น’ ในประโยคที่ว่า ‘ศิษย์น้องของเจ้านั่น’ จากปากชายหัวล้านคือใครกัน
พอเชื่อมเข้ากับชุดคลุมดำรูปแบบเดียวกับเด็กอ้วนเมืองซานซานของชายหัวล้าน เจียงวั่งก็เกิดการคาดเดาที่อาจหาญขึ้นมา…จะใช่จู้เหวยหว่อหรือไม่
ถ้าเช่นนั้นตัวตนของชายหัวล้านก็เหมือนจะชัดเจนแล้ว มารกลืนจิตใจ สยงเวิ่น!
ในช่วงนี้จู้เหวยหว่อกำลังไล่ล่าสยงเวิ่นอยู่ตลอด จนกระทั่งพลาดงานสามเมืองเสวนาเต๋าครั้งนี้ไป คิดไม่ถึงว่าสยงเวิ่นจะกล้าหาญชาญชัย ลอบเร้นเข้าเมืองเฟิงหลินมาหลบอยู่ใต้จมูกนี่เอง
นี่คือผู้บำเพ็ญระดับหกมังกรทะยานที่เปิดประตูฟ้าดินแล้ว
แม้ว่าเขาจะมีสองวิชาลับอย่างเคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพกับเคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาอยู่ แต่หากคิดจะข้ามสามระดับไปเอาชนะคนผู้นี้ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
“วิธี…น่าจะมีอยู่ แต่ขอข้าคิดก่อน…ข้าคิดสักครู่ได้หรือไม่” เจียงวั่งไม่ใช่พวกอัจฉริยะที่คิดอะไรล่วงหน้าหลายขั้น เขาพยายามจะถ่วงเวลาออกไปอีกหน่อย
“ได้ แต่อย่านานนัก เพราะความอดทนของข้าไม่ค่อยมากเท่าไร” ชายหัวล้านทำเหมือนใจกว้างมาก ยังเข้ามาตบไหล่เจียงวั่งอีกด้วย
ทั้งสองคนโอบไหล่เดินไปเช่นนี้ ราวกับเป็นเพื่อนรักที่สนิทกันมากคู่หนึ่ง
เจียงวั่งวิเคราะห์ต่อ
เมื่อวันก่อนคืองานสามเมืองเสวนาเต๋า การปะทะกันที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังงานใหญ่เขาเองก็พอรู้สึก ด้วยเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเขาจึงไม่ได้ไปสืบค้น แต่จากที่เจ้าหรู่เฉิงพูดมาเรื่อยเปื่อย เหมือนว่าจะเป็นการมุ่งแก้แค้นคดีที่ตำบลเสี่ยวหลินในครั้งนั้นของเว่ยชวี่จี๋
เวลานี้พอคิดอีกที สิ่งเดียวที่ยืนยันได้คือสองวันนั้นในเมืองจะต้องมีการป้องกันแน่นหนามาก แต่ชายหัวล้านคนนี้กลับไม่เผยพิรุธออกมาแม้แต่น้อย เห็นได้ว่าเขามีความสามารถในการหลบเร้นอยู่พอตัว
เช่นนั้นมีเหตุผลอะไร ถึงทำให้เขามาปรากฏตัวบนถนนใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นยังเลือกคนส่งเดชเพื่อจะหาที่ซ่อนแห่งใหม่อีก
มีเพียงคำอธิบายเดียว นั่นก็คือที่ซ่อนตัวของเขาก่อนหน้านี้ถูกเปิดโปงแล้ว หรือไม่ก็จู้เหวยหว่อมองออกแล้วว่าเขามาหลบอยู่ในเมืองเฟิงหลิน!
โอกาสอาจจะอยู่ที่นี่…
แต่เห็นได้ชัดเจนว่า ถ้าหากชายหัวล้านคนนี้คือสยงเวิ่นจริง เขาก็จะสังเกตเห็นจุดนี้ด้วย
ดังนั้นเขาไม่อาจเหลืออะไรทิ้งไว้เตือนจู้เหวยหว่อโดยเด็ดขาด มาเล่นลูกไม้อยู่ใต้จมูกของผู้บำเพ็ญขั้นมังกรทะยาน เป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เจียงวั่งขบคิดต่อ ถัดจากนี้จะไปที่ไหนดี
เขาไม่กล้าเดินไปทิศของจวนเจ้าเมือง และไม่กล้าตรงไปยังสำนักเต๋าด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งสองแห่งเป็นสถานที่ที่จะช่วยชีวิต แต่ชายหัวล้านคนนี้ไม่ใช่คนโง่แน่นอน
แล้วจะมีวิธีไหนอีกกันแน่
เขาไม่สามารถนำพลังของตนเองไปคาดเดาพลังของผู้บำเพ็ญขั้นมังกรทะยานได้ ในงานสามเมืองเสวนาเต๋าก่อนหน้านี้ เขาเห็นพลังต่อสู้ของหลินเจิ้งเหรินมาแล้ว สยงเวิ่นคนนี้ต้องแข็งแกร่งมากเป็นแน่
ความคิดหลายอย่างปรากฏขึ้น และถูกตัดทิ้งไปทีละเรื่อง
เขาสับสนจนเกือบจะสิ้นหวัง แต่ว่าเขาสิ้นหวังไม่ได้
จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ วันนี้เขาไม่ได้ไปรับอันอัน อันอันจะกลับบ้านเองหรือไม่ นางจะกลัวหรือเปล่า
จากนั้นจึงคิดต่อไปถึงแม่นางน้อยที่ชื่อชิงจื่อ คิดไปถึงชายชราสกุลกุ้ยที่ลึกล้ำเกินหยั่งคนนั้น
ไม่แน่ว่า…
เขารีบปัดความคิดเหล่านี้ทิ้งไปโดยเร็ว เขาจะพาอันตรายไปหาเจียงอันอันไม่ได้
ทว่าพอคิดถึงอันอัน เขาก็มีพลังขึ้นมา
“ข้ามีสหายคนหนึ่ง…” เจียงวั่งเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก “แต่ว่าข้าพาท่านไปสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้ไม่ได้ ข้าไม่อาจทำร้ายเขา”
ชายหัวล้านเหมือนจะเกิดความสนใจ “แล้วอย่างไรต่อ”
“เขามีเรือนอยู่หลังหนึ่งในตระกูล ไม่มีคนไปพักนานมากแล้ว เงียบสงบมาก และไม่มีคนมารบกวน” เจียงวั่งเสริมอย่างระมัดระวัง “แต่ปัญหาก็คือ ตระกูลของเขาแข็งแกร่งมาก หากพวกเราไม่ระวังอาจจะเกิดความยุ่งยากขึ้นได้”
“อ้อ? แข็งแกร่งแค่ไหนล่ะ” ในน้ำเสียงของชายหัวล้านมีแววดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง ตระกูลท้องถิ่นในเขตเมืองเฟิงหลินไม่มีทางอยู่ในสายตาเขาอยู่แล้ว
“เป็นตระกูลฟางหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ เป็นไปได้ว่าจะมีพวกเหนือมนุษย์อยู่ ส่วนสถานการณ์จำเพาะเจาะจงข้าไม่ค่อยชัดเจนนัก”
สหายที่เจียงวั่งพูดถึง แน่นอนว่าคือฟางเผิงจวี่ พิจารณาดูทั้งเมืองเฟิงหลิน ในขอบเขตที่เจียงวั่งรู้จัก นอกจากจวนเจ้าเมืองกับสำนักเต๋าแล้ว สิ่งเดียวที่จะสร้างความยุ่งยากให้กับมารกลืนจิตใจได้ก็มีเพียงสามตระกูลใหญ่
ในจำนวนนั้นเขาไม่ได้มีความแค้นอะไรกับตระกูลจางตระกูลหวาง แต่ฟางเผิงจวี่มีความแค้นสังหารกับเขา ฟางเฮ่อหลิงก็เอาแต่ตอแยเขาไม่หยุด ครั้งที่แล้วเขายังหักหน้าฟางเจ๋อโฮ่วอีกด้วย…
จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ ในสามตระกูลใหญ่นี้เขาคุ้นเคยกับตระกูลฟางเท่านั้น และก็เคยไปแต่พื้นที่ของตระกูลฟาง
เรือนหลังเล็กในพื้นที่ของตระกูลฟางที่เขาอธิบายไป ฟางเผิงจวี่เคยร่ำสุราคุยเล่นกับเขา เคยนั่งเสวนากันใต้แสงเทียน
ตอนนี้ ต้องดูว่าชายหัวล้านจะเห็นด้วยกับตัวเลือกนี้หรือไม่
เมื่อเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตนเอง ชายหัวล้านขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “นำทางไป”
เจียงวั่งแอบโล่งอก
ผ่านด่านแรกแล้ว!
……………………………………….