ยอดฝีมือลึกลับที่มาจากรัฐอวิ๋นบัญชาการสัตว์เมฆารับมืออยู่เพียงคนเดียว ณ ที่นั้น และก็เพราะเหตุนี้ ในยามที่คลื่นสัตว์ทลายกำแพงจึงไม่มีใครคุ้มกัน
ในเสี้ยวพริบตาที่กำแพงหินพลันถล่มลง ผู้บำเพ็ญที่ต้านทานอยู่แนวหน้าแทบจะไม่มีใครยังเหลือจิตใจไปสนใจอะไร เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ผู้บำเพ็ญเกือบครึ่งก็ล้มลง หายไปในฝูงสัตว์ร้ายไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ส่วนสัตว์เมฆาเหล่านั้นแม้จะไม่กลัวตายกลัวเจ็บ แต่ก็มีเพียงสัญชาติญาณการต่อสู้ ไม่มีสติปัญญา การเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนล้วนอาศัยการควบคุมจากผู้สำแดงวิชาทั้งสิ้น
พวกมันไม่มีทางตัดสินใจพลีชีพเพื่อช่วยเจ้านายอะไรประเภทนั้นได้เลย แน่นอน ในสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่มีโอกาสแบบนั้นเช่นกัน
สัตว์เมฆาร้อยกว่าตัวดูเหมือนมาก แต่อยู่หน้าคลื่นสัตว์ร้ายที่กวาดโหมมาก็ถูกท่วมจมในพริบตา
ในความจริงแล้วเมื่อสัตว์ร้ายเหี้ยมเกรียมเหล่านั้นปะทะหน้ามา ในหัวของเยี่ยชิงอวี่ก็ว่างโล่งโดยสิ้นเชิง
นางมีฐานะชาติกำเนิดจากตระกูลสูง กินลูกกลอนเปิดชีพจรที่ดีที่สุด เลือกฝึกวิชาที่เข้ากันได้ดีที่สุด การบำเพ็ญทุกก้าวล้วนทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ออกมารับภารกิจครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่อารมณ์สนใจชั่ววูบเท่านั้น ตั้งใจแอบผู้ใหญ่มา คิดอยากจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง
และก่อนหน้านี้นางไม่เคยผ่านความเป็นความตาย การฆ่าล้างสังหารของจริงมาก่อนเลย และไม่มีความจำเป็นนั้นเช่นกัน
ดังนั้นนางไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยว่า ยามเผชิญหน้ากับวิกฤตความเป็นตายของจริง ความรู้สึกแบบนั้นมันชวนให้คนสั่นสะท้านได้ถึงเพียงนี้!
นางแทบจะได้กลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนจากในปากมหึมาของสัตว์ร้ายตัวนั้น แทบจะเห็นสีแดงเลือดหลังเขี้ยวคม
จากนั้นนางก็เห็นแสงกระบี่สีม่วงทะลักถาโถม หอบม้วนแผ่ระลอกทางหนึ่ง
หมอกม่วงมงคลแห่งบูรพา เจ้าครองรัฐเหลือบมองหวั่นเกรง!
หมอกสีม่วงโหมบ่าแยกขิ้นส่วนสัตว์ร้ายตัวนี้ เจียงวั่งร่างมาถึงตามกระบี่ ถีบสตรีที่ยืนโง่งมคนนั้น “มัวอึ้งอยู่ทำอะไร!”
เขาพลิกมือดีดกระสุนเพลิงระเบิดออก ตีลังการหลายตลบก็กลับไปยังสนามศึกอีกครั้ง
ในยามที่คลื่นสัตว์ทลายกำแพง เขาเป็นคนจำนวนน้อยที่ตั้งสติได้และทำการโจมตีกลับ แต่แนวป้องกันแถวแรกแตกพ่ายเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว อาศัยเขาไม่มีทางแก้ไขได้เลย
ดังนั้นเขาจึงถอยหนีจากไปอย่างไม่ลังเล และมุ่งหน้าไปทางที่เจ้าหรู่เฉิงอยู่ตามความทรงจำ ส่วนที่ช่วยผู้บำเพ็ญรัฐอวิ๋นลึกลับคนนี้ก็แค่ถือโอกาสช่วยไปด้วยเลยก็เท่านั้น
คนที่เขาเป็นห่วงจริงๆ คือเจ้าหรู่เฉิง แม้ว่าเจ้านี่จะมีความลับมากมาย แต่อย่างไรก็เปิดชีพจรได้ไม่นาน ใช่ว่าจะปลอดภัย
……
เยี่ยชิงอวี่ลอยอยู่กลางอากาศครู่หนึ่งถึงตั้งสติได้
ความคิดแรกคือข้ารอดแล้ว!
ความคิดที่สองคือ ข้าถูก…ถีบอย่างนั้นหรือ
นางพลิกตัวยืนให้มั่นคง หลอมสัตว์เมฆาไปตามมือมาสองตัว ถึงได้เหลียวซ้ายแลขวาอย่างอกสั่นขวัญแขวน พบว่าไม่มีใครมีอารมณ์มาสนใจนาง ส่วนเจ้าคนที่ช่วยนางคนนั้นก็ไม่เห็นแม้แต่เงาแผ่นหลังแล้ว
นางยืนอยู่บนหลังสัตว์เมฆาตัวหนึ่งถอยร่น มองไปรอบๆ ล้วนแต่เป็นเงาร่างอาบเลือดสู้ศึกอย่างห้าวหาญ
ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้สึกใบหน้าร้อยวาบด้วยพลังของนางรวมกับเคล็ดวิชาที่ศึกษาเชี่ยวชาญ รวมกับของวิเศษลับที่เอามาติดตัวไม่ควรจะทำตัวไม่ถูกลนลานแบบนี้ ขอเพียงสำแดงออกมาได้อย่างเหมาะสม แม้จะสังหารฝ่าทะลวงคลื่นสัตว์ไม่ได้ แต่ปกป้องตัวเองไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย
แต่เมื่อครู่นางเกือบมอดม้วย!
นึกถึงตรงนี้ นางก็หยิบถั่วสีทองที่เปล่งแสงเจิดจ้าสองเม็ดออกมาจากแขนเสื้อ แล้วโยนไปข้างหน้า
ถั่วเม็ดนั้นขยาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงสีทอง กลายเป็นทหารศึกเกราะทองสองคน ถือดาบพุ่งเข้าไปในคลื่นสัตว์
สัตว์ร้ายเข้ากัดทึ้ง ฟันกลับหักร่วง ส่วนทหารเกราะทองฟันไปหนึ่งทีก็สังหารสัตว์ร้ายได้หนึ่งตัว ประหนึ่งฟันแตงหั่นผัก กำราบสยบไร้ความเกรงกลัว
สาดเม็ดถั่วจำแลงทหาร!
นอกจากเมล็ดถั่วหาได้ยาก ราคาสูงลิบลิ่วแล้ว ก็ไม่มีข้อเสียใดๆ เลย
โดยเฉพาะถั่วทองระดับนี้ ต่อให้เป็นเยี่ยยชิงอวี่ก็ยังรู้สึกเจ็บปวด พูดได้ว่าโยนถั่วทองสองเม็ดนี้ออกไป ต่อให้ภารกิจนี้สำเร็จก็ขาดทุน
กลับมาพูดถึงเจียงวั่ง เขาฟาดฟันกระบี่ไม่ยั้งวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ตลอดทางมาก็ถือโอกาสสังหารสัตว์ร้ายช่วยคนไปด้วย แต่เส้นทางก็มุ่งหน้าลงเขาไป
เพราะคลื่นสัตว์ร้ายกำลังมุ่งหน้าลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว
นี่หมายถึงว่าแนวป้องกันที่สองกำลังอยู่ในอันตรายเช่นกัน
เจียงวั่งใจร้อนรน ทันใดนั้นดวงตาก็ฉายประกายวาววาบ
เงาข้างหน้าที่สู้ไปด้วย ถอยไปด้วย ดูแล้วสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อนร่างนั้น ไม่ใช่เจ้าหรู่เฉิงแล้วจะเป็นใคร
ถึงแม้เขาจะถอยเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่ลนลานไม่รู้ทิศทางหรือหันหลังวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งแบบนั้นแน่นอน แต่กลับเลือกใช้วิธีที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
เดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา กระทั่งว่ามีบุกไปข้างหน้าเป็นบางครั้ง
แต่ทุกที่ที่ผ่าน ไม่มีภูเขา ก้อนหินคุ้มกัน ก็เป็นหลุมเป็นแอ่งสกัดกั้น สรุปแล้วไม่ว่ายามใดที่เผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายที่ปะทะหน้ามาล้วนไม่เกินสามตัว
กำลังรบที่เขาแสดงออกมาไม่นับว่าแข็งแกร่ง แต่ดูแล้วกลับสบายกว่าเจียงวั่งมาก เหมือนเดินเล่นอยู่สวนหลังบ้านชัดๆ
เจ้าหรู่เฉิงเห็นเจียงวั่งทะยานมาก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “เฮ้ๆ อย่าเข้ามา!”
แต่เจียงวั่งกระโดดมาถึงแล้ว แค่สามสี่กระบี่ก็ฟันสัตว์ร้ายข้างหน้าเขาตาย ทั้งยังอวดวิชาเถาวัลย์พันธนาการ “ดูพี่สามนะ!”
ตามหลักแล้ว ทั้งสองคนสู้ร่วมกัน การต่อสู้น่าจะยิ่งสบายขึ้นถึงจะถูก แต่ไม่รู้ว่าทำไม เหมือนว่าสัตว์ร้ายที่ต้องเผชิญหน้ามีมากขึ้น ทำให้ความกดดันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เจ้าหรู่เฉิงหมุนตัว เอ่ยอย่างโมโหนัก “ตามข้ามา”
เจียงวั่งขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตามจังหวะการถอยหนีของเจ้าหรู่เฉิงไป การต่อสู้สบายขึ้นจริงๆ ด้วย
“พี่สาม แต่ก่อนท่านก็ชอบใช้สมองนี่นา ทำไมตอนนี้กลับเหมือนเจ้าเสือตู้ขึ้นทุกทีแล้ว”
“ฮ่าๆ ข้าแต่ก่อน…” เจียงวั่งตบหัวเขาไปหนึ่งที “ว่าใครไม่มีสมอง ไม่รู้จักเด็ก ไม่รู้จักผู้ใหญ่!”
“จริงด้วย เจ้าเห็นหวงอาจ้านไหม” เจียงวั่งถามขึ้นอีก
เจ้าหรู่เฉิงเบ้ปาก “ผ่านแวบไปข้างหน้า จะดึงก็ดึงไม่ทัน หนีไวกว่าใครเพื่อนเลย!”
เช่นนั้นก็ดี
ส่วนหลีเจี้ยนชิวนั่นยิ่งไม่ต้องให้เขาเป็นห่วง หากขนาดหลีเจี้ยนชิวยังเกิดเรื่อง เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้
เจียงวั่งหมุนตัวกลับไปมอง นั่นเป็นทางที่โต้วเยวี่ยเหมยเจ้าเมืองซานซานอยู่
หากมีแผนสำรองก็ควรเป็นเวลานี้แล้ว
……
ในตอนที่เหยี่ยวหยินหยางสองหัวปรากฏขึ้นเป็นกลุ่มสองและกลุ่มสามอยู่แนวหน้าแถวแรก กลุ่มสี่กลุ่มห้ารอเสริมกำลัง เป็นแนวป้องกันแถวที่สอง
และตอนนี้แม้แต่กลุ่มหนึ่งที่ถอยไปได้ไม่นานก็ต้องกลับมาต้านทานอีกครั้งแล้ว
ผู้บำเพ็ญทั้งหมดล้วนมาต้านทานเอาไว้ ส่วนโต้วเยวี่ยเหมยทางนั้นเหมือนไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร
ไม่ถูก ทำไมตอนนี้จู่ๆ ถึงได้เงียบแบบนี้
เจียงวั่งพลันตั้งสติขึ้นมาได้ เสียงเหยี่ยวที่ร้องตลอดอยู่นานเงียบไปแล้ว
นี่หมายความว่าเหยี่ยวหยินหยางสองหัวตัวนั้นถูกฆ่าไปแล้ว!
เจ้าสำนักเต๋าเมืองซานซานตอนนี้ยืนอยู่ข้างซากเหยี่ยว ถอนหายใจโล่งอกออกมาอย่างอดไม่ได้
ภาพนี้เหมือนกับเมื่อสองปีก่อนที่ซุนเหิงบุกสังหารไปยังเขายอดพู่กันเพียงลำพัง สังหารเหยี่ยวหยินหยางสองหัว กำชัยชนะไว้ได้
คลื่นสัตว์เหมือนจะหยุดชะงักไปในพริบตานี้ และจากนั้น ในกลุ่มผู้บำเพ็ญก็พลันมีเสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้น
แต่เสี้ยวขณะต่อมา
“แกว๊กกกกก!”
“กรูวววว……”
เสียงเหยี่ยวดังรับกันเป็นระลอกคลื่นดังขึ้นอีกครั้ง กลบเสียงโห่ร้องยินดีของผู้บำเพ็ญมิด
โคมนภากระจ่างส่องให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีเหยี่ยวหยินหยางสองหัวฝูงหนึ่งมาอย่างมืดฟ้ามัวดินจากทางยอดเขาหยกสมดุล
“แกว๊กกกกกก!”
“กรูววววว……”
เสียงร้องนี้ทั้งชั่วร้ายแปลกประหลาดและบ้าคลั่ง
ที่เขาหยกสมดุลมีเหยี่ยวหยินหยางสองหัวใช้ชีวิตอยู่ฝูงหนึ่ง!
เจ้าสำนักเต๋าเมืองซานซานไม่ทันได้ตั้งตัว เพียงแค่เสี้ยวพริบตาก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
ฝูงสัตว์คำรามอย่างบ้าคลั่ง
หินผาระเบิดพังถล่ม ต้นไม้สั่นสะเทือนหักโค่น
เสาแสงสีแดงที่รุนแรงร้อนแผดเผาพุ่งปะทะหน้ามา เจียงวั่งและเจ้าหรู่เฉิงแยกจากกันหลบหลีกออกสองฝั่ง
มีเพียงสัตว์ร้ายจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถสำแดงพลังพรสวรรค์วิชาเวทได้ และหากเป็นสัตว์ร้ายที่มีพรสวรรค์วิชาเวท ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่มวลสัตว์ร้ายอย่างแน่นนอน
เสาแสงทางนี้พุ่งผ่ากลางระหว่างเจียงวั่งและเจ้าหรู่เฉิงกรีดพื้นดินเป็นหลุมลึกหลุมหนึ่ง
ส่วนเจียงวั่งและเจ้าหรู่เฉิงตอนนี้ก็ต้องแยกจากกันอีกครั้ง
เพราะคลื่นสัตว์ที่โหมทะลักมาหอบม้วนกลืนทุกอย่างจนสิ้น!
………………………………………………………