“ซึ่งก็หมายความว่า ข่าวที่ข้าได้มาอย่างยากเย็น ทั้งยังจ่ายค่าตอบแทนเพื่อให้เสิ่นหนานชีพาเจ้าไปด้วย ทำให้เจ้าได้ร่วมภารกิจเดียวกับเยี่ยชิงอวี่ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้ากลับไม่ได้พูดกับนางแม้แต่ประโยคเดียวอย่างนั้นหรือ”
ฟางเจ๋อโฮ่วนั่งพิงเก้าอี้ สีหน้าไร้อารมณ์
ฟางเฮ่อหลิงยืนตัวตรงอยู่อย่างนั้น พลางเอ่ยขึ้นว่า “เยี่ยชิงอวี่ชาติกำเนิดสูงส่ง หยิ่งทะนง ตั้งแต่ต้นก็ล้วนอยู่ลำพังเพียงคนเดียว ไม่ข้องเกี่ยวกับผู้อื่น ข้าคิดว่า เทียบกับเข้าไปทำให้นางรังเกียจแล้ว มิสู้รักษาความนิ่งสงบ เช่นนี้แม้จะไม่ได้ทิ้งความทรงจำอะไรให้นาง แต่อย่างน้อยก็รักษามิตรภาพที่เคยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาได้”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าขอเพียงเยี่ยชิงอวี่เพียงประโยคเดียว การค้าของเราที่รัฐอวิ๋นก็จะขยายใหญ่ขึ้นร้อยเท่า” ฟางเจ๋อโฮ่วถาม
“ดังนั้นประโยคของนางเพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้เส้นทางการค้าที่ท่านพ่อเบิกทางขึ้นมาอย่างยากลำบากขาดสะบั้นโดยสิ้นเชิงได้เช่นกัน”
ฟางเจ๋อโฮ่วไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ “ก้งเฟิ่งหลี่เตรียมตัวพร้อมแล้ว เจ้าไปฝึกบำเพ็ญกับเขาเถอะ”
ฟางเฮ่อหลิงหมุนตัวจากไป
จวบจนกระทั่งเงาของลูกชายที่ดูผอมสูงโปร่งจากไปไกลลิบแล้ว ฟางเจ๋อโฮ่วจึงได้เผยรอยยิ้มออกมา
“ลูกชายข้า…โตแล้ว!”
……
หอสามจรุง
จู้เหวยหว่อเหมาชั้นหนึ่งเต็มๆ ดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพังที่นี่
ตัวอยู่ในหอคณิกา แค่ในอ้อมอกของเขาไม่มีหญิงสาวเลยสักคน
เหล่าหญิงสาวที่คลุมผ้าโปร่งบางขับร้องร่ายรำอยู่บนเวทีสูง หอกอุปมาแห่งความตายที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วรัฐจวงพิงอยู่ข้างโต๊ะ
แววตาของเขาฉ่ำเยิ้ม ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
รินเองดื่มเอง สนุกอยู่กับตัวเอง
เจียงวั่งเดินขึ้นมาข้างบนในเวลาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอึ้งไปเล็กน้อย
เดิมเขาคิดว่าคนที่ชอบอวดอ้างตัวเองเป็นนักหนาอย่างจู้เหวยหว่อเช่นนี้ มายังหอสามจรุงก็จะต้องโอบซ้าย กอดขวา ทำอะไรตามใจตน คิดไม่ถึงว่าเพียงดื่มสุรา ชมการร่ายรำเท่านั้น
เห็นเจียงวั่งที่มาโดยไม่เชิญ คิ้วเรียวดุจกระบี่ของจู้เหวยหว่อเลิกขึ้น ไม่พูดอะไรแต่รัศมีอำนาจน่าครั่นคร้ามนัก
“ศิษย์พี่จู้” เจียงวั่งเอ่ยตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “ถือวิสาสะมาหาเพราะมีเรื่องอยากจะขอร้องจริงๆ”
จู้เหวยหว่อดื่มเหล้าจอกหนึ่ง สีหน้าหยอกล้อ “เจ้าอาศัยอะไรมาคิดว่าข้าจะช่วยเจ้า”
เขาไม่ถามว่าเรื่องอะไร ทั้งไม่ถามว่าทำไมเจียงวั่งจึงมาหาเขา เพราะเขาไม่สนใจจริงๆ
ในเขตปกครองชิงเหอแห่งนี้ เรื่องที่ควรค่าให้เขาสนใจมีไม่กี่เรื่อง
เจียงวั่งตอบไปว่า “เพราะท่านคือศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน และข้าคือเจียงวั่งแห่งสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน”
เจียงวั่งไม่ได้พูดถึงมิตรภาพของพวกเขาในศึกสังหารสยงเวิ่นครั้งนั้น เพราะพวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดี ครั้งนั้นคนที่ได้กำไรคือเจียงวั่งคนนี้ จู้เหวยหว่อไม่ได้ติดค้างอะไรเขา
จู้เหวยหว่อหัวเราะ “เจ้าอยากจะบอกว่าเจ้าควรค่าแก่การสนใจหรือ เจ้าคิดว่าข้าต้องสนับสนุนลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาในสายในใหม่ๆ แบบเจ้าอย่างนั้นหรือ”
เจียงวั่งไม่รู้สึกอัปยศที่ถูกดูถูกแม้แต่น้อย เพราะจู้เหวยหว่อในตอนนี้มีคุณสมบัติเช่นนั้นจริงๆ
เขาแค่ตอบไปว่า “เหตุผลข้อที่สองคือ หลินเจิ้งเหรินทำอะไรน่ารังเกียจ ศิษย์พี่จู้ท่านเป็นผู้สูงส่งมีธุระมากมาย ขี้เกียจจะไปสนใจ แต่ให้ศิษย์น้องไปยั่วโมโหเขาสักหน่อยก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
จู้เหวยหว่อไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ยื่นมือตบๆ ไปที่ทวนยาว “เจ้ารู้จักทวนเล่มนี้หรือไม่”
“ประกายแสงของทวนอุปมาแห่งความตายศิษย์น้องชาตินี้ยากจะลืมเลือน”
“เมื่อสามสิบปีก่อน มันเป็นเพียงท่อนไม้ไร้ค่าไม่มีใครรู้จักล้มอยู่กลางภูเขา ชายตัดฟืนคนหนึ่งเก็บมันกลับบ้านไปทำฟืน แต่มันไหม้อยู่สามสิบปีก็ไม่มอดดับ ภายหลังมีช่างตีเหล็กชื่อดังคนหนึ่งได้ยินเรื่องนี้ ก็ซื้อมาด้วยราคาสูงลิบ รวมมันกับหินนอกพิภพ ตีเป็นทวนขึ้น นี่ก็คือที่มาของทวนอุปมาแห่งความตาย” จู้เหวยหว่อถามขึ้นว่า “ฟังเรื่องนี้แล้วเจ้ามีความคิดอย่างไร”
“ข้าคิดว่าชายตัดฟืนที่ได้ค่าตอบแทนสูงลิ่วคนนั้นจุดจบของเขาจะต้องโชคร้ายอย่างแน่นอน” เจียงวั่งเอ่ยทอดถอนใจ “จู่ๆ เขาได้ทรัพย์สินมหาศาล แต่ไม่มีความสามาถที่จะรักษามันเอาไว้ได้”
จู้เหวยหว่อยิ้ม “มาดื่มเหล้ากับข้า”
……
วันที่สามเดือนเหมันต์
เรือเล็กลำหนึ่งล่องจากแม่น้ำหลิวขจี เข้ามายังแม่น้ำชิง เข้ามาในเมืองวั่งเจียงจากประตูวารี
นับจากที่จู้เหวยหว่อบุกเมืองด้วยทวนเล่มเดียว กองทัพประจำเมืองก็ระแวดระวังเรือที่มาจากทางเมืองเฟิงหลินเป็นอย่างมาก
เรือลำนี้มีคนสามคน เจียงวั่ง หลิงเหอและเจ้าหรู่เฉิง
ครั้งนี้เขามาต่อสู้จริงๆ สองพี่น้องร่วมเป็นตายทั้งสองย่อมตามมาด้วย หากไม่ใช่ว่าตู้เหยี่ยหู่อยู่ไกลถึงเมืองจิ่วเจียงไม่ได้ข่าว ครั้งนี้ก็ไม่มีทางพลาดเหมือนกัน
อันอันฝากไว้ให้หวงอาจ้านดูแล นับว่าไม่มีอะไรต้องกังวล
ในบรรดาคนทั้งสามเจียงวั่งรากฐานสร้างสำเร็จแล้ว กำลังสร้างกระแสวนเต๋าวงที่สองภายใต้การช่วยเหลือจากกระแสวนเต๋าแม่น้ำดาราด้วยความเร็วอันน่ากลัว แน่นอนความเร็วที่น่ากลัวนี้แค่เทียบกับการสร้างกระแสวนเต๋าวงแรกเท่านั้น
ตอนนี้ภายใต้ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย เจียงวั่งสามารถทำการทะลวงชีพจรได้สี่ครั้งต่อวัน และกระแสวนเต๋าก็จะให้รากฐานพลังเองวันละเก้าเม็ด ด้วยความเร็วเช่นนี้ กระแสวนเต๋าวงที่สองใช้เวลาไม่ถึงเดือน
นอกจากนั้นนอกจากเจ้าหรู่เฉิงที่อยู่ในขั้นเปิดชีพจรแล้ว หลิงเหอก็สร้างรากฐานสำเร็จแล้วเช่นกัน
วันที่เขาเปิดชีพจรคือวันที่เก้าเดือนเก้า รากฐานพลังสร้างสำเร็จในวันที่สองเดือนเหมันต์ วันก่อนวันเดินทางหนึ่งวันนั่นเอง ผู้บำเพ็ญวิญาณแท้ชีพจรเต๋าระดับธรรมดาใช้แผนผังวิญญาณหวนกำเนิดสร้างรากฐานพลัง ขีดจำกัดของความเร็วคือใช้เวลาสี่สิบเอ็ดวันในการสร้างให้สำเร็จ
หลิงเหอก็เป็นขีดจำกัดความเร็วสร้างรากฐานพลังสำเร็จด้วยพรสวรรค์ธรรมดาทั่วไปเช่นนี้
นี่หมายความว่าการฝึกบำเพ็ญของเขาไม่มีวันใดที่เกียจคร้านเลย ทั้งยังเคลื่อนย้ายรากพลังเต๋าได้โดยไม่ล้มเหลวแม้เพียงครั้งเดียว!
รากฐานที่มั่นคงจนน่ากลัวสะท้อนให้เห็นบนกำลังรบ แม้เขาจะเพิ่งสร้างรากฐานพลังเสร็จ แต่ก็ไม่แพ้ให้กับผู้บำเพ็ญรากฐานพลังทั่วไปแล้ว
สามพี่น้องเข้าเมืองก็มุ่งหน้าไปทางเรือนเล็กที่หลินเจิ้งหลุนและซ่งหรูอี้อาศัย
ข้อมูลของที่แห่งนี้หาไม่ยาก แน่นอนว่าไม่ผิดกับที่เจียงวั่งคาดการณ์เอาไว้ เรือนที่พักว่างโล่ง ไม่มีแม้เงาคน
การตายของซ่งหรู้อี้ถูกลงเอาไว้ในบันทึกของทางการเมืองวั่งเจียงว่าฆ่าตัวตาย แต่สินเดิมเจ้าสาวที่นางนำติดต่อมาตกเป็นของใคร เหตุผลที่นางฆ่าตัวตายกลับไม่มีบันทึกไว้
ข้อมูลพวกนี้ เจียงวั่งในฐานะที่เป็นลูกศิษย์สำนักเต๋าล้วนสามารถสืบอ่านได้
หลิงเหอและเจียงวั่งแยกกันไปถามเพื่อนบ้านความสัมพันธ์ของซ่งหรูอี้และหลินเจิ้งหลุนในยามปกติ แต่คนเหล่านี้ล้วนปิดปากเงียบ——นี่บอกถึงปัญหา
แม้เรื่องจะมีเงื่อนงำแต่ตระกูลหลินเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองวั่งเจียง หากไม่มีใครสืบสาวราวเรื่อง เรื่องก็เป็นไปตามนั้นแล้ว
แต่โลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรปิดไว้ได้
เจ้าหรู่เฉิงเข้าเมืองไปเดินวนรอบหนึ่ง กลับมาก็ได้ข้อมูลทุกอย่างแล้ว
หลินเจิ้งหลุนได้เป็นผู้ดูแลการค้าวัตถุดิบยาตระกูลหลินได้อย่างไร ทั้งยังกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว ย้ายมาอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้ได้อย่างไร วันที่ซ่งหรูอี้ฆ่าตัวตายวันนั้น ทั้งสองคนทะเลาะกันอย่างรุนแรง…
เรื่องชัดมาก การตายของซ่งหรูอี้ เกี่ยวพันกับหลินเจิ้งหลุนแน่นอน
หลินเจิ้งหลุนไม่อยู่ที่บ้าน ย่อมอยู่ในพื้นที่ตระกูลหลินอยู่แล้ว
……
ด้านตะวันออกเมืองวั่งเจียง พื้นที่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งถูกแบ่งให้เป็นของตระกูลหลินทั้งหมด
ซุ้มประตูสูงใหญ่รักษาประตูเอาไว้ เหมือนเมืองในเมือง
ตอนนี้พวกเจียงวั่งทั้งสามคนยืนอยู่หน้าเมืองแห่งนี้
“หยุดนะ!” องครักษ์ตระกูลหลินสองคนอยู่หน้าซุ้มประตู จ้องมองหน้าตาขึงขัง
“ข้ามาหาหลินเจิ้งหลุน” เจียงวั่งพูด
“เขาไม่อยู่!”
“อย่านั้นหรือ เช่นนั้นข้าเข้าไปดูหน่อย”
องครักษ์เดือดดาลเอ่ยขึ้น “พื้นที่ตระกูลหลินเป็นที่ที่เข้าอยากจะเข้าก็เข้าหรือ”
เจ้าหรู่เฉิงแค่นเสียงหัวเราะเย็นขึ้นจมูก “ขาอยู่กับท่านปู่ข้าคนนี้ เจ้าจะขวางก็ขวางได้อย่างนั้นหรือ”
สองฝ่ายชักอาวุธพร้อมปะทุ
“เจียงวั่งเจ้าคิดให้ดีนะ!” เงาร่างคุ้นเคยร่างหนึ่งเดินจากพื้นที่ตระกูลออกมา ใบหน้าฉายรอยยิ้มเย็นอย่างได้ใจไม่มีความเกรงกลัวเพราะมีตระกูลเป็นกำลังอยู่เบื้องหลัง “บุกพื้นที่ตระกูลหลินเท่ากับประกาศสงครามกับตระกูลหลิน ไม่ตายไม่เลิกรา! สำนักเต๋าก็ปกป้องเจ้าไม่ได้!”
ไม่ใช่หลินเจิ้งหลี่แล้วจะเป็นใครไปได้
“ที่แท้พื้นที่ตระกูลหลินบุกไม่ได้อย่างนั้นหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…” เจียงวั่งหัวเราะแปลกๆ ออกมา
“เช่นนั้นพวกเจ้า…”
เขาเลิกคิ้ว ชักกระบี่!
ประกายกระบี่ระยิบระยับพร่างพรายที่ปะทุออกมาวาดไปที่ข้างหน้าเขา ขีดเป็นรอยแยกที่บางมาก ลึกมากทางหนึ่ง
“ใครหน้าไหนก็ไม่ต้องออกมาทั้งนั้น!”
ตระกูลหลิน ตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองวั่งเจียง
ทั้งตระกูลถูกสยบด้วยกระบี่เดียว
………………………………………………………