“ก่อนที่หลินเจิ้งหลุนจะปรากฏตัว พวกเจ้าตระกูลหลินทุกคนใครก็ห้ามออกจากประตูข้ามเส้นนี้ไป มิเช่นนั้นจะถือเป็นการท้าทายต่อข้า! ข้าจะจัดการคนผู้นั้นเสีย!”
เจียงวั่งพาดดาบอยู่เบื้องหน้าพื้นที่ตระกูลหลิน ใบหน้าเย็นชา ไม่ได้ดูเหมือนพูดเล่นเลยแม้แต่น้อย
หลินเจิ้งหลี่ตกตะลึงอย่างประหลาด แต่ก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวใดๆ มีเพียงความตกตะลึงอย่างเดียว กระทั่งรู้สึกว่านี่มันช่างไร้สาระเสียด้วยซ้ำ
คนแค่สามคน กลับมาขวางประตูตระกูลหลินเอาไว้
เจ้าพวกนี้เอาความกล้ามาจากไหน เอาพลังมาจากที่ใดกัน
เจ้าของเสียงแม้จะอยู่ไกล แต่เสียงกลับสะเทือนก้องอยู่ในหู
“สกุลเจียงเอ๋ย เจ้าช่างปากกล้าเสียเหลือเกิน! เจ้าคิดว่าข้าไม่สังหารคนหรือไรกัน”
นั่นคือพลังการรบที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันของตระกูลหลิน เสียงของหลินเจิ้งเหริน!
พลังของคนผู้นี้ลึกล้ำ แผนการลึกเกินหยั่ง เวลานี้กลับปิดความโมโหในน้ำเสียงได้ไม่มิด
กลางวันแสกๆ ยังมาทำเป็นตัวตลกกระโดดโลดเต้นอยู่บนสะพาน คิดว่าใครก็สามารถมาพาลเกเรที่ตระกูลหลินได้งั้นหรือ
บนหลังเจียงวั่ง แบกกล่องไม้ยาวไว้กล่องหนึ่ง เขาแบกมาตลอดตั้งแต่ออกจากเมืองเฟิงหลินจนถึงเมืองวั่งเจียง
พอได้ยินเสียงหลินเจิ้งเหริน เขาก็ไม่ตกใจหรือพรั่นพรึง
เพียงแต่ปลดกล่องยาวนี้ลงมา เปิดออก หยิบเอาหอกยาวโบราณเรียบๆ เล่มหนึ่งออกมา
รูปร่างภายนอกหอกอุปมาความตายไม่หวือหวาอะไรนัก ปลายหอกราวกับเป็นการรวมกันของคมเย็นเยียบ ตัวหอกกระทั่งไม่เรียบลื่น เป็นรอยจากการเผาไหม้ในเตาหลอมเมื่อสามสิบปีที่แล้ว
แต่ทว่ามันตอนนี้กลับเป็นอาวุธที่รุ่งโรจน์ลือชื่อที่สุดในเขตปกครองแม่น้ำชิง
เจียงวั่งคว่ำหอกอุปมาความตายปักมันลงข้างเท้าลึกลงไปหลายชุ่น
“ศิษย์พี่จู้พูดไว้ว่า ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกบำเพ็ญระดับเคลื่อนชีพจรคนหนึ่ง ที่ข้ามาเมืองวั่งเจียงก็มีเหตุและผลอยู่ ผู้ฝึกบำเพ็ญระดับเคลื่อนชีพจรคนใดก็ได้ในเมืองวั่งเจียงล้วนสามารถท้าประลองกับข้าได้ ต่อให้สังหารข้าจนตาย เขาก็จะไม่สนใจ แต่หากมีผู้ฝึกบำเพ็ญที่ระดับสูงกว่าเคลื่อนชีพจรคนใดลงมือ ใช้พลังที่สูงกว่าบดขยี้พลังที่ต่ำกว่า ไม่ว่าคนที่ลงมือจะเป็นใคร หลังจากที่เข้าสู่สำนักเต๋ารัฐแล้ว เขาก็จะจ้องเล่นงานแต่หลินเจิ้งเหริน เจอครั้งหนึ่ง ก็จะเล่นงานเสียครั้งหนึ่ง!”
คำพูดนี้ของเจียงวั่ง อัดแน่นด้วยพลังรากเต๋า น้ำเสียงสั่นสะเทือนไปทั้งพื้นที่ตระกูลหลิน
และเสียงของหลินเจิ้งเหรินก็ไม่ดังลอดออกมาอีก กระทั่งไม่มีความคิดที่จะปรากฏตัวเสียด้วยซ้ำ
ราวกับว่าเสียงตำหนิเคืองก่อนหน้านี้เป็นแค่ทุกคนหูฝาด
หอกอุปมาความตายอยู่ที่นี่ มันจึงเป็นตัวแทนของจู้เหวยหว่อ
ก่อนหน้าที่หอกจะสะกดเมืองวั่งเจียง จู้เหวยหว่อไม่ได้มีแรงคุกคามมากขนาดนี้ แต่ปัจจุบัน เพียงแค่ชื่อของเขา ก็เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนคุกคามอีกฝ่ายแล้ว
การนิ่งงันไปในทุกๆ อึดใจ ใบหน้าตระกูลหลินก็เหมือนกับบวมขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
ดังนั้นความเงียบงันนี้เพียงไม่นานก็ถูกทำลายลง ผู้อาวุโสผมขาวคนหนึ่งค้ำตัวด้วยไม้เท้า เดินออกมาภายใต้การประคองของลูกน้อง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจิ้งหลี่เจ้าก็ออกไปลองเสียหน่อย” เสียงของผู้อาวุโสไม่ดังนัก แต่มีพลังแห่งการสังหารในตัวเองอยู่ “ลองดูว่าเขาเป็นขั้นเคลื่อนชีพจรที่ไร้เทียมทานจริงไหม!”
“ขอรับ ท่านปู่” หลินเจิ้งหลี่คารวะผู้อาวุโสอย่างเคารพนอบน้อม สะบัดแขนเสื้อยาว สาวเท้าออกมาจากประตู!
แสงกระบี่สาดราวอัสนี!
เจียงวั่งตั้งกระบี่พุ่งเข้าถึงตัว
คลื่นทะยานโหมขึ้น หลินเจิ้งหลี่หมุนตัวกลางอากาศ เขาไม่ใช่พวกประมาทไร้สมอง ตอนที่ก้าวออกจากประตูก็ประกบปางเสร็จแล้วเรียบร้อย
ที่ใช้ออกมาคือคลื่นทะยานสามซ้อนวิชาเต๋าอันลือชื่อในงานเสวนาเต๋าสามเมือง ทำให้ตนเองขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งไร้พ่ายเสียก่อน
แต่เจียงวั่งเองที่อยู่กลางอากาศ กลับหมุนตัวกลางอากาศ นี่เป็นปฏิกิริยาตอบกลับอันแข็งแกร่งที่ได้มาจากการฝึกเคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพ ทำให้เขามีความสามารถอยู่บนอากาศได้นานกว่าผู้ฝึกบำเพ็ญระดับเดียวกัน
กระบี่ชี้ไปยังคอหอย!
หลินเจิ้งหลี่หน้าไม่เปลี่ยนสี ประสานปางมือไปด้วย และกระตุ้นชั้นที่สองของคลื่นทะยานสามซ้อนไปด้วย
เจียงวั่งยังทำได้ไม่ถึงขั้นพลิกตัวหมุนสามครั้งกลางอากาศแบบหลีเจี้ยนชิว แต่เขาเองก็ไม่ได้ต้องการขนาดนั้น ตอนที่ร่อนลงมาบนพื้น กระบี่ยาวหมุนพลิกเล็กน้อย ศรแสงทองพุ่งออกไปหาหลินเจิ้งหลี่ที่เพิ่งเคลื่อนย้ายตัว
คลื่นทะยานหลินเจิ้งหลี่ซัดขึ้นอีกครั้ง ครบถ้วนสมบูรณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายของคลื่นทะยานสามซ้อน ขณะเดียวกันปางมือของเขาก็ประกบเสร็จสิ้น ขณะที่กำลังจะโจมตีคู่ต่อสู้ จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป ซัดคลื่นพิโรธออกไปด้านหน้า!
เปลี่ยนวิชาเต๋าโจมตีนำมาใช้ป้องกัน ปฏิกิริยาของเขาถือว่ารวดเร็วมาก
แต่พออยู่ต่อหน้าปราณม่วงที่ซัดทะลักเข้ามาเหล่านั้น คลื่นพิโรธที่ควบรวมขึ้นจากวิชาเต๋าก็ยังทำอะไรไม่ได้!
ปราณม่วงบูรพา สาดถ้วนทั่วทุกทิศ!
ปลายเท้าเจียงวั่งเพิ่งแตะพื้น ก็ใช้งานวิชาสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันออกมา ปราณม่วงที่คำรามจากการกระตุ้นทั่วทั้งร่างทำลายคลื่นพิโรธลงไปในพริบตา
ปลายกระบี่เงาวับหยุดจ่อที่หน้าผากหลินเจิ้งหลี่
ติ๋ง!
นั่นคือเสียงของหยดน้ำไหลที่มาตามกระบี่ หยดลงบนปลายจมูกหลินเจิ้งหลี่
ส่วนเขาก็ไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อน
หลังจากงานเสวนาเต๋าสามเมือง เขารู้สึกกลัดกลุ้มใจมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งกลัดกลุ้มที่เจียงวั่งแย่งเอาตำแหน่งผู้ชนะนักเรียนชั้นปีหนึ่งที่ควรเป็นของเขาไป และยังกลัดกลุ้มที่ตนเองประมาท ถ้าหากไม่ใช่ความประมาท แล้วเขาจะพ่ายแพ้ให้คนเถื่อนนั่นได้อย่างไร กระทั่งอาจจะไม่บาดเจ็บเลยด้วยซ้ำ!
แต่ไม้ก็กลายเป็นเรือไปแล้ว เรื่องราวมันมีบทสรุปไปแล้ว กลัดกลุ้มไปก็ทำอะไรไม่ได้
ยังดีที่เจียงวั่งยังอุตส่าห์มาที่เมืองวั่งเจียง ให้เขาได้มีโอกาสยืนยันอีกครั้ง
อันที่จริงตอนที่เจียงวั่งทั้งสามคนเข้าเมืองวั่งเจียงมา เขาได้รับข่าวแล้วเรียบร้อย เรื่องแม่ม่ายที่หลินเจิ้งหลุนแต่งงานด้วยคนนั้นฆ่าตัวตายไปจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลยอย่างสิ้นเชิง เขาตรวจสอบจดหมายที่หญิงสาวคนนั้นส่งออกไปก่อนที่จะตาย พบว่าตอนที่ส่งไปถึงมือเจียงวั่ง ถึงได้เข้าใจความสัมพันธ์ของเจียงวั่งและแม่ม่ายคนนั้น
ศิษย์สำนักเต๋าทุกคน ล้วนเป็นคนสำคัญในอนาคตของรัฐจวงทั้งสิ้น ไม่มีคำว่ากล้ำกลืนฝืนทนอย่างแน่นอน
และวิธีที่เขายึดเอาธุรกิจของหลินเจิ้งหลุนมาก็ดูไม่ดีนัก ในนั้นมีสินติดตัวของหญิงสาวคนนั้นอยู่บางส่วน…แน่นอนว่ามีวิธีที่สอดคล้องกับกฎของรัฐจวงอยู่ แต่คนชั่วมีหรือจะนำมาพิจารณา
ดังนั้นเขาจึงให้หลินเจิ้งหลุนกลับเข้ามาในพื้นที่ตระกูลก่อนเป็นอันดับแรก ขอแค่ปกป้องประตูใหญ่ตระกูลเอาไว้ ไม่ให้เจียงวั่งเข้ามา เรื่องใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กก็เท่ากับไม่มีเรื่องอะไร
เดิมทีเขาคิดว่าควบคุมทุกอย่างเอาไว้แล้ว
แต่เจียงวั่งกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ การยกกระบี่ขวางประตู เป็นเรื่องแรกที่เขาคิดไม่ถึงเลย
และที่เขาคิดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ แม้ว่าเขาจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่ก็ยังแพ้ไม่เป็นท่า!
เขาไม่ได้ยืนยันความแข็งแกร่งของตัวเอง แต่กลับยังกลายเป็นแท่นรองเท้าความแข็งแกร่งของคนอื่นไปเสียอีก
จู่ๆ เขาก็คิดขึ้นมาได้ บนงานเสวนาเต๋าสามเมือง ศิษย์พี่หลินเจิ้งเหรินเคยพูดกับเขา “ถ้าหากไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย ก็อย่าให้โอกาสศัตรูของเจ้าได้สมหวัง”
“กลับไปเถอะ” มือเจียงวั่งที่กุมกระบี่ไม่สั่นไม่ไหว
เขาไม่มีความคิดที่จะทำลายหลินเจิ้งหลี่ลงจริงๆ อย่างที่พูดไว้ การหยิบยืมชื่อเสียงของจู้เหว่ยหว่อมาก็มีขีดจำกัด ไม่ว่าอย่างไรจู้เหวยหว่อคงไม่มีทางที่จะสังหารหลินเจิ้งเหรินลงอย่างไร้เหตุผล อย่างมากก็คงเป็นดังที่เขาพูดไว้ เจอครั้งหนึ่งก็ซัดเสียครั้งหนึ่ง ไม่ให้หลินเจิ้งเหรินอยู่ในสำนักเต๋ารัฐอย่างมีความสุขก็เท่านั้น
ผลลัพธ์เช่นนี้ยังพอทำให้หลินเจิ้งเหรินอยู่ในอาการอดกลั้นได้ แต่การทำลายหลินเจิ้งหลี่ลงคงไม่ได้อยู่ในขีดความอดกลั้นของเขา
หลินเจิ้งหลี่มองตรงไปที่คมกระบี่เงาวับ ค่อยๆ ถอยฉาก มาจนถึงหลังประตู
จนถึงตอนนี้จึงเพิ่งรู้สึกตื่นตระหนก แผ่นหลังถูกเหงื่อซึมจนชุ่ม
“พวกเจ้าสามารถหาตัวผู้ฝึกบำเพ็ญระดับเคลื่อนชีพจรคนใดก็ได้ ข้าหนึ่งคนหนึ่งกระบี่จะรับมือให้หมด สมมติข้าตายไปก็ถือว่าข้ารนหาที่ตายเอง ศิษย์สหายที่ติดตามข้ามาวันนี้ทั้งสองคนจะเก็บศพข้ากลับไป”
เจียงวั่งห้อยกระบี่ลงยืนนิ่ง มองไปยังผู้อาวุโสหลิน เอ่ยต่อว่า “และข้าก็มีเพียงเงื่อนไขที่สมเหตุสมผลเงื่อนไขเดียว มารดาของน้องสาวข้าตายลงในเมืองวั่งเจียง ข้าต้องการคนออกมารับผิดชอบ”
“นางฆ่าตัวตายเองนะ” หลินเจิ้งหลี่เอ่ยขึ้นเสียงแข็ง
“ก็นั่นล่ะ” เจียงวั่งมองไปด้านหลังซุ้มประตู คนจากตระกูลหลินรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ้มเย็นชา กระบี่ลากเสียงยาว
“วันนี้ดูกันหน่อย ว่าในเขตเมืองวั่งเจียง ระดับเคลื่อนชีพจร ข้าจะเป็นผู้อยู่อันดับหนึ่งหรือไม่!”
……………………………………….