เรื่องที่เกิดขึ้นที่ยอดเขาหยกสมดุล เจียงวั่งไม่มีใครให้พูดคุยด้วยได้
การตัดสินใจเลือกที่ทุกข์ทรมานในใจ เหมือนว่ายิ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดกันมากเท่าไร ก็ยิ่งยากจะเอ่ยปากมากเท่านั้น
พอเขียนคำถามนี้ไป เจียงวั่งโล่งใจมากแล้ว ไม่ได้บอกว่าเขาคลายปมขัดแย้งในใจได้ แต่บางเรื่องเมื่อได้ระบายออกไป ก็เหมือนลดความทุกข์ใจลงไปได้บ้าง
เจียงวั่งวางพู่กันลง จดหมายปิดผนึกเอง แล้วแปลงเป็นกระเรียนเมฆาตัวน้อยบินวนในเขตที่พักสามรอบ จากนั้นก็บินจากไป
วิชาลับเช่นนี้เจียงวั่งนึกอิจฉาอยู่หน่อยๆ เสียจริง หากเขาควบคุมได้เหมือนกัน เช่นนั้นก็สามารถติดต่อกับตู้เหยี่ยหู่ได้ทุกเมื่อแล้ว ไม่รู้ว่าเหล่าหู่อยู่ที่หน่วยเกราะดำเก้าสินธุจะเป็นอย่างไรบ้าง ในกองทัพเขียนจดหมายติดต่อไม่สะดวก ไปครั้งนี้ไม่มีข่าวคราวเลย
……
“ถือกระบี่ต้องนิ่ง ฝีเท้าต้องตรง”
ในเขตที่พัก เจียงวั่งกำลังสอนถังตุนกับเจียงอันอันฝึกกระบี่
หนึ่งร่างใหญ่หนึ่งร่างเล็กสองร่างแบ่งกันถือกระบี่เล่มใหญ่และเล่มเล็ก ยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบ
แน่นอน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทำตัวเองบาดเจ็บ กระบี่เล่มนั้นของอันอันจึงเป็นกระบี่ไม้
“กระบี่ต้องเสาะแสวงหากลวิธีใหม่ กระบวนท่ายิ่งต้องทำให้ถูก เรียนให้กระบี่ท่วงท่าถูกต้องงดงามก่อน ภายหลังจึงจะปรุโปร่งในทุกกระบวนท่า”
สิ่งที่เจียงวั่งพูดล้วนเป็นประสบการณ์บางอย่างที่ตัวเองสรุปมาได้ อย่างน้อยในด้านวิชากระบี่เขาก็มีความสามารถเหนือมนุษย์อยู่ ชี้แนะวิชากระบี่ธรรมดาทั่วไปได้ไหลลื่นไม่มีสะดุด
“กระบี่มีสองคม ทำร้ายคนอื่นได้ ก็ทำร้ายตัวเองได้เช่นกัน ดังนั้นจะต้องควบคุมตัวเองให้ได้ก่อนจึงค่อยควบคุมศัตรู การควบคุมอย่างแรกคือที่พักพิง การควบคุมอย่างหลังคือโจมตีทำลาย”
ในขณะที่ถ่ายทอดเจียงวั่งก็สอนตัวเองด้วย ฝึกฝนจิตกระบี่ หล่อเลี้ยงจิตรู้แจ้ง
มีคำกล่าวว่าเห็นตัวอักษรก็เหมือนเห็นตัวบุคคล ไม่ได้หมายความว่าตัดสินงดงามอัปลักษณ์หรือดีชั่วได้จากตัวอักษร แต่จากตัวอักษรสามารถดูได้ว่าคนผู้นี้จิตใจสงบหรือไม่ ข่มใจได้แล้วหรือไม่ มีโครงสร้างบุคลิกอย่างไร
ในด้านวิชากระบี่ก็เช่นเดียวกัน
อันอันน้อยมีพรสวรรค์ไม่เลว ตอนนี้ใช้ท่ากระบี่พื้นฐานชุดหนึ่งออกมาได้ถูกต้องแล้ว
กลับเป็นถังตุนที่ทำให้เจียงวั่งยินดีอย่างคาดไม่ถึง ชายคนนี้พื้นฐานแน่น เพียงแต่ตอนอายุน้อยไม่มีใครชี้แนะ เดินออกนอกทางไปบ้าง ด้านการออกท่ามีความเคยชินที่ไม่ดีบางอย่าง หลังจากที่เจียงวั่งแก้ไขให้เล็กน้อย เขาก็เผยความไม่ธรรมดาออกมาให้เห็นทันที
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม เจียงวั่งก็บอกให้หยุดพัก
อันอันอายุยังน้อย จะถอนต้นกล้าเร่งให้เติบใหญ่ไม่ได้ แต่แม่หนูคนนี้ดื้อดึงยิ่งนัก ถังตุนไม่หยุดนางก็ไม่ยอมหยุด ดังนั้นเจียงวั่งจึงทำได้เพียงจัดการฝึกฝนให้ทั้งสองคนเหมือนกันโดยไม่แบ่งแยก แน่นอนว่าถังตุนจะต้องฝึกฝนเพิ่มเองหลังจากกลับไปแล้ว
ฤดูหนาวเย็นยะเยือก แต่หน้าผากของอันอันเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อซึมชื้น
เจียงวั่งต้มน้ำร้อนเตรียมถังอาบน้ำเอาไว้นานแล้ว เขาหยิบชุดคลุมอาบน้ำให้อันอันเอาไปอาบน้ำที่ห้องตัวเอง
ส่วนถังตุนเดินตรงเข้าไปในครัว
ปริมาณการฝึกฝนแค่นี้สำหรับเขาแล้วไม่เท่าไร การฝึกเพิ่มเติมที่เจียงวั่งจัดให้เขาคนเดียวต่างหากถึงจะเรียกว่าเหนื่อยยากแสนเข็ญ
ในฐานะที่เป็นชายโสดอายุเยอะ การทำอาหารเป็นทักษะที่ต้องมี แน่นอนว่าทักษะของเขาก็ไม่ได้ล้ำเลิศอะไร ดีกว่าร้านอาหารเล็กๆ ทั่วไปเล็กน้อย แต่ว่าน้ำแกงต้มได้ไม่เลวทีเดียว
มาอยู่เมืองเฟิงหลินได้ระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้เขารับผิดชอบเรื่องอาหารการกินของพวกเจียงวั่งสองพี่น้อง เวลาไม่ไปร้านอาหารก็ล้วนเป็นเขาที่ลงมือทำอาหาร
เจียงวั่งเดินไปเดินมาอยู่ครู่หนึ่งก็เข้ามาในครัว มองซ้ายมองขวาเหมือนตรวจตรา
จากนั้นพูดกับถังตุนที่กำลังหั่นเนื้อว่า “วันนี้ข้าแสดงฝีมือเองแล้วกัน ทำให้อันอันประหลาดใจสักหน่อย”
“อาจารย์เจียง…” สีหน้าถังตุนฉายแววลำบากใจ
ตอนเจียงวั่ง ‘สร้างความประหลาดใจ’ ครั้งที่แล้ว ก็ทำเอาอันอันกินทั้งน้ำตา คนมีคุณธรรมอย่างถังตุนทั้งไม่กล้าล่วงเกินอาจารย์ ทั้งทำใจให้อันอันได้รับความไม่เป็นธรรมไม่ได้ จึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ทำไม” เจียงวั่งเอ่ยอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก “ดูเจ้าสิ แค่ทักษะการใช้มีดก็ไม่ผ่านแล้ว”
เขามองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจับปลากะพงจีนหนักสองชั่งที่ถังตุนซื้อมาขึ้นมา และคว้าจานกระเบื้องใบหนึ่งมาด้วย จากนั้นก็ถือมีดทำกับข้าวขึ้นมาฟันฉับๆ ในอากาศสามสี่ที
แสงมีดส่องประกาย เนื้อปลากลายเป็นแผ่นๆ ร่วงลงมา จากหัวจนถึงหาง เนื้อปลาทุกชิ้นมีขนาดหนาใกล้เคียงกัน ทักษะการใช้มีดยอดเยี่ยมนัก
เจียงวั่งเก็บมีด มองถังตุนแวบหนึ่งอย่างได้ใจนัก
ถังตุนจะอย่างไรก็เป็นคนซื่อ จึงพูดว่า “ปลากะพงจีนตัวนี้ข้าเตรียมเอามานึ่งกิน…”
“อะแฮ่ม” เจียงวั่งกล่าว “หลังจากแล่เป็นชิ้นแล้วรสยิ่งเข้าเนื้อได้ดี”
ถังตุนมองๆ เนื้อปลาจานนั้น เอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ท่านหั่นไตปลาแตกด้วย ไตแตกก็กินไม่ได้แล้ว ขมตายเลย”
“เจ้าก็ไม่บอกแต่แรกเล่า” เจียงวั่งโมโหนิดๆ
ถังตุนอึกอักไร้คำพูด
“ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าอันอันอาบน้ำเสร็จหรือยัง”
รังแกคนซื่อไม่สนุกเอาเสียเลย เจียงวั่งสะบัดก้นจากไป
……
เวลาอาหารเย็น เจียงอันอันแต่งตัวเรียบร้อย นั่งอยู่ข้างโต๊ะกินข้าว
เจียงวั่งและถังตุนนั่งลงแล้ว เจียงอันอันก็ยังหันไปมองทางครัวอยู่เรื่อยๆ
“เจ้ามองอะไร” เจียงวั่งใช้ตะเกียบเคาะขอบถ้วย
“ยังมีปลาอีกตัวใช่ไหม” เจียงอันอันถาม
นางมีความยึดมั่นมากผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องกิน
ถังตุนกำลังจะพูดอะไร เจียงวั่งก็ขัดขึ้นก่อนว่า “ปลาหนีไปแล้ว”
เจียงอันอันตกใจมาก “ปลาหนีไปได้อย่างไร”
“เจ้าไปถามมันสิ”
“แต่มันหนีไปแล้วไม่ใช่หรือ”
“ใช่น่ะสิ ปลาหนีไปแล้ว” เจียงวั่งยื่นมือจับหน้าเจียงอันอันหันกลับมา “กินข้าว”
เจียงอันอันอึ้งไปครู่หนึ่ง ในหัวสับสนวุ่นวายยิ่ง
……
หลังกินอาหารเย็นเรียบร้อย ถังตุนก็เก็บถ้วยเก็บตะเกียบ เจียงวั่งจูงมืออันอันกลับไปห้องหนังสือเพื่อทำการบ้าน
เพราะตอนเช้าฝึกยุทธ์ ตอนกลางคืนจึงต้องเรียนชดเชย
ฝึกบำเพ็ญเป็นขั้นตอนที่ยาวนาน มีหลายครั้งผู้บำเพ็ญยิ่งต้องต่อสู้กับตัวเอง ต่อสู้กับความเดียวดายในระยะทางอันยาวไกล หากจิตใจไม่แข็งแกร่งพอ ก็ไม่อาจยืนหยัดเดินทางไกล และความรู้ประสบการณ์ที่กว้างขวางจะทำให้จิตใจสมบูรณ์พร้อมได้
ความจริงแล้วอันอันน้อยเรียนดีมาก หลังจากที่ไม่ต้องสอบแทนคนอื่นเพื่อหาเงิน ในการสอบทุกครั้งล้วนมีชื่อนางอยู่ในอันดับต้นๆ
จดหมายตอบกลับของเยี่ยชิงอวี่บินมาถึงในตอนนี้พอดี
อันอันดวงตาเบิกกว้าง มองกระเรียนเมฆาตัวน้อยที่บินวนอยู่สองสามรอบนอกหน้าต่างแล้วร่อนลงบนมือของเจียงวั่ง
“นกน้อยสวยจังเลย!”
“นกประเภทนี้เรียกว่ากระเรียนเมฆา” เจียงวั่งอธิบายไปด้วย เปิดจดหมายที่แปลงมาจากกระเรียนเมฆาไปด้วย
‘ตอบคำถามของสหายเต๋าเจียง ในเมื่อรู้ว่าเป็นเรื่องที่ผิด แล้วจะบอกว่าถูกต้องได้อย่างไร’
คำลงท้ายยังคงเป็นพิรุณครามเหนือเมฆา
เจียงวั่งกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที
กล่าวกันว่าผู้อยู่ในสถานการณ์มักมองไม่ทะลุปรุโปร่ง ผู้อยู่นอกสถานการณ์เห็นกระจ่างชัด บางครั้งเรื่องที่ง่ายมากเรื่องหนึ่ง คนในพัวพันอยู่ในนั้นถอนตัวไม่ขึ้น เพียงคนนอกเอ่ยชี้แนะง่ายๆ ประโยคเดียว ก็เหมือนเห็นทางสว่างและเข้าใจถ่องแท้
ความขัดแย้งในใจเขาสลายไปจนสิ้น
น้ำเสียงก็ผ่อนคลายลงหลายส่วน ถือโอกาสนี้สอนอันอันว่า “เจ้าเห็นกระเรียนเมฆาตัวนี้เปลี่ยนเป็นจดหมาย อีกเดี๋ยวพี่ชายเขียนจดหมายเสร็จ มันก็จะเปลี่ยนเป็นกระเรียนเมฆาบินจากไป นี่คือความน่าอัศจรรย์ของวิชาเต๋า เจ้าต้องรีบฝึกฝนล่ะ”
กระเรียนเมฆาตัวนั้นน่ารักเหลือเกิน กระแทกใจเจียงอันอันเข้าเต็มๆ นางพยักหน้าสุดแรง
เจียงวั่งหยิบพู่กันเมฆขึ้นมา ตอบกลับไปว่า
‘เป็นคำพูดที่ดียิ่งนัก! ทำให้ข้ากระจ่างแจ้งทันใด เพียงประโยคเดียวสหายเต๋าก็พอจะเป็นอาจารย์ของข้าได้แล้ว’
เจียงวั่งกำลังจะวางพู่กัน เจียงอันอันที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ชาย ท่านเขียนจดหมายถึงใครหรือ”
“พี่สาวคนหนึ่ง”
“ช่วยข้าเขียนประโยคหนึ่งด้วยสิ ฝากทักทายนางหน่อย”
เจียงวั่งปรายตามองนางทีหนึ่ง รู้ว่านางหมายตากระเรียนเมฆาของผู้อื่นแล้ว
แต่วิชาลับของหอนภาเทียมเมฆจะถ่ายทอดให้ใครง่ายๆ ได้อย่างไร
แต่เจียงวั่งไม่อยากดับฝันน้องสาว เขียนต่อไปว่า
‘ปัจฉิมลิขิต น้องสาวข้าเห็นจดหมาย ฝากให้ข้าทักทายมา ขอให้ท่านมีความสุข’
อันอันดันๆ ตัวเจียงวั่ง “พี่สาวเขามีนามลงท้ายจดหมาย”
เจียงวั่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง ก็เขียนนามลงท้ายไปว่า ขิงน้อย[1]ในป่าเฟิง
กระดาษจดหมายเมฆพับทบก่อนแปลงเป็นกระเรียนน้อย
เจียงอันอันจับมันเล่นอยู่พักหนึ่งถึงจะเผลอปล่อยมือ กระเรียนเมฆาบินออกไปนอกหน้าต่าง ร่างอันงดงามบินพุ่งเข้าไปในท้องฟ้าราตรี
คืนนี้มันต้องบินเข้ามาในความฝันของอันอันเช่นกันแน่
………………………………………………………
[1]ตัวอักษรเจียง (姜) แปลว่าขิง