จะฝึกบำเพ็ญต้องฝึกฝนจิตใจก่อน
พลังบำเพ็ญคือรากฐานของการฝึกบำเพ็ญ กฎแห่งมรรคคือวิธีการพิทักษ์มรรคา ส่วนจิตใจเป็นพลังที่จะประคับประคองให้ผู้บำเพ็ญก้าวต่อไปได้
เมื่อความกลัดกลุ้มในใจสลายไป การฝึกบำเพ็ญในคืนนี้จึงราบรื่นเป็นพิเศษ
พอความคิดปลอดโปร่ง จิตรู้แจ้งกระจ่าง ไส้เดือนดินรัดดาวตัวนั้นก็ทะลวงกระแสวนเต๋าแม่น้ำดวงดาวติดต่อกันหลายจุด จากนั้นสลัดผิวหนังไส้เดือนออก กลายเป็นงูตัวเล็กที่ปราดเปรียวตัวหนึ่ง
นี่เป็นสัญลักษณ์ของการวิวัฒนาการจากชีพจรไส้เดือนดินไปสู่ชีพจรงูวิญญาณ
เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของวิญญาณแท้ชีพจรเต๋าอื่นๆ จำนวนการคายรากพลังเต๋าเปลี่ยนจากหนึ่งเม็ดเป็นสามเม็ด
สิ่งเดียวที่แตกต่างกันคือ วิญญาณแท้งูวิญญาณตัวนี้ที่ขดตัวอยู่ในจุดผ่านสวรรค์ของเจียงวั่งยังมีแสงดาวปกคลุมอยู่ ทั้งยังฉลาดปราดเปรียวกว่าเดิม
เดิมทีตามลำดับขั้นตอน เวลาการสร้างกระแสวนเต๋าวงที่สองควรจะอยู่ที่วันที่สิบสามเดือนสิบเอ็ด
แต่ตอนนี้มาถึงจุดสำคัญล่วงหน้าสองวัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมองเห็นล่วงหน้าได้ว่าเมื่อมีการสนับสนุนจากชีพจรงูวิญญาณรัดดาว ความเร็วนี้ก็จะเพิ่มขึ้นอีกก้าวหนึ่ง
การสร้างกระแสวนเต๋าวงแรกเป็นสัญลักษณ์ของการสร้างรากฐาน ทั้งยังเป็นตัวแทนว่ารากพลังเต๋าในตัวผู้บำเพ็ญจะเริ่มเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง และนับจากกระแสวนเต๋าวงที่สอง ผู้บำเพ็ญจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับการสร้างวงจรจักรวาลเล็กแล้ว
มีเพียงตอนที่กระแสวนเต๋าสามวงตอบสนองซึ่งกันและกันแล้วรวมเป็นหนึ่ง รากพลังเต๋าจึงจะเกิดขึ้นต่อเนื่องอย่างแท้จริง หลังจากที่วงจรจักรวาลเล็กมั่นคงแล้ว ถึงจะสามารถค้ำจุนการขยายตัวของจุดผ่านสวรรค์ได้
ดังนั้นผู้บำเพ็ญระดับแปด ก็คือขอบเขตวัฏจักรดารา
การสร้างวงจรจักรวาลเล็กไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ว่าสร้างกระแสวนเต๋าสามวงไปตามเรื่องแล้วจะหมุนโคจรได้ กระแสวนเต๋าหากเข้ากันไม่ได้ หรือถึงขั้นเกิดการขัดแย้งกัน จะทำให้เส้นทางการฝึกบำเพ็ญพังทลาย
กระแสวนเต๋าทั้งสามวงนี้ถูกเรียกอีกอย่างว่าสามผสานบริบูรณ์ วงจรจักรวาลเล็กที่ยอดเยี่ยมที่สุดไม่ใช่แค่ตรรกะใช้การได้ แต่ขอบเขตพลังต้องเข้ากันด้วย
จากที่ความถนัดทางจิตใจของแต่ละสำนักและแต่ละบุคคลแตกต่างกัน สามผสานบริบูรณ์ก็จะต่างกันไปด้วย เช่นลำธารทะเลและแม่น้ำ เฟิงหย่าซ่ง[1] ไม้ป่าและพฤกษา ไปจนกระทั่งทองคำเงินและทองแดง…
สำหรับเจียงวั่ง เขาเคยขบคิดพิจารณาเอาไว้แล้ว
กระแสวนเต๋าแรกของเขาคือดวงอาทิตย์
แผนผังจักรวาลดาราเริ่มจากดวงอาทิตย์ เมื่ออาทิตย์ขึ้นฟ้าดินก็สดใส
หากเริ่มจากกระแสวนตะวัน ก็มีลักษณะโครงสร้างที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย ตัวอย่างเช่นวันเดือนและปีซึ่งข้ามผ่านสายธารกาลเวลาอันยาวนาน
เจียงวั่งไม่ต้องลังเลเลย กระแสวนเต๋าลำดับที่สองของเขาต้องเป็นจันทราแน่นอน ดวงจันทร์แทบจะเกี่ยวข้องกับทุกอย่างในตอนนี้ของเขา มีเพียงจันทร์กระจ่างเท่านั้นที่จะสาดส่องจิตใจได้
ในเมื่อเป็นกระแสวนเต๋าที่รวมขึ้นจากแผนผังจักรวาลดาราเช่นเดียวกัน ภายนอกกระแสวนจันทรากับกระแสวนตะวันจึงแทบจะไม่แตกต่าง และลอยอยู่ส่วนบนของจุดผ่านสวรรค์เหมือนกัน
ครั้นกระแสวนเต๋าแม่น้ำดวงดาวสองวงขนานกัน จะสาดส่องจุดผ่านสวรรค์ให้กระจ่างชัดมากขึ้นไปอีก
งูวิญญาณรัดดาวแหวกว่ายอยู่ระหว่างกระแสวนเต๋าทั้งสองอย่างเริงร่า รากพลังเต๋าหลายเม็ดกลิ้งลงมาราวไข่มุก ทุกวันกระแสวนเต๋าแม่น้ำดวงดาวสองวงจะสร้างรากพลังเต๋าสิบแปดเม็ด การคายรากพลังเต๋าของงูวิญญาณรัดดาวเป็นสามเท่าของไส้เดือนดินรัดดาว ทุกวันฝึกบำเพ็ญทะลวงชีพจรสี่ครั้ง เท่ากับจะมีรากพลังเต๋าสิบสองเม็ด
ด้วยความเร็วเช่นนี้ ถ้าหากไม่เกิดอะไรผิดพลาด จะสร้างกระแสวนเต๋าวงที่สามขึ้นได้หลังจากวันที่สิบสาม ครั้งนี้ขอแค่วงจรจักรวาลเล็กไม่เกิดปัญหา เจียงวั่งก็จะเข้าสู่ระดับวัฏจักรดาราได้อย่างมั่นคง
…….
การสอบครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อใจคนของสำนักเต๋าเขตปกครองสิ้นสุดลงแล้ว หลีเจี้ยนชิวกับหวางฉางเสียงที่เจียงวั่งคุ้นเคยล้วนสอบเข้าสำนักเต๋าเขตปกครองได้อย่างราบรื่น จางหลินชวนไม่ได้เลือกสอบเข้าสำนักเต๋าเขตปกครอง แต่เลือกจะคว้าสิทธิ์รายชื่อเข้าสำนักเต๋ารัฐโดยตรงผ่านงานสามเมืองเสวนาเต๋าในปีหน้าแทน
ไม่ต้องสงสัยเลย เขาจะเร็วกว่าพวกหลีเจี้ยนชิวที่เลื่อนระดับผ่านการประลองสามเขตปกครองมาก และก็มีเพียงจางหลินชวนที่พลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติเดิมพันด้วยเวลาหนึ่งปี
ตอนที่หลีเจี้ยนชิวออกเดินทาง พวกเจียงวั่งไปส่งที่นอกเมือง
ศิษย์ที่สอบเข้าสำนักเต๋าเขตปกครองได้เหล่านี้ หลักๆ ล้วนเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสำนักเต๋าประจำเมือง คนที่มาส่งจึงมีมากมาย
โดยเฉพาะหวางฉางเสียงยิ่งแทบจะถูกกลืนเข้าไปในกลุ่มคน คนตระกูลหวางภาคภูมิใจในตัวเขา ผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลเอ่ยกำชับนั่นนี่กับเขาไม่หยุด
“ศิษย์น้องทั้งหลายเตรียมจะไปสำนักเต๋าเขตปกครองกันเมื่อไร หรือว่าจะไปเจอกันที่สำนักเต๋ารัฐเลย” หลีเจี้ยนชิวถามขึ้นครั้งสุดท้าย แต่กลับมองไปทางเจียงวั่ง
หลังจากเดินทางไปยอดเขาพู่กัน จัดการเรื่องเก่าจนเสร็จสิ้นแล้ว หลีเจี้ยนชิวปล่อยวางขึ้นมากอย่างชัดเจน กลับมามีชีวิตชีวาอย่างที่คนหนุ่มควรจะเป็นอีกครั้ง
ในความเห็นของเขา ในหลายคนนี้ผู้ที่มีหวังจะเข้าสำนักเต๋ารัฐโดยตรงมากที่สุดก็คือเจียงวั่ง
เจ้าหรู่เฉิงเอ่ยหน้าทะเล้น “จะพยายามไล่ตามศิษย์พี่ให้ทัน แต่ถ้าไม่ได้ละก็ ศิษย์พี่โปรดช้าลงหน่อย รอพวกข้าด้วย”
หลีเจี้ยนชิวเข้าใจในตัวเขาบ้างแล้ว จึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องพยายามอีกหน่อยสิ ไม่เช่นนั้นศิษย์พี่อายุมากแล้ว คงรอได้ไม่กี่ปี”
“ตอนนี้ข้าก็พยายามมากอยู่นะศิษย์พี่หลี!” เจ้าหรู่เฉิงไม่ค่อยพอใจ “ข้าฝึกฝนวันละสองชั่วยามทุกวันเลย!”
“แต่ก็แช่อยู่ในหอสามจรุงอย่างน้อยสี่ชั่วยาม” น้ำเสียงของหวงอาจ้านแทนที่จะเหยียดหยาม กลับดูอิจฉาเสียมากกว่า เอ่ยอย่างตาร้อนว่า “แล้วไม่ยอมพาศิษย์พี่ไปด้วย!”
“ท่านก็เอาเงินไปด้วยสิศิษย์พี่!”
“ข้าไปเที่ยวหอนางโลมกับเจ้าก็เพราะเห็นแก่หน้าเจ้า เจ้าดูสิเวลาคนอื่นชวนศิษย์พี่ ศิษย์พี่เคยไปหรือไม่ ศิษย์พี่ไม่ชายตาแลเสียด้วยซ้ำ”
“นั่นเพราะนอกจากข้าแล้ว ก็ไม่มีใครชวนท่านแล้วกระมัง!”
เจียงวั่งไม่สนใจการต่อปากต่อคำประจำวันของพวกเขา พูดกับหลีเจี้ยนชิวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูท่าทางศิษย์พี่คงไม่อยู่ที่สำนักเต๋าเขตปกครองนานนัก อนาคตเตรียมจะพัฒนาไปสายทหาร หรือว่าจะใช้พลังยุทธ์ขึ้นปกครองแถบหนึ่งไปเลย”
“รอข้าออกจากสำนักเต๋ารัฐแล้ว น่าจะไปเมืองซานซาน” หลีเจี้ยนชิวกล่าว “รู้สึกว่าควรจะไปทำเรื่องอะไรเสียหน่อย”
เจ้าหรู่เฉิงกับหวงอาจ้านที่กำลังหัวเราะคิกคักล้วนเงียบลง พวกเขาร่วมปฏิบัติการกวาดล้างสัตว์ร้ายที่เมืองซานซานมาด้วยกัน จึงยิ่งเข้าใจจิตใจของหลีเจี้ยนชิว
เมืองซานซานมีมนตร์เสน่ห์ประหลาดบางอย่าง ไม่ใช่สิ่งที่ตัวของพื้นที่นำมา แต่เป็นสิ่งที่ผู้คนซึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมอบให้
คนที่จิตใจสับสนมากที่สุดในกลุ่มน่าจะเป็นเจียงวั่ง นอกจากประสานมือคำนับแล้ว เขาก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก
หลิงเหอกล่าวคารวะ “เช่นนั้น ขอให้ศิษย์พี่ก้าวหน้ารวดเร็ว ไม่ต้องเหลียวมองกลับ”
หลีเจี้ยนชิวจับกระบี่เดินจากไปไกล และไม่หันหน้ากลับมาจริงๆ
ตอนที่กลับเข้าเมือง เจียงวั่งเห็นคนอุ้มแมวสีส้มตัวอ้วนไว้ในอ้อมอกคนหนึ่งที่มุมประตูเมือง น่าจะมาส่งใครบางคน แต่ไม่รู้ทำไมจึงยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว
ยืนอย่างโดดเดี่ยวนัก
พอเห็นสายตาของเจียงวั่งมองมา เขาเพียงพยักหน้าน้อยๆ ให้ ในสายตาอบอุ่นไม่มีอารมณ์ใดๆ มากไปกว่านี้
เจียงวั่งพยักหน้าตอบ ก่อนจะถูกเจ้าหรู่เฉิงดันหลังให้เดินห่างออกไป
…….
วันที่สิบห้าเดือนสิบเอ็ด ยามกลางคืน
การท้าประลองแดนศักดิ์สิทธิ์เดือนละครั้งเริ่มขึ้นตามกำหนด เจียงวั่งจะเผื่อเวลาให้ว่างในวันนี้ทุกครั้ง เพื่อเตรียมตัวสำหรับศึกท้าดวลแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่อยากถูกตัดสินให้แพ้โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวรับศึก…แน่นอนว่าถึงแม้เขาจะรับคำท้า ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลลัพธ์จากการพ่ายแพ้ได้
คืนนี้ก็ไม่มียกเว้น
เจียงวั่งมีกระแสวนเต๋าแม่น้ำดวงดาวสองวงอยู่ในมือ เคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาไปถึงระดับสุดยอดแล้ว เคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพสำเร็จบทมังกรเขียวเรียบร้อย วิชาเต๋าที่มีก็ค่อนข้างชำนาญ
แต่ยังคงถูกสังหารในพริบตา
ครั้งนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เขาไม่รู้วิธีที่ฝ่ายตรงข้ามใช้สังหารตนด้วยซ้ำ
เจียงวั่งรู้สึกว่าหากเขาจดบันทึกประสบการณ์ในมิติมายาห้วงจักรวาลไว้ หัวข้อน่าจะเป็น ‘หนึ่งพันวิธีตายของเจียงวั่ง’
เขาร่วงลงมาอยู่ต้นกำเนิดวิมานเซียนแดนศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ยี่สิบหก แต้มทุกเดือนลดเหลือหนึ่งพันห้าร้อยห้าสิบแต้ม เมื่อบวกกับแต้มที่เหลือจากก่อนหน้านี้ ทั้งหมดจะเป็นสามพันสามร้อยเก้าสิบแต้ม
ยามนี้วิชาสังหารเพียงพอสำหรับใช้งานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นวิชาเต๋ามากมายในสำนักเต๋าก็เปิดกว้างให้เขา แต้มเหล่านี้เขาจึงไม่อยากจะสิ้นเปลืองอีก ถึงอย่างไรแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นโชคลาภที่ได้รับมา มองจากแนวโน้มในตอนนี้ จะช้าเร็วเขาก็ต้องถูกคนอื่นไล่ออกไป หรือไม่แน่…เขาอาจจะก้าวหน้าขึ้นก่อนนั้นก็เป็นได้
หลังลังเลอยู่ในมิติมายาห้วงจักรวาลพักหนึ่ง สายตาของเขาก็หันไปยังเวทีเสวนากระบี่
นี่คือเวทีเสวนากระบี่ระดับเก้า ในมิติมายาห้วงจักรวาลสามารถควบคุมเวทีนี้และต่อสู้กับคู่ประลองได้
จู่ๆ เขาก็นึกถึงประโยคนั้นที่ผู้อาวุโสตระกูลหลินกล่าวไว้ตอนตนใช้กระบี่เดียวสยบตระกูลที่เมืองวั่งเจียง…
‘ดูซิว่าเขาไร้เทียมทานในระดับเคลื่อนชีพจรจริงหรือไม่!’
ตอนนี้พลังต่อสู้ของเขาแผลงฤทธิ์ในเมืองเฟิงหลิน ซานซาน และวั่งเจียงทั้งสามเมือง ทำได้ถึงจุดนี้แล้ว
เช่นนั้นถ้ามองไปทั่วหล้าเล่า
อยู่ในมิติมายาห้วงจักรวาลที่ลึกลับเกินหยั่งนี้แล้วจะอย่างไร?
……………………………………….
[1]เฟิงหย่าซ่ง คือสามส่วนสำคัญของคัมภีร์ซือจิง หรือคัมภีร์รวบรวมบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดของจีน โดยเฟิงจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเพลงพื้นบ้าน หย่าจะเกี่ยวกับบทเพลงในราชสำนัก ส่วนซ่งคือบทกวีเซ่นไหว้สดุดีบุคคลสำคัญต่างๆ