เจินไร้พ่ายกระตุ้นความอยากเอาชนะของเจียงวั่งขึ้นมา แต่จนกว่าจะมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง เขาตัดสินใจว่าจะไม่ยอมกลับไปรนหาที่ในมิติมายาห้วงจักรวาลอีกเด็ดขาด
ต้องรู้ไว้ว่า เจินไร้พ่ายคนนั้นไม่ได้อยู่ในร้อยอันดับแรกของระดับเคลื่อนชีพจรในมิติมายาห้วงจักรวาลเลย แต่จากท่าทีที่เอาชนะเจียงวั่งได้แล้วก็ ‘ตอแยไม่ลดละ’ เกรงว่าคงมีน้อยครั้งนักที่เขาจะเจอการต่อสู้ที่สบายแบบนี้…
การอนุมานเช่นนี้ไม่ได้ทำให้เจียงวั่งสิ้นหวัง กลับทำให้เขาฮึกเหิมต่อสู้ด้วยซ้ำ
แข็งแกร่งอยู่ท่ามกลางผู้บำเพ็ญระดับเดียวกันในเมืองเฟิงหลินจะนับเป็นอะไรได้
เจียงวั่งเคยได้สัมผัสศึกใหญ่ที่นอกอารามหวนสัจจะในระยะใกล้มาแล้ว วิสัยทัศน์ย่อมไม่แคบเช่นนั้นแน่นอน
กงหยางไป๋กับโม่จิงอวี่ใช้ประโยชน์จากพื้นที่สังหารศัตรู จั่วกวงเลี่ยกล้าหาญองอาจไร้ใครเทียม หลี่อีตัดหัวศัตรูในกระบี่เดียว ทั้งรัฐจวงทำได้เพียงมองตาปริบๆ ด้านหนึ่งคือเกรงกลัวอำนาจกดดันของขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังคนพวกนี้ อีกด้านหนึ่งคือพวกเขาแข็งแกร่งเกินไป!
แข็งแกร่งจนถึงขั้นหากรัฐจวงต่อกรกับพวกเขาก็แทบจะเท่ากับก่อสงครามขึ้น แต่ใต้หล้ายามนี้ ผู้ที่เปิดศึกกับรัฐฉู่ได้จะมีสักเท่าไรกัน?
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องหลังจากที่สร้างวงจรจักรวาลเล็กได้ ลำพังแค่ระดับเคลื่อนชีพจร แค่ต้นทุนที่มีอยู่ทั้งหมด เขาก็ห่างจากความสมบูรณ์แบบอีกไกลโข
เคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพก็สำเร็จเพียงแค่บทมังกรเขียว สี่สัตว์เทพผสานยังอีกยาวไกลนัก การใช้วิชาเต๋าก็ตื้นเขิน เขาในตอนนี้ยังไม่มีการพลิกแพลงวิชาเต๋าใดๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรังสรรค์สร้างวิชาใหม่ขึ้นมาเลย
กล่าวถึงแค่เคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพา เขาฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แล้วจริงๆ หรือ
ในระดับเคลื่อนชีพจร แค่ในขอบเขตที่ตาของเขาเห็น พื้นที่ที่ยังพัฒนาได้ก็เยอะมากแล้ว
ความพ่ายแพ้ไม่ได้น่ากลัว ที่น่ากลัวคือไม่อาจเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ได้อย่างถูกต้อง
……
จะจัดการเจินไร้พ่าย ก่อนอื่นต้องเชี่ยวชาญการผสานวิชาเต๋าอย่างต่อเนื่องเหมือนฝ่ายตรงข้ามให้ได้
ถึงแม้อาจารย์สำนักเต๋าจะเน้นย้ำตลอดว่าเรียนหลายวิชาไม่สู้เลือกเรียนเฉพาะวิชา ฝึกฝนหลากหลายไม่สู้ฝึกจนเชี่ยวชาญ เจียงวั่งเองก็คิดว่าเป็นคำชี้แนะที่ดี แต่หากมีผู้บำเพ็ญที่พรสวรรค์มากล้นและเก่งในทุกด้านเช่นนี้จริงๆ ละก็ พลังต่อสู้คงน่ากลัวเป็นอย่างมากแน่
และผู้บำเพ็ญประเภทนี้ ในความทรงจำของเจียงวั่งมีอยู่หนึ่งคน นั่นคือเจ้าหล่างขุนพลผู้ช่วยของเว่ยเหยี่ยน
ตอนนี้เจียงอันอันยังอยู่ที่สถานธรรมกระจ่าง เจียงวั่งจึงพาถังตุนไปเปิดหูเปิดตาที่ฐานที่มั่นกองทัพประจำเมือง
สำหรับถังตุนแล้ว การได้สังเกตศึกษาการต่อสู้ของเจียงวั่งใกล้ๆ ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งกว่าอะไร
ฐานที่มั่นกองทัพประจำเมืองตั้งอยู่ทางใต้ เทียบกับเมืองเฟิงหลินแล้วอยู่ใกล้กับตำบลเฟิ่งซีมากกว่า
ช่วงก่อนหน้านี้กิจการของตระกูลเจียงได้รับเงินคืนกลับมาอยู่เรื่อยๆ เจียงวั่งไม่มีใจจะจัดการบริหาร จึงบริจาคให้กับตำบลในชื่อของอันอันทั้งหมด ทุกปีจะนำกำไรจากร้านสมุนไพรมาเป็นทุนให้เด็กในตำบลเฟิ่งซีที่ยากจนได้ร่ำเรียน
และก็ไม่ต้องกังวลว่าใครในตำบลจะยักยอกเอาไป เขาสามารถเอากิจการคืนมาจากตระกูลหลินแห่งเมืองวั่งเจียงได้ ไม่ถึงขั้นถูกคนทำลายศักดิ์ศรีในตำบลเฟิ่งซี
เหตุที่เรื่องนี้ทำไปโดยใช้ชื่อของเจียงอันอัน ก็เพราะถึงแม้เขาจะไม่เชื่อเรื่องดีชั่วกรรมตามสนองพวกนี้นัก แต่หากว่ามีจริง เขาก็หวังว่ามันจะปกป้องคุ้มครองอันอันได้
ระหว่างทาง เจียงวั่งพูดไปตามปากว่า “ตอนนั้นข้าไปตำบลถังเส่อกับศิษย์พี่จางหลินชวน ทำไมเจ้าถึงไม่คิดจะให้เขาช่วย เขาแข็งแกร่งกว่าข้ามาก”
ถังตุนตอบกลับอย่างซื่อๆ ว่า “ศิษย์พี่จางแม้จะมีสุภาพมาก แต่ว่าเข้าหายากน่ะ”
พูดจบก็โบกมือรัวๆ “ข้าไม่ได้นินทาเขานะ มันเป็น มันเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง”
ตอนนี้เขาไม่อ้าปากก็ใช้ตูข้าๆ แล้ว แต่นิสัยซื่อบริสุทธิ์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
เจียงวั่งก็ไม่ได้สนใจ “ศิษย์พี่จางเป็นคนนิสัยหยิ่งทะนงมากอยู่แล้ว”
ระหว่างพูดคุย ทั้งสองคนก็มาถึงนอกฐานที่มั่นกองทัพประจำเมืองแล้ว
หลังจากทหารเฝ้าประตูรายงาน ไม่นานเจ้าหล่างก็ออกมา
“น้องเจียงมีธุระอะไรหรือ”
พวกเขาเคยพบปะกันตอนศึกที่ตำบลเสี่ยวหลิน รวมกับตอนนี้ตู้เหยี่ยหู่เข้าร่วมหน่วยเกราะดำเก้าสินธุ เจียงวั่งเองก็นับว่าชื่อเสียงโด่งดัง เจ้าหล่างจึงปฏิบัติด้วยอย่างมีมารยาทมาก
แน่นอนว่าอย่างไรก็ไม่สนิท จึงไม่ได้เป็นกันเองมากนัก
“พี่เจ้า เรื่องเป็นอย่างนี้” เจียงวั่งอธิบาย “ตอนนี้ข้าฝึกบำเพ็ญมาถึงจุดติดขัด คิดมาโดยตลอดว่าหากเจอคู่ต่อสู้ที่เชี่ยวชาญวิชาเต๋าประเภทต่างๆ ควรจะรับมืออย่างไร คิดไปคิดมาก็ยังคิดไม่ตก จึงนึกว่าถ้าอย่างนั้นมิสู้ลองต่อสู้จริงๆ ดู และในบรรดาคนที่ข้ารู้จักก็มีเพียงพี่เจ้าเท่านั้นที่วิชาเต๋าหลากหลาย”
“ที่แท้มาหาคู่ฝึกนี่เอง!” ชายในกองทัพทำอะไรเรียบง่ายตรงไปตรงมา เจ้าหล่างไม่อิดออด นำทางมายังสนามฝึกยุทธ์ในฐานที่มั่นทันที “ข้าเองก็สนใจวิชากระบี่ของน้องเจียงอยู่พอดี”
คนในกองทัพชอบต่อสู้ ครั้นได้ยินว่าขุนพลผู้ช่วยเจ้าของพวกเขาจะประลองกับศิษย์สำนักเต๋า ตลอดทั้งทางในค่ายทหารล้วนเดือดพล่านคึกคัก
จนเมื่อมาถึงสนามฝึกยุทธ์ พวกทหารก็ล้อมที่นี่เอาไว้จนแน่นขนัดแล้ว
ถังตุนตื่นเต้นมาก กระซิบกระซาบถามเจียงวั่งว่า “ถ้าเขาแพ้คงไม่รุมพวกเราหรอกกระมัง”
เจียงวั่งกลอกตา ถังตุนจะเชื่อมั่นในตัวเขาเกินไปแล้ว
ในฐานะขุนพลผู้ช่วยของกองทัพประจำเมือง อย่างน้อยเจ้าหล่างก็เป็นผู้ฝึกตนระดับแปดวัฏจักรดารา เผลอๆ อาจจะเป็นระดับเจ็ดผ่านสวรรค์แล้วด้วยซ้ำ
อีกอย่างเขายังมาจากกองทัพ มีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ศิษย์สำนักเต๋าที่รู้จักแค่ปิดด่านบากบั่นฝึกบำเพ็ญจะสู้ได้เลย
หลังจากเดินขึ้นเวทีประลอง เจียงวั่งหัวเราะแห้งๆ พูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่เจ้าแค่ชี้แนะข้า ไม่จำเป็นต้องมีคนมากมายมาดูกระมัง”
เจ้าหล่างหัวเราะร่า “ไม่เป็นไร ให้เจ้าพวกนี้ได้เรียนรู้จากลูกศิษย์ดีเด่นของสำนักเต๋าสักหน่อย พวกเขาแต่ละคนจะได้รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
เจ้าหล่างคนนี้คิ้วหนาตาโต ดูแล้วไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน เจียงวั่งยังนึกอยู่ว่าทำไมเขาถึงได้พูดด้วยง่ายเช่นนี้ ที่แท้ก็ถือโอกาสใช้เขาเป็นเป้าซ้อมนี่เอง ทั้งกระตุ้นจิตใจฮึกเหิมของเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาได้ แล้วยังใช้เป็นบทเรียนจากสถานการณ์จริงได้ด้วย
“ใช่แล้ว ให้พวกเราได้เรียนรู้สักหน่อยเถิด!”
ทหารนอกสนามตะโกนขึ้นมา
“ให้พวกพี่น้องได้เห็นความน่าเกรงขามของลูกศิษย์สำนักเต๋าหน่อยเถอะ!”
และยังมีคนค่อนข้างใจกล้า “ล้มเจ้าหล่าง! ซัดเขาให้หมอบ!”
สำนักเต๋า กรมทหาร กรมอาญา นี่เป็นสามสถานที่ที่รวบรวมผู้ฝึกตนไว้มากที่สุด ระหว่างพวกเขาล้วนมีปัจจัยที่ไม่ยอมรับกันและกันอยู่
ในสามอย่างนี้สำนักเต๋าสั่งสอนฝึกฝนผู้บำเพ็ญเป็นหลัก สอบเข้ายากที่สุด ทรัพยากรก็สมบูรณ์พร้อมที่สุด
ศิษย์สำนักเต๋าอยากจะเข้ากรมทหารหรือกรมอาญาล้วนง่ายมาก แต่หากผู้ฝึกตนทั้งสองสายคิดจะกลับไปเรียนที่สำนักเต๋ากลับยากลำบาก
ทหารพวกนี้เห็นเจียงวั่งเข้ามาในค่าย มีเหตุผลอะไรที่จะไม่อยากเห็นเขาขายหน้า
ครั้นเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เจียงวั่งก็รู้แล้วว่าไม่มีทางเลี่ยง ดีที่อย่างมากสุดก็แค่ถูกเยาะเย้ย ไม่เสียหายอะไรจริงจัง ดีกว่าผลาญแต้มคะแนนไปเปล่าๆ ในมิติมายาห้วงจักรวาลมาก
“เช่นนั้นก็เชิญพี่เจ้า!”
กระบี่ออกจากฝัก บุคลิกของเจียงวั่งแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
หากบอกว่าก่อนที่เจียงวั่งจะชักกระบี่ก็หัวเราะเฮฮา สง่างามอ่อนโยน เหมือนกับลูกแกะรอถูกเชือดในสายตาของเหล่าทหารนอกสนามฝึก
เช่นนั้นหลังจากชักกระบี่ออกมา เขาก็เหมือนกับเสือร้ายกินมนุษย์!
กระบี่สามฉื่อ ประกายกระบี่เจ็ดนิ้ว!
ประกายกระบี่หนึ่งนิ้วมือก็เป็นขีดจำกัดสูงสุดของผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปแล้ว มากกว่าหนึ่งนิ้วขึ้นไปคือขั้นเหนือมนุษย์
ประกายกระบี่เจ็ดนิ้วประดุจผืนน้ำตก
คนที่มองออกแค่เห็นก็รู้แล้วว่าอันตราย
เจ้าหล่างสะบัดสว่านวารีออกมาสองสาย เมื่อฝีเท้าขยับเคลื่อน งูเถาวัลย์ก็พุ่งขึ้นมาเองตรงหน้า
ประกายกระบี่แทงเฉียงผ่าสว่านวารีมา ตัวเจียงวั่งกลับมาอยู่หน้ากระบี่แล้ว เขาพลิกมือดึงกระบี่กลับ ฟันงูเถาวัลย์ขาดสะบั้น ก่อนจะหมุนตัวหลบกระสุนเพลิง ขณะกำลังจะบุกไปข้างหน้า จู่ๆ ก็หยุดท่ากระบี่แล้วกระโดดลอยตัวขึ้น
บนพื้นจุดเดิมมีกำแพงหินปรากฏขึ้นมา
วิชาสำแดงชั่วพริบตาที่เจ้าหล่างสลักเอาไว้ในขอบเขตวัฏจักรดาราคือวิชากำแพงศิลา วิชาเต๋านี้ไม่ได้ล้ำลึกอะไร แต่เขากลับใช้ได้เยี่ยมยอดนัก เขาสร้างกำแพงหินขึ้นมาโดยให้เจียงวั่งเป็นจุดศูนย์กลาง สำแดงวิชาเต๋าป้องกันล้วนๆ วิชาหนึ่งให้ได้ผลในการล้อมและทำร้ายศัตรู
เจียงวั่งกะพริบร่างหลบหลีกอย่างรวดเร็ว แล้วลอยหวือลงมาจากกลางอากาศ
กำแพงหินอีกแถวหนึ่งพุ่งเฉียงขึ้นมาข้างหน้า ขวางทางเอาไว้
เจียงวั่งพร้อมกระบี่ชนกำแพงหินจนแหลกละเอียด แต่เจ้าหล่างหลบไปอีกข้างหนึ่งเรียบร้อย กำแพงหินโผล่ขึ้นมาขวางกั้นระหว่างเขาและเจียงวั่งเอาไว้อีกครั้ง
เจียงวั่งจึงสลายวิชาเต๋าที่รวมได้ครึ่งหนึ่งแล้วทิ้งไปเสีย จากนั้นหมุนตัวตามกระบี่ ใช้คมกระบี่ผ่ากำแพงหินนี้ เมื่อยกขาถีบออกไป กำแพงหินก็พลันถล่มลงมา
แต่ร่างของเจ้าหล่างกลับหายไปแล้ว
ข้างหลังกำแพงหินเป็นกำแพงหินอีกแถบหนึ่งแทน
………………………………………………………