ผู้เสียหายชื่อหลี่กุ้ยเฟิน ไม่ใช่คนพื้นที่เมืองหนาน ที่บ้านมีลูกสาวคนเดียว แต่งงานมาอยู่ชานเมืองเมืองหนาน ก็คือผู้หญิงคนที่ตอบหน้าชางหลิงเมื่อกี้–หลิวเย่นฟาง
หลี่กุ้ยเฟินเป็นแม่หม้ายมาหลายปี ใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวมาตลอด ฝั่งสามีก็ไม่มีญาติอะไรแล้ว คนที่มาวันนี้ ล้วนเป็นคนในครอบครัวของสามีหลิวเย่นฟางชื่อเฉียนจื้อหย่วน
ชางหลิงทำใจสักพัก เดินไปข้างหน้าหลิวเย่นฟาง
“ฉันขอพูดครั้งสุดท้าย ฉันไม่ได้ชนแม่คุณ เพราะว่าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรง ฉันเห็นแล้ว ก็ปล่อยไว้ไม่ช่วยไม่ได้ เพราะฉะนั้นถึงส่งมาโรงพยาบาล”
“เธอไม่ต้องมาแก้ตัว มีฆาตกรที่ไหนยอมรับว่าตัวเองฆ่าคน?” หลิวเย่นฟางมองชางหลิงด้วยความเกลียดชัง
“งั้นคุณต้องการอะไร?” ชางหลิงมือกอดอก “อยากได้เงินเหรอ? เอาเท่าไหร่?”
“เธอนึกว่าฉันเป็นคนอะไร เอาชีวิตแม่เพื่อไปแลกเงินเหรอ?” หลิวเย่นฟางตะคอกใส่ชางหลิง “ฉันขอบอกเธอ ฉันไม่มีวันโกงเธอ เธอออกเงินค่ารักษาให้แม่ฉันเป็นเรื่องสมควร แต่ว่า ฉันต้องไปฟ้องเธอแน่ ฉันต้องให้เธอเข้าไปนั่งในคุกแน่”
“อะไรนะ?” ชางหลิงหัวเราะเย็นชา “เธอจะให้ฉันไปนั่งในคุก?”
หลิวเย่นฟางคนนี้ ไม่ได้มาเพื่อเงินของเธอ แต่เพราะอยากให้เธอเข้าคุก?
ป๋ายจื๋อหรี่ตาลง จ้องหน้าหลิวเย่นฟาง
“ฉันไม่ยอมรับการประนีประนอม ฉันจะไปหาทนายเดี๋ยวนี้ เธอรอดูละกัน” หลิวเย่นฟางท่าทางไม่อยากพูดมากกับชางหลิงต่อ หมุนตัวเดินเข้าห้องผู้ป่วย
ชางหลิงโมโห
ในโลกนี้ทำไมถึงมีคนแบบนี้?
“ฉันดูออกแล้ว” ชางหลิงพูดกับป๋ายจื๋อ “ถ้าเธอมาเพื่อแค่ต้องการเงินเท่านั้น บางทีฉันอาจจะบอกตัวเองว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ ฉันแค่พอดีกลายเป็นคนโชคร้ายเท่านั้น”
“แต่คุณเห็นหรือยัง ถึงแม้ว่าคุณจะพูดแล้วว่าคุณคือคนขับรถ แต่เธอก็ยังเจาะจงมาที่ฉัน ยังบอกว่าจะส่งฉันเข้าคุก เรื่องนี้มันไม่ง่ายขนาดนี้แล้ว”
แต่ใครกันแน่? ใครที่มีความโกรธแค้นกับเธอถึงขนาดนี้ ทำได้แม้กระทั่งใช้ชีวิตคนหนึ่งชีวิตเพื่อที่จะดึงตัวให้ล่มจม?
“มีใครบ้าง ที่สามารถสัมผัสรถคันนี้ได้ และยังรู้การเดินทางของพวกเรา?” ป๋ายจื๋อถามเสียงเบาไปหนึ่งประโยค
ชางหลิงคิดทวนในสมองรอบหนึ่ง ทันใดนั้น ก็เงยหน้าขึ้น
จี้เหยากวง
แน่นอน ป๋ายจื๋อก็คิดถึงชื่อนี้แล้ว
“เป็นไปไม่ได้มั้ง” ชางหลิงปฏิเสธคำตอบนี้ “ไม่มีเหตุผล ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้รู้จักเธอ อีกอย่างเธอดูแล้วก็ออกจะ…….”
อ่อนแอขนาดนั้น เป็นไปได้ยังไงที่เธอจะหาคนกลุ่มหนึ่งมาช่วยเธอแสดงละคร?
“ชางหลิง?” ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคิดเรื่องบางอย่าง ก็มีเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมาจากข้างหลังเธอ ชางหลิงหันกลับไปมอง ก็เห็นร่างของโหมวฉี่
“คุณชายฉี่?” ชางหลิงตะลึงเล็กน้อย
ไม่ได้เจอกันนาน ท่าทางของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง บุคลิกยังคงดูอบอุ่น หน้ายิ้มแย้ม ขยับแว่นตาขอบทองของเขา เขาโบกมือ เซียวฉู่เข็นรถเข็นของเขาเข้าไปหาพวกเขา
“ทำไมคุณถึงอยู่นี่?” ชางหลิงถามเขา
ทันใดนั้นคิดถึงวันนี้เป็นวันที่สี่ของจีนแล้ว โหมวฉี่นั่งเที่ยวบินเมืองคืน ตามเวลาต่างแล้ว น่าจะกลับถึงเมืองหนานเที่ยงคืน ทำไมเช้าขนาดนี้ ก็ปรากฏตัวในโรงพยาบาล?
“นัดหมดไว้เพื่อมาตรวจร่างกาย” โหมวฉี่น้ำเสียงนุ่มนวล “คุณล่ะ? ทำไมถึงอยู่ที่นี่?”
ชางหลิงหันกลับไปมองห้องผู้ป่วยที่วุ่นวาย ถอนหายใจยาว “เจอเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย”
โหมวฉี่เอียงคอเล็กน้อยเพื่อดูคนที่เสียงดังในห้อง หัวเราะ “ต้องการให้ช่วยไหม?”
ชางหลิงไม่ได้ตอบ หาเก้าอี้นั่งลง ตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่ได้นอนเลย เธอขอบตาดำ อ่อนเพลียมาก
“อะยู่……เขามาหรือยัง?” โหมวฉี่ถามอีก
“เขามาแล้วจะช่วยอะไรได้?” พอพูดถึงโหมวยู่ ชางหลิงก็ยิ่งโมโห “ในสายตาเขา เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องวุ่นวายแล้วให้ฉันยอมรับโทษในสิ่งที่ฉันไม่ได้ทำ เขาคิดว่าเงินสามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แต่ว่า ฉันต้องการความบริสุทธิ์”
“ไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ ฉันไม่มีวันยอมรับผิด และไม่ยอมชดใช้ด้วย”
“คุณต้องเข้าใจหน่อย” โหมวฉี่ยังคงปลอบเธอเสียงเบา “อะยู่คนนี้ นิสัยค่อนข้างตรง เขาคงไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้”
“ช่างเถอะ” ชางหลิงเอือมระอา “เขาคิดยังไงไม่สำคัญแล้ว เรื่องของฉัน ฉันจัดการเองได้”
“คุณก็ไม่ต้องแบกรับเรื่องทุกอย่างไว้เอง” โหมวฉี่พูด แล้วมองไปที่เซียวฉู่ “เรื่องแบบนี้ ต้องให้เป็นหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญถึงจะวางใจ ถ้าหากคุณไม่ถือสา ผมให้เซียวฉู่ช่วยคุณ”
“เซียวฉู่?” ชางหลิงก็มองไปทางเซียวฉู่ เขาสีหน้านิ่งเฉย ไม่ได้มีอาการตอบสนองอะไรจากการถูกเรียกชื่อจากโหมวฉี่
“เขาเป็นผู้ช่วยของผม แต่ว่าเพราะเราสองคนความสัมพันธ์ดี แต่ว่าความจริง ตำแหน่งของเขาในเซิ่งซื่อคือที่ปรึกษาสูงสุดทางกฎหมาย ถ้าจะพูดถึงเรื่องฟ้องร้อง ในเมืองหนานยังไม่มีใครสู้เขาได้” โหมวฉี่เห็นชางหลิงไม่เข้า ก็เลยอธิบายให้เธอฟัง
“จริงเหรอ?” ชางหลิงรู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที เธอยังเป็นห่วงว่าจะไปหาทนายผู้เชี่ยวชาญที่ไหน
“ยินดีรับใช้คุณชางทุกเมื่อ” เซียวฉู่พูดกับชางหลิงอย่างเกรงใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเซียวฉู่ปฏิบัติต่อเธอค่อนข้างนิ่งเฉย ตอนนี้เขายินดีช่วยเธอ ชางหลิงก็รู้สึกซาบซึ้ง
“พวกคุณยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหม ผมเลี้ยงอาหารเช้าพวกคุณ?” โหมวฉี่เสนอ
ชางหลิงกำลังจะปฏิเสธ โหมวฉี่ก็พูดต่อ “พอดี ผมมีธุระจะหาคุณ ในเมื่อเจอกันที่นี่แล้ว หาโอกาสไม่สู้ใช้โอกาสนี้เลย”
ชางหลิงอึ้งเล็กน้อย ไม่รู้ว่าโหมวฉี่ต้องการทำอะไร สุดท้าย ก็พยักหน้า
ร้านอาหารเช้าแบบจีน
ชางหลิงกับโหมวฉี่นั่งตรงข้ามกัน บนโต๊ะจัดวางอาหารมากมายซึ่งดูแล้วก็รู้ว่ากินไม่หมด ป๋ายจื๋อและเซียวฉู่นั่งอีกโต๊ะ ให้ความเป็นส่วนตัวกับพวกเขา
“การร่วมงานที่เคยคุยกับคุณก่อนหน้านี้ ผมได้ทำแผนผังคร่าวๆแล้ว เพื่อให้คุณเห็นความจริงใจของผม เพราะฉะนั้น จึงเตรียมของบางอย่างเป็นพิเศษ” โหมวฉี่พูดไป หยิบเอกสารจากกระเป๋าที่วางอยู่ด้านข้าง
ชางหลิงรับมาด้วยความสงสัย เปิดออก ตอนที่เห็นตัวหนังสือด้านใน ก็ตกตะลึง
เอกสารโอนหุ้นของเซิ่งซื่อ?
“คุณชายฉี่ นี่คุณ…….” ชางหลิงอึ้งไปเลย
“ทุกวันนี้ หุ้นของเซิ่งซื่อเป็นออกเป็นสามส่วน นายท่านถือ40 ตอนแรกผมกับอายู่คนละ20 จากนั้นเขาได้มาจากตระกูลโม่ที่เหลืออีก20 เพราะฉะนั้น หุ้นในมือของเขากับนายท่านก็เท่ากันแล้ว” โหมวฉี่อธิบาย “คุณก็รู้ ผมไม่ใช่ลูกแท้ๆของนายท่าน เขาให้ผม20 ถือว่าเป็นพระคุณอย่างสูงแล้ว ความจริงหลายปีนี้ ผมถือหุ้นพวกนี้ไว้ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ทุกวันนี้ในมือก็มีทรัพย์สินส่วนตัวบ้างแล้ว เพราะฉะนั้น สิบเปอร์เซ็นต์นี้ ก็ถือว่าผมให้คุณ”
ชางหลิงตะลึงจนพูดไม่ออก
หุ้นส่วนสิบเปอร์เซ็นต์ของเซิ่งซื่อ ทรัพย์สินมหาศาลขนาดนี้? ในสมองเธอคำนวณไม่ถูกแล้ว แต่ว่า เงินมากมายขนาดนี้ โหมวฉี่บอกให้เธอก็ให้เธอเลย?
ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก – ตอนที่ 270 เข้าไปนั่งในคุกแน่
Posted by ? Views, Released on September 26, 2021
, ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก
เธอสุขใจมากล้นเตรียมที่จะแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาหลายปี แต่คืนก่อนวันแต่งงานกลับรู้ว่าแฟนหนุ่มนอนกับน้องสาวต่างสายเลือดด้วยความโกรธครอบงำชางหลิงใช้เงินซื้อผู้เชาย หลังเมาก็ร้องจะนอนกับเจ้าของคลับ ยังถูกคนหลอกแต่งงานเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่คาดว่าถูกคนกลับเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ เฮียคือใครกันนะ“ยมบาลแสนเย็นชา”ซึ่งอยู่ทั้งสายขาวสายดำแห่งเมืองหนานที่ทุกคนต่างเกรงกลัว แถมยังเป็นผู้นำที่มีอำนาจทั้งตระกูลโหมวและในบริษัทเซิ่งซื่อกรุ๊ปแต่ข่าวลือว่ากันว่าเขาไม่เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ใช่หรอ เขาชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่หรอแต่ทำไมถึงเป็นเพราะผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอถึงกับทุกวันไม่อยากลงจากเตียง จริงอย่างคาดคิด ข่าวลือล้วนแต่หลอกลวงโดยสิ้นเชิง