“เสี่ยวหลิงหลิง” ซูเสี่ยวเฉิงไล่ตามเธอ และรับกระเป๋าใบหนึ่งจากมือของเธอมา “เธอจะไปไหน”
ดวงตาขอชางหลิงเต็มไปด้วยน้ำตา แต่เธอก็ไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าพวกเขาจนเกินไปเธอถอนหายใจและกดความเศร้าเสียใจของตัวเองไว้
“เธอจะไปไม่ได้นะ!” ซูเสี่ยวเฉิงโมโห “เธอไม่เห็นท่าทีของโหมวยู่หรือไง? เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขากำลังเข้าข้างจี้เหยากวงคนนั้นนะ ถ้าเธอไป ก็เท่ากับว่ากำลังสร้างที่ว่างให้กับเธอนะ หญิงโสดชายโสดแบบนี้ หากอยู่ในห้องนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามมันสามารถทำได้ทั้งนั้น และถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเขานิดหน่อย ทุกอย่างก็จะจบลง”
“เธอก็มองออกด้วยนี่นา” ชางหลิงฝืนยิ้ม “ว่าเขากำลังเข้าข้างจี้เหยากวงอยู่”
“ดังนั้น หากฉันอยู่ที่นี่ต่อไปมันไม่ใช่ว่ากำลังสร้างปัญหาให้ตัวเองงั้นเหรอ?”
“แต่…” ซูเสี่ยวเฉิงยังคงกังวลอย่างมาก
ชางหลิงสาวเท้าเดินออกไปที่ประตูเมื่อไปถึงประตู เธอก็มองกลับไปแวบหนึ่งด้วยความคิดถึง
ครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ คำพูดเหล่านี้ที่โหมวยู่เคยพูดกับเธอยังคงก้องอยู่ในหูของเธอ ซึ่งเธอก็เคยคิดว่า เธออาจอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ไปตลอดชีวิต จนเธอให้กำหนดลูกและอบรมสั่งสอนลูก และใช้ชีวิตในยามแก่อย่างมีความสุข
แต่ตอนนี้ ชีวิตแบบนี้ ก็ค่อยๆ กลายเป็นภาพลวงตาไปแล้ว
“ฉันเชื่อเขา” ชางหลิงให้กำลังใจตัวเอง “โหมวยู่ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”
“หากตามรูปร่างหน้าตา ชางหลิงจะโดดเด่นกว่าจี้เหยากวง แต่หากตามลำดับศักดิ์ จี้เหยากวงก็เทียบกับโม่โม่ไม่ได้ แม้แต่พวกเธอโหมวยู่ยังไม่เลือกสักคน แล้วทำไมถึงไปเลือกจี้เหยากวงได้ยังไงกัน หรือว่าเขาจะ…” ชางหลิงคิดอย่างรอบคอบไปครู่หนึ่ง “หรือแค่อารมณ์ไม่ดี”
แม้ว่าเธอจะไม่ไม่เข้าใจว่าเธอไปยั่วโมโหอะไรเขากันแน่ แต่ที่เขาบอกว่าให้ห่างกันสักพักนั้นคงเป็นแค่การจัดการกับอารมณ์ตัวเอง
“แล้วคุณจะไปไหน?” หลีซินก็เดินตามขึ้นมา “งั้นก็ไปที่ผมสิ”
พวกเขาก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างชางหลิงกับตระกูลชางนั้นมีความขัดแย้งที่แก้ไม่ตกกันมากมายขนาดนั้น ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะกลับไปที่ตระกูลชาง
“ซึ่งคุณก็เคยอาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อนด้วยและนิสัยความเป็นอยู่ผมก็รู้เป็นอย่างดี ดังนั้นการไปที่นั่นมันจะสะดวกที่สุด” หลีซินพูด
ซูเสี่ยวเฉิงลู่ตาลง และไม่ได้พูดอะไร
ชางหลิงรู้สึกถึงการแสดงออกของซูเสี่ยวเฉิง เธอยิ้ม “ฉันไปที่นั่นแล้วมันจะได้อะไร?”
“วางใจเถอะ ฉันยังไม่ได้ตกอับถึงจุดที่ไปจากโหมวยู่แล้วจะไม่มีที่ไปสะหน่อย”
หลีซินกำลังจะพูดบางอย่าง แต่ชางหลิงก็ได้ขัดจังหวะเขาแล้ว “เอาล่ะ คุณก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันแค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพัก”
“เสี่ยวหลิงหลิง” ซูเสี่ยวเฉิงจับมือเธอไว้ “ไม่ว่ายังไงก็ตาม เธอยังมีฉันอยู่นะ ถ้าเธอต้องการอะไร สามารถบอกเราได้ตลอดเวลาเลยนะ”
ชางหลิงพยักหน้า
หลีซินขับรถส่งชางหลิงกลับไปที่คอนโดขนาดเล็กของเขา
ขณะที่เดินเข้าไปในสวน ชางหลิงก็รู้สึกคละเคล้าไปหมด ซึ่งครั้งล่าสุดที่มาที่นี่เป็นวันเดียวกันกับวันที่เธอจะไปจดทะเบียนสมรสและเธอก็จับชู้หยูเฉินได้บนเตียง นี่มันแค่ชั่วพริบตาเดียว ก็ผ่านไปตั้งครึ่งปีแล้วเหรอ
บ้านเดี่ยวหลังเล็กหลังนี้เป็นหลังที่แม่ของเธอทิ้งไว้ให้เก็บไว้เพื่อเป็นสินเดิมให้เธอ ดังนั้นสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบจึงครบครันอย่างมาก แม้ว่ามันจะเทียบไม่ได้กับวิลล่าหนานวานของโหมวยู่เลยแต่มันก็เหลือเฟือที่จะเป็นที่พักอาศัยของเธอ
ซูเสี่ยวเฉิงและหลีซินช่วยเธอถือกระเป๋าเดินทางเข้าบ้านช่วยซื้อของใช้ประจำวันทุกอย่างให้เธอ ดังนั้นตู้เย็นจึงถูกยัดเต็มไปด้วยอาหาร และเมื่อทุกอย่างลงตัวพวกเขาจึงได้ออกไป
หลังจากที่วุ่นวายมาทั้งวัน ชางหลิงก็ได้เปลี่ยนชุดเครื่องนอนใหม่และเธอก็เหนื่อยจนต้องทรุดตัวลงบนเตียง
บ้านหลังนี้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยแบกรับความหวังทั้งหมดของเธอไว้สำหรับครึ่งชีวิตต่อจากนี้แต่มันกลับเงียบเหงา ซึ่งมันเงียบ
เธอเบิ่งตาขึ้น มองไปที่เพดาน จากนั้นดวงตาของเธอก็ค่อยๆ แดงขึ้นและในที่สุด น้ำตาก็ไหลลงตามหางตา
ในที่สุดฉันก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
เมื่อถึงจุดที่ต้องอยู่คนเดียว มันช่างเงียบสงัดและไร้ซึ่งเสียงใดๆ และความเศร้าโศกก็ค่อยๆ เข้ามาอย่างไม่สามารถหยุดไว้ได้เลย
เศร้าจังเลย…แม้ว่าเธอจะแสร้งทำเป็นเข้มแข็งแค่ไหน และทำเหมือนกับว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่เธอก็เศร้าจริงๆ
คนที่เธอรักมากขนาดนี้ทำไมอยู่ๆ ถึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันขนาดนี้ได้ล่ะ?
ทั้งชีวิตนี้ของเธอเธอเคยรักแค่คนสองคนเท่านั้น ซึ่งในระหว่างนั้น เธอยังไปแย่งกับชางฉิงอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้นอยู่เลย แต่เมื่อมาอยู่ข้างกายโหมวยู่ เธอกลับกลายเป็นคนที่ไร้เรี่ยวแรงขนาดนี้แล้ว
หยูเฉินแอบเธอคบกับกับชางฉิงซึ่งเธอโกรธอย่างมาก และไม่ยินยอมอย่างมากด้วยเพราะมันทำให้เธอรู้สึกว่าเธอโดนหลอกมาตลอด 5 ปี แต่โหมวยู่กลับเย็นชาใส่เธอ จนทำให้เธอกลัวอย่างที่ไม่เคยกลัวมาก่อน
หรือว่าเขาจะไม่ต้องการเธอแล้ว? ถ้าเป็นแบบนี้จริง…แล้วเธอควรจะทำยังไงดี?
ซูเสี่ยวเฉิงและหลีซินเดินออกจากคอนโดจากนั้นซูเสี่ยวเฉิงก็ขึ้นรถไป โดยไม่พูดไม่จาอะไรเลย
“เธออยู่ที่นี่คนเดียว แน่ใจนะว่าจะไม่เป็นไร?” หลีซินยังคงไม่วางใจ เขาเปิดหน้าต่างรถและมองออกไปยังทิศทางทางประตูคอนโด เมื่อเห็นว่าซูเสี่ยวเฉิงไม่ไม่พูดไม่จาอะไรกับเขา เขาก็หันหน้ากลับไป และเห็นเธอที่เอาแต่ก้มหน้า
ตอนที่พวกเขามานั้น พวกเขาก็เอาแต่คุยเรื่องของชางหลิงมาตลอดทาง แต่ตอนนี้หัวข้อนั้นก็ได้จบลงแล้ว และบรรยากาศก็เงียบลงหลีซินลูบจมูกตัวเองโดยไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากพูดอะไรดี
“เรา…เราจะไปไหนต่อดี?” หลีซินถามอย่างไม่มั่นใจ
“ส่งฉันกลับบ้าน” ซูเสี่ยวเฉิงตอบกลับอย่างเฉยชา
หลีซินเลิกคิ้วขึ้น
เขาล้วงมือไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วสัมผัสตั๋วหนังสองใบนั้นไว้ซึ่งเขาก็ลังเลอยู่นาน
“ถ้าอย่างงั้น…”
“คืนนี้ฉันมีนัดน่ะ” ซูเสี่ยวเฉิงเอ่ยปากพูดก่อน เธอมองดูนาฬิกาข้อมือ “ใกล้จะถึงเวลาแล้วล่ะ พ่อแม่ของฉันคงจะรอฉันอยู่”
“อ๋อ” หลีซินไม่ได้หยิบตั๋วหนังออกมา
เมื่อสตาร์ทรถสายตาเขาก็จ้องไปที่กระจกหลังเป็นระยะๆเพื่อสังเกตสีหน้าของซูเสี่ยวเฉิง “งานเลี้ยงครอบครัวเหรอ?”
“ประมาณนั้น” ซูเสี่ยวเฉิงหยิบโทรศัพท์ออกมา อย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวซึ่งก็ไม่รู้ว่าเธอพิมพ์อะไรบนหน้าจอมือถือ “เพื่อนของพ่อแม่ฉัน และลูกชายของบ้านพวกเขา ไม่ได้เจอกันนาน เลยถือโอกาสนัดกันในช่วงที่งานไม่ค่อยยุ่งนี้”
หลีซินกำมือที่จับพวงมาลัยไว้แน่น
ในงานเลี้ยงต้อนรับเมื่อปีก่อน เขาได้ยินซูเสี่ยวเฉิงพูดว่า ครอบครัวของเธอจัดการนัดดูตัวให้เธอ
ดังนั้น คืนนี้ เธอจะไปนัดดูตัวสินะ!
“ใช่แล้วล่ะ วันนี้คุณไปๆ มาๆ แถวๆ บ้านฉันทำไม?” ซูเสี่ยวเฉิงถามเขาไปประโยคหนึ่ง
“ไม่ได้มีอะไรนี่ครับ” สีหน้าของหลีซินเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด
ซูเสี่ยวเฉิงรู้สึกได้ถึงว่ามันมีบางอย่างผิดปกติกับเขา โดยคิดว่าเขาอาจไม่สบายใจเพราะเรื่องของชางหลิง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ซักถามอะไรอีก
เมื่อรถมาถึงประตูบ้านตระกูลซูซูเสี่ยวเฉิงก็ลงจากรถ แล้วเดินไปที่ตำแหน่งเบาะข้างคนขับ เธอเคาะหน้าต่าง “ฉันไปก่อนนะ”
เธอโบกมือให้เขา”วันนี้มีแขก ฉันคงจะไม่เชิญคุณเข้ามานั่งด้วยนะ ขอบคุณที่ส่งฉันกลับนะคะ”
หลีซินกะพริบตา พร้อมกับพยักหน้า
ซูเสี่ยวเฉิงหันหลังกลับแล้วเดินไปยังทิศทางของประตู หลังจากที่ละสายตาหลีซินไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หายไปอย่างรวดเร็ว และในชั่วพริบตาเดียวเธอก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวและความขมขื่น
เธอถอนหายใจยาวๆ ไปทีหนึ่ง
จริงอย่างที่ว่าด้วยเวลาที่ผู้หญิงมีความรัก ก็มักจะไม่เป็นตัวของตัวเอง
ทั้งๆ ที่เธอใช้เวลานานมากในการบอกเป็นนัยๆ กับตัวเองว่า เธอไม่อยากให้ตัวเองคิดเลยเถิดกับหลีซิน แต่ในขณะที่เห็น หลีซิน การเตรียมการทางจิตใจทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเธอ ก็ไม่มีผลอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องที่หลีซินพูดคุยกับเธอนั้น มักจะเป็นเรื่องของชางหลิงมาโดยตลอด และความห่วงใยที่เขาได้แสดงต่อเธอนั้น เธอในฐานะคนนอกจะไม่มีวันเทียบได้เลย
ดังนั้นลำดับการปรากฏตัวในชีวิตจึงมีความสำคัญจริงๆเพราะเธอมาช้ากว่าชางหลิงไปแค่ก้าวเดียว แต่กลับเป็นว่าเธอมาช้าไปตลอดชีวิต
ภาพด้านหลังของเธอค่อยๆ หายไปในสายตาของหลีซินจากนั้นหลีซินก็เหยียบคันเร่ง และย้ายรถไปยังที่ซึ่งไม่เด่นตามาก
อยากจะจากไปแต่กลับขยับเท้าไปไหนไม่ได้ และไม่ว่าจะเหยียบเบรกยังไงก็เหยียบไม่ได้เลย
วันนี้เธอนัดดูตัวถ้าเธอให้ความสนใจกับผู้ชายคนนั้นจริงๆ ขึ้นมาล่ะจะต้องทำยังไง?
จากนี้ไประหว่างพวกเขาคงจะไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว
หลีซินหยิบตั๋วหนังสองใบนั้นออกมาแล้วโยนลงบนเบาะข้างคนขับอย่างหมดกำลังใจพร้อมกับความรู้สึกหงุดหงิดโมโหอย่างมาก
ทำไมไม่เอ่ยปากพูดเล่า! เอ่ยปากพูดกับเธอว่า อยากชวนเธอไปดูหนัง อยากสารภาพรักกับเธออย่างเอาจริงเอาจัง ทำไมมันยากเย็นขนาดนี้วะ?
เมื่อกำลังนึกถึงสิ่งเหล่านี้ เขาก็ได้ยินเสียงที่ดังมาจากประตูบ้านตระกูลซู หลีซินลดหน้าต่างรถลง แล้วหันหน้ากลับไป เห็นรถ BMW จอดอยู่ตรงที่ซึ่งเขาเพิ่งจอดรถไปเมื่อสักครู่นั้น
มีชายรูปหล่อคนหนึ่งลงจากรถก่อนเขาเดินอ้อมไปหลังรถ แล้วเปิดประตูให้ผู้สูงอายุสองท่าน
เขาเป็นพระเอกของคืนนี้งั้นเหรอ?
ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก – ตอนที่ 274 พระเอกของคืนนี้
Posted by ? Views, Released on September 26, 2021
, ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก
เธอสุขใจมากล้นเตรียมที่จะแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาหลายปี แต่คืนก่อนวันแต่งงานกลับรู้ว่าแฟนหนุ่มนอนกับน้องสาวต่างสายเลือดด้วยความโกรธครอบงำชางหลิงใช้เงินซื้อผู้เชาย หลังเมาก็ร้องจะนอนกับเจ้าของคลับ ยังถูกคนหลอกแต่งงานเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่คาดว่าถูกคนกลับเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ เฮียคือใครกันนะ“ยมบาลแสนเย็นชา”ซึ่งอยู่ทั้งสายขาวสายดำแห่งเมืองหนานที่ทุกคนต่างเกรงกลัว แถมยังเป็นผู้นำที่มีอำนาจทั้งตระกูลโหมวและในบริษัทเซิ่งซื่อกรุ๊ปแต่ข่าวลือว่ากันว่าเขาไม่เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ใช่หรอ เขาชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่หรอแต่ทำไมถึงเป็นเพราะผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอถึงกับทุกวันไม่อยากลงจากเตียง จริงอย่างคาดคิด ข่าวลือล้วนแต่หลอกลวงโดยสิ้นเชิง