โชคดีที่เมื่อคืนเฉินเฉียวได้คิดเรื่องนี้แล้วตัดสินใจไว้แล้วดังนั้นเธอจะไม่ถูกเขาครอบงำ
เธอวางมือบนไหล่ของเขา “ฉันจะลุก”
ซังหลินจวินไม่ได้ขัดพลางถามด้วยเสียงเบาๆ “กี่โมงแล้ว?”
“ มันเจ็ดโมงกว่าแล้ว”
เขาลืมตาขึ้นเล็กน้อยและจ้องไปที่เธอ “เครื่องบินผมออกตอนสิบโมง”
“ถ้าอย่างนั้นคุณควรจะลุกขึ้นได้แล้ว”
ซังหลินจวินยังไม่ทันได้พูดโทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้นแล้ว
เขาปล่อยเฉินเฉียวและเอื้อมมือไปรับ เสียงของอวี้เฟยดังมา “ท่านครับคนขับรถกำลังไปรับนะครับ”
โอเคซังหลินจวินตอบและวางสาย
หันกลับไปเห็นเฉินเฉียวใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
เขาเชิญ: “กินข้าวเช้ากับผมเถอะ กลับครั้งหน้าก็อีกยี่สิบกว่าวัน”
เฉินเฉียวคิดสักพักและพยักหน้าเห็นด้วย
ร้านอาหารที่ชั้นบนสุดเงียบมาก
ที่นี่ให้บริการเฉพาะแขกวีไอพีชั้นนำของโรงแรมเท่านั้น แต่ละโต๊ะมีพนักงานบริการแบบตัวต่อตัว
เมื่อมาถึงร้านอาหารชั้นบนสุดเฉินเฉียวคิดได้ว่าด้วยฐานะทางสังคมของเขา ถ้าเกิดไปโผล่ที่สาธารณะเช้าตรู่แบบนี้ คนจะมองยังไง แต่โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีแขกคนอื่นในร้านอาหารนอกจากพวกเขา
บริกรให้บริการด้วยความเคารพ ในบางครั้งมีพนักงานเสิร์ฟเดินผ่านไปมาและมักจะมองดูพวกเขาในสายตาที่สงสัยไม่ก็ชื่นชม
ซังหลินจวินเป็นคนที่มีออร่าจริงๆ ไปที่ไหนก็มักจะมีแต่ผู้หญิงมอง
เฉินเฉียวมองไปที่ชายตรงข้ามและเห็นว่าเขาเป็นคนนิ่งๆนั่งคุยโทรศัพท์ตลอด ดูเหมือนว่าแววตาเหล่านั้นไม่มีผลอะไรกับเขา
“ เอาแต่มองผมแบบนี้จะอิ่มไหม”ในที่สุดหลังจากวางสายแล้วซังหลินจวินก็หันหน้ามาสบตาเธอตรงๆ
ปรากฎว่าเขาไม่ได้ไร้ความรู้สึก
เฉินเฉียวพึมพำกับตัวเอง
“ ก็ประธานซังน่ากิน”เธออิ่มแล้วจริงๆ
วางช้อนส้อมบนโต๊ะอาหารแล้วมองไปรอบ ๆ และในที่สุดก็พบกับวิวยามเช้าของเมืองทั้งเมืองใต้ “โรงแรมนี้เป็นของกลุ่มหยวนเซิ่งด้วยหรอ”
อืม ครั้งแรกที่ออกมาจากคลับ ผมก็พาคุณมาที่นี้ จำได้มั้ยเมื่อพูดถึงเหตุการณ์ตอนแรกซังหลินจวินก็จ้องมองลึกลงไป
เฉินเฉียวดื่มเครื่องดื่ม ให้ชุ่มคอ“ วันนั้นฉันจำไม่ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นเมา ”
“ไม่เป็นไร”ซังหลินจวินจิบกาแฟและขยับตัวอย่างสง่า“ จำได้ไหมว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น”
เฉินเฉียวไม่ตอบแต่สายตาของเธอมองไปที่การจราจรที่พลุกพล่านถนนชั้นล่าง นึกอะไรบางอย่างออก สายตาก็มืดลงพลางถาม: “มันต้องเยี่ยมมากแน่ๆที่ได้ยืนอยู่ชั้นบนสุดนี้และมองลงไป”
ซังหลินจวินมองไปที่เธอไกล ๆ
หลังจากนั้นเขาก็ดึงเก้าอี้ออกลุกขึ้นเดินช้าๆไปที่หน้าต่าง จากนั้นยืนตรงหน้าหน้าต่าง
เขายืนอยู่ที่นั่นมองเห็นชั้นล่าง
แสงสีทองนอกหน้าต่างส่องเข้ามาทางหน้าต่างและกระทบตัวเขา
ร่างทั้งร่างของเขาถูกสาดด้วยแสงแดดยามเช้าสีทอง ร่างของเขาแผ่ออร่าดั่งเทพบุตร ด้วยสัญชาตญาณใครๆก็อยากเหลียวตามอง
เฉินเฉียวรู้น้อยมากเกี่ยวกับอดีตของเขา แต่เธอก็อยากจะรู้ด้วยอายุของเขาการนั่งอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นวิธีการหรือแผนอะไรก็ตาม หรือจะความทะเยอทะยานหรือความมุ่งมั่น ก็เป็นความสามารถที่สุดยอด
“ เฉียวเฉียว มานี่สิ”เขามองไปด้านข้างและเรียกเธอ
เฉินเฉียวเดินมาหาเขาและยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา
เมื่อมองลงไปจากชั้น 50 ไม่ว่าจะเป็นคนเดินเท้าหรือยานพาหนะที่อยู่ข้างล่างดูเหมือนมด
“ ยืนตรงนี้รู้สึกยังไงบ้าง?”ซังหลินจวินถามเธอกลับ
“ทุกคนต่างแหวนหน้าหน้ามองคุณ ทุกคนต่างให้ความเคารพคุณ อำนาจและเงินทองให้สิ่งนี้กับคุณ ถึงแม้ว่าบ้างครั้งอาจจะรู้สึกเหงาโดดเดี่ยว แต่มันก็ยังทำให้คนเสพติด”เฉินเฉียวหันไปมองเขาและถามว่า “คุณหมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกนี้ด้วยเหรอ?”
“ หมกมุ่นหรอ? ถ้าจะพูดว่าหมกมุ่น พูดว่าถอยแต่ถอยไม่ได้จะดีกว่า “ซังหลินจวินมองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าสงบ“ หยวนเซิ่งดูสวยงาม แต่ในความเป็นจริงมันถูกฉีกออกจากกันแล้วแต่ละคนมีความตั้งใจที่แตกต่างกัน บางคนต้องการที่จะดูดเลือดของหยวนเซิ่งในขณะที่บางคนก็อยากแทะเนื้อของหยวนเซิ่ง มีไม่กี่คนที่ต้องการทำให้มันใหญ่ขึ้นและดีขึ้นจริงๆ ดังนั้นผมไม่ต้องการให้หยวนเซิ่งที่อยู่ในมือผมถูกทำลาย”
“โครงการที่ลอนดอนครั้งนี้ ถ้าไม่มีเถียนเฟิงเสียงสนับสนุน ผมคงแย่ แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่ามันจะเป็นพรหรือคำสาป “เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ซังหลินจวินดูเคร่งขรึมมากขึ้น
เฉินเฉียวเคยชินกับความแข็งแกร่งของผู้ชายคนนี้ตอนนี้เห็นเขาดูเศร้าก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอมองเขาอย่างเป็นห่วง “พูดยังไงดี”
ซังหลินจวินมองไปด้านข้างเพื่อดูเธอเมื่อเห็นความกังวลบนใบหน้าของเธออารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นในทันใดและเขาก็หัวเราะเบา ๆ “เป็นห่วงผมหรอ”
“ คุณยังหัวเราะได้!”เฉินเฉียวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกฉุนเล็กน้อย
ซังหลินจวินเอื้อมแขนยาวๆไปกอดเธอ เฉินเฉียวตกใจและมองไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัวผลักเขาออกไป
เขาประสานมือที่เอวของเธอแน่น ราวกับว่าเหนื่อยเล็กน้อยคางของเขาวางอยู่บนไหล่ของเธอ“ เมื่อเร็ว ๆนี้เถียนเฟิงเสียงกับแม่ของซังอวี้ กำลังสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ คุณรู้ไหมว่านี่หมายถึงอะไร? ”
เฉินเฉียวตกใจ
เธอที่กำลังดิ้นรนก็หยุดลง
ดังนั้น…..เถียนเฟิงเสียงยังอาจเปลี่ยนฝั่งได้ทุกเมื่อ แล้วไปอยู่ข้างซังอวี้? ”
เป็นไปได้เสียงของเขาเรียบเฉยอยู่เสมอ แต่เฉินเฉียวก็รู้ว่ามันแฝงไปด้วยความเจ็บปวด
เถียนเฟิงเสียงเทียบเท่ากับแขนซ้ายแขนขวาของเขาและอิทธิพลของเถียนเฟิงเสียงในหยวนเซิ่งทำให้ขยับได้ทั้งร่าง ถ้าเขาเปลี่ยนฝั่งจริงๆงั้นตำแหน่งของซังหลินจวินในหยวนเซิ่ง ก็ตกอยู่ในอันตราย
เฉินเฉียวรู้ว่าเขาถูกกดดันและรู้สึกอึดอัดในใจ เธอผลักมือเขาออกและค่อยๆปล่อยมันไป
เธออยากถามเขาว่าเธอจะช่วยเขาได้ไหม อย่างไรก็ตามก่อนที่จะพูดคำนั้น ก็ติดอยู่ในลำคอพูดไม่ออก
เธอจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเขาตอนนี้?
การอยู่ห่างไกลจากเขาอาจเป็นความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเขา
ท้ายที่สุดถ้าเขาสามารถหมั้นและแต่งงานกับเถียนเถียน ได้จริงๆความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเถียนเฟิงเสียงจะมั่นคงเหมือนภูเขา เถียนเฟิงเสียงจะไม่หันมาทำร้ายลูกเขยของเขา
และชายคนนี้คือชายที่ถูกกำหนดให้ยืนอยู่บนยอดเขาและชี้ชะตาบริษัท
เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้หัวใจของเฉินเฉียวก็หนักอึ้ง
จากมุมมองของเธอหรือจากมุมมองของซังหลินจวินการตัดสินใจของเธอเมื่อคืนนี้เป็นเรื่องที่ชาญฉลาด เธอไม่ต้องการเป็นมือที่สามและไม่อยากเป็นอุปสรรคระหว่างทางของเขา
โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นอีกครั้งและเป็นคนขับรถโทรมา ขณะนี้คนขับรถมาถึงแล้ว