“ พี่กับประธานซังของเรามีความสัมพันธ์กันอย่างไร? เขาป่วยเข้าโรงบาล พี่จะมาดูอะไร “เฉินอินจ้องมองเธอสงสัย ท่าทางอ่อนไหวมาก
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นเจ้าของ คำว่า”ของเรา” นั้นดูเหมือนจะยึดซังหลินจวินมาเป็นของตัวเอง
เฉินเฉียวเงียบและมองไปที่ผู้หญิงที่หลงเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อน
ความเงียบในช่วงเวลานี้ทำให้เฉินอินรู้สึกไม่สบายใจ“ พี่ ตกลงว่าไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ไม่ได้สนิท แค่ช่วงนี้บริษัทฉันร่วมลงทุนกับบริษัทหนึ่งไปประมูลที่หย่วนเซิ้ง”ในที่สุดเฉินเฉียวก็ยอมเปิดปาก“ วันนี้ตอนไปหย่วนเซิ้งฉันเห็นประธานซังถูกส่งเข้าโรงบาลบริษัทเลยส่งฉันมาเยี่ยม”
เฉินอินเหมือนจะไม่เชื่อ “มาเยี่ยมดึกขนาดนี้เลยหรอ?”
“ เธอก็มาดึกเหมือนกันแหละ ฉันมาหลังจากการประชุมเสร็จ ”
“ ไหนๆก็มาเยี่ยมแล้ว ทำไมไม่เอาอะไรมาเลย แม้แต่ผลไม้ก็ไม่ได้เอามา ”
เฉินเฉียวมองสิ่งที่อยู่ในมือของเธอจากนั้นมองมือเปล่าของตัวเองมันไม่มีเหตุผลจริงๆ
แต่ในไม่ช้าเธอก็ดึงซองสีแดงออกมาจากกระเป๋าและพูดว่า “แค่นี้ก็พอแล้ว”
โชคดีที่เธอพกอั่งเปาไว้ในกระเป๋า อย่างไรก็ตามในซองแดงว่างเปล่า
เฉินอินดูเหมือนจะเชื่อในที่สุดและหัวเราะออกมา “ฮิ” “พี่ช่างงกจริงๆ”
“นักธุรกิจคนไหนที่ไม่งกหรอ”เฉินเฉียวไม่สนใจ
ในที่สุดโต๊ะประชาสัมพันธ์ก็พบหมายเลขห้องของซังหลินจวิน “คุณคะ,คุณซังอยู่ที่ห้อง V2009”
– โอเค ขอบคุณค่ะเฉินอินขอบคุณเขาและหันกลับไปเรียกเฉินเฉียว “พี่คะไปด้วยกันเถอะ!”
“เธอขึ้นไปก่อนเถอะ ดีนะเธอเตือนไว้ก่อน ฉันควรจะไปซื้อดอกไม้ก่อนแล้วเดี๋ยวตามไป”เฉินเฉียวไม่ต้องการขึ้นไปกับเฉินอิน ซังโย่วอีเด็กคนนั้นอยู่ข้างบน เธอกังวลว่าความจะแตก
อย่างไรก็ตามเฉินอินจับมือเธอไว้“ ไม่ต้องซื้อหรอก! มีอั่งเปาแล้วไม่ใช่หรอ? พี่คะ จริงๆฉันไปคนเดียวประหม่าจะตายอยู่แล้ว ดีนะพี่มาด้วย พี่เป็นกำลังใจให้ฉันและฉันจะไม่ประหม่า! ”
เฉินอินพูดแล้วลากเฉินเฉียวเข้าไปในลิฟต์
เฉินอินถือดอกไม้อย่างประหม่ามองไปที่ตัวเลขบนลิฟต์หันไปถามเฉินเฉียว “พี่ ดูฉันหน่อยสิว่าผมฉันยุ่งไหม? เสื้อผ้าโอเคไหม? พี่ว่า เขาจะชอบซุปไก่ที่ฉันเคี่ยวไหม ฉันลองชิมแล้วก็อร่อยดี ”
เฉินเฉียวมองไปที่เธอเป็นเวลานานอดไม่ได้ที่จะถาม”เฉินอินเธอรู้เรื่องคู่หมั้นของเขาไหม
“……”เฉินอินเม้มปาก “พี่ อย่ามาทำให้ฉันเสียอารมณ์!”
“ฉันกำลังเตือนเธอ ว่าควรจะมีสติหน่อย”เฉินเฉียวรู้สึกงุนงงสงสัยว่าเธอกำลังพูดกับ เฉินอินหรือพูดกับตัวเอง
“ ฉันมีสติดี เธอเป็นคู่หมั้นแบบไหน? จริงๆแล้วพวกเขาไม่ได้หมั้นกัน ถึงแม้ว่าจะหมั้นกันจริงๆ แล้วเกี่ยวอะไรด้วย? เขาทั้งคู่ยังไม่ได้แต่งงานกัน! “เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เฉินอินก็มองไปที่เฉินเฉียวแล้วพึมพำ: “ยิ่งไปกว่านั้นถึงจะแต่งงานแล้ว ก็ยังหย่าได้แบบพี่ไง”
สายตาของเฉินเฉียวจริงจังมากขึ้น
เฉินอินอึดอัดที่โดนม้อง”อย่าจ้องฉันแบบนี้ฉันกำลังพูดความจริง”
“ฉันขอเตือนเลยนะว่า อย่าถลำลึกไปมากกว่านี้ ไม่งั้นเธอจะยิ่งเจ็บ”
“ ถึงฉันจะเจ็บแต่มันก็เป็นเรื่องของฉัน ฉันมีความสุข”เฉินอินเหลือบมองเธอ“ พี่หยุดสอนฉันได้ไหม? ถ้าฉันเป็นพี่ เป็นห่วงเรื่องตัวเองก็สายเกินไปแล้ว ”
เฉินเฉียวโดนเฉินอินตอกกลับอีกครั้ง
บรรยากาศก็ฝืดขึ้นมาทันที
โชคดีที่ลิฟต์ถึงพอดี สองคนเดินออกจากลิฟต์ด้วยกันเฉินอินหายใจเข้าลึก ๆ อย่างต่อเนื่องและปรับอารมณ์ของเธอ เฉินเฉียวหยิบเงินสดสองหมื่นจากกระเป๋าและยัดลงในซองจดหมายสีแดงซึ่งเดิมทีแล้วเงินนี้ก่อนหน้านี้เป็นเงินที่เธอคืนให้เขา การให้เขาตอนนี้เป็นเพียงการกลับไปหาเจ้าของเดิมอีกครั้ง
เฉินอินมองเงินของเธอ “พี่ว่าพี่ทำงานมาตั้งหลายปีแล้ว ทำไมยังไม่เข้าใจเรื่องความรัก?”
“เธอรู้หรอไง?”
“เรื่องอื่นฉันไม่เข้าใจ แต่เรื่องประธานซังฉันเข้าใจ สิ่งที่เขาไม่ขาดก็คือนี่แหละ “เฉินอินชี้ที่ธนบัตรด้วยนิ้วของเธอ “ถ้าพี่ให้เขาละก็ ฉันว่าเขาคงจะดูถูก”
“ ไม่มีใครไม่เห็นแก่เงิน”
“ พวกเขาทั้งหมดก็เป็นคนธรรมดา แต่ประธานซังของเราไม่เหมือน ”
“ พี่อย่าเหมารวมเขา ไม่เหมือนยังไง? ไม่ใช่คนธรรมดาทั้งหมด ”
เฉินอินโกรธเล็กน้อยที่เฉินเฉียว”ใส่ร้าย” องค์ชายในความคิดของเธอและพูดเสียงกร้าวว่า “ยังไงซะก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ช่างเถอะ”
เฉินเฉียวก็ไม่ได้อยากจะพูดไปมากกว่านี้
คนสองคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง พวกเธอยืนอยู่หน้าห้อง2009
เฉินอินกังวลมากจนไม่รู้ว่าจะเอามือไปไว้ที่ไหน ความเสน่หาที่พลุ่งพล่านมาก่อนนี้ แต่ตอนนี้มันเลือนลางไปหมดแล้ว เธอถือดอกไม้ซ่อนตัวอยู่หลังเฉินเฉียว
“พี่ เคาะประตูสิ”
เฉินเฉียวมองกลับไปที่เธอและเคาะประตู
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงชายคนหนึ่งมา “เชิญครับ”
สองคำนั้นยังคงแหบแห้ง
เฉินเฉียวนึกถึงผู้ที่ซังโย่วอีกล่าวถึงในวีแชทใจก็เต้นแรง เธอหายใจเข้าลึก ๆ แล้วผลักประตูเข้าไป
ห้องผู้ป่วยนี้เป็นห้องชุดสุดหรูหรา
ห้องแรกที่เดินเข้าไปคือห้องรับแขก
ในห้องรับแขกตอนนี้เปิดไฟสว่าง มีผลไม้มากมายบนโต๊ะและดอกไม้ทุกชนิดบนผนังทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอม
เห็นได้ชัดว่ามีคนมากมายก่ายกองมาเยี่ยมเขาในวันนี้
เฉินอินเหลือบมองดอกไม้ในมือของเธอด้วยความบึ้งตึงเล็กน้อย
เฉินเฉียวไม่ได้หยุดเธอเปิดประตูเข้าไปข้างใน
ข้างในประตูมันเงียบมาก
เห็นซังหลินจวินครึ่งตัวพิงหัวเตียงโดยมีเอกสารอยู่บนขาของเขา เขาสวมชุดคนไข้และแสงสลัวที่ข้างเตียงก็ส่องเขา ใส่ชุดผู้ป่วยธรรมดาๆ แต่ไม่สามารถปกปิดออร่าของเขาได้
ซังโย่วอีนอนหลับขดตัวเป็นลูกบอลบนโซฟา ยังคงนอนถือช็อกโกแลตแท่งไว้ในมือ ขนตายาวๆห้อยลงและมองไปที่ใบหน้าขาวๆของเธอ
จิตใต้สำนึกของเฉินเฉียวอยากเดินไปและหยิบช็อกโกแลตแท่งในมือออก เมื่อนึกถึงเฉินอิน ก้าวของเธอก็หยุดลง
ทันทีที่เฉินอินเข้ามาเธอจ้องมองไปที่ซังหลินจวิน
ซังหลินจวินเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว
ทันใดนั้นเมื่อเห็นเฉินเฉียวเขามองมาที่เธอและมีแสงสว่างวาบในดวงตาของเขา
เหตุผลที่เธอไม่ตอบกลับก็คือเธอมาที่โรงพยาบาลตรงๆเลย
ประธานซังเสียงของเฉินอิน ดึงความคิดของเขากลับมา
สายตาของซังหลินจวินละออกจากเฉินเฉียวและมองไปที่เฉินอิน เหมือนว่าเขาจะงงเล็กน้อย หันไปทางเฉินเฉียวอีกครั้ง
เฉินเฉียวทักทายกับเขา: “ประธานซัง”
สองคำที่ดูเกรงใจและห่างเหิน
ซังหลินจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็กลับมาทำตัวให้เป็นปกติ
ปิดแฟ้มในมือและถามอย่างเรียบๆ : “ทำไมคุณมาที่นี่?”
“ฉันเลิกงานแล้วได้ยินเรื่องที่ประธานซังเข้าโรงบาลค่ะ”เฉินอินรวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไป