เฉินเฉียวประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมเธอคิดว่าประธานซังสนใจเธอล่ะ?”
เฉินอินกล่าวว่า “พอพวกเราเข้าไป ประธานซังก็มีท่าทางมีความสุข พี่ไม่รู้สึกหรอ”
“……จริงหรอ?
“ แล้วเขาใช้เรื่องหนังสือการประมูลงานรั้งพี่เอาไว้ ไม่สังเกตหรอ?”
“ นี่แสดงว่าเขาก็รู้สึกดีกับพี่ด้วยใช่ไหม?”
“ เขาเป็นหัวหน้าของฉันโดยตรง ถ้าจะพูดกับฉันตรงๆคงไม่เหมาะสม แต่พวกเรามาด้วยกัน ใช้เรื่องงานรั้งพี่ไว้ ก็เท่ากับว่าอยากจะรั้งฉันไว้ด้วย ”
“……”
“ อีกอย่างร่างกายเขาแย่มากยังจะลุกไปส่งเราอีก พี่ไม่ได้สังเกตตอนก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดหรอ สายตาที่เขามองฉัน” พอพูดถึงตรงนี้เฉินอินไม่ได้พูดอะไรต่อใบหน้าเขินแดงก่ำ
เฉินเฉียวมองไปที่เฉินอินในใจมีความรู้สึกมากมาย ไม่ได้พูดเตือนสติอะไรเธอ เธอรู้ว่าในเวลานี้เฉินเฉียวกำลังหลงหัวปักหัวปลำ พูดไปเธอก็ไม่ฟัง
จู่ๆโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นในลิฟต์
ในที่แคบแบบนี้ เสียงเรียกเข้าดังเป็นพิเศษ
เฉินเฉียวกลับมามีสติและหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า คำที่กระพริบบนหน้าจอทำให้เธอสติแทบหลุด
เฉินอินเห็นว่าใบหน้าของเธอแปลกๆจึงถาม่า”นั่นหรอ?”
เฉินเฉียวตอบกลับอย่างรวดเร็วและปิดหน้าจอโทรศัพท์ว่า “เปล่า”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเธอก็มองไปที่เฉินอินอีกครั้ง เมื่อเฉินอินเห็นท่าทางเธอ จึงหรี่ตามองด้วยสายตาคลุมเครือ”พี่ปิดบังอะไรฉัน?”
เฉินเฉียวโดนเฉินอินจ้องมองจนรู้สึกผิดในใจ “ฉันจะปิดบังอะไรได้ล่ะ”
เธอไม่รับโทรศัพท์ แต่เก็บกลับเข้าไปในกระเป๋า
“ อย่ามาโกหกฉัน! คุณกำลังมีความรักใช่ไหม? ครั้งสุดท้ายที่ฉันเจอพี่เขยเขาบอกฉันทุกอย่างแล้ว ”
เฉินเฉียวคิ้วกระตุกถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา”เขาพูดอะไรกับเธออีก”
“ครั้งที่แล้วตอนไปห้าง ฉันเจอเขากับเมียน้อยไปซื้อเสื้อผ้าด้วยกัน ฉันโกรธเลยพูดกับเขาไปสองประโยค แต่เขากลับพูดว่าพี่ก็มีคนใหม่แล้ว เขายังบอกอีกว่าคนๆนั้นเชื่อใจไม่ได้เขามีคู่หมั่นอยู่แล้ว พี่กำลังโดนหลอก พี่ ถ้าเป็นอย่างที่ปู้อี้เฉินพูดจริงๆ ฉันว่าพี่รีบๆเลิกกับเขาเถอะ ถ้าจะหาแฟน ก็ควรจะหาให้มันดีๆหน่อย … ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินอินพูด เฉินเฉียวก็พอรู้ว่าปู้อี้เฉินไม่ได้พูดแบบเจาะจงมากนัก นอกจากนี้หากเฉินอินรู้ ชีวิตของเธอคงจะพังพินาศไปนานแล้ว
เธอโล่งอกไปนิดนึง
ขณะที่เฉินอินพูดประตูลิฟต์ก็เปิดออก
เฉินเฉียวต้องขัดจังหวะเธอ“ ไปเถอะดึกมากแล้ว”
ขณะที่เธอพูดเธอก้าวออกจากลิฟต์
เฉินอินเดินตามและโน้มน้ามเธอ “ฉันรู้ว่าพี่รำคาญฉัน แต่ว่าคนที่พ่อแม่หาให้น่าเชื่อถือว่าคนที่พี่หาเองแน่นอน ไม่เชื่อพี่ไปดูได้”
เฉินเฉียวตอบว่า: “ปู้อี้เฉินก็เป็นคนที่พ่อแม่ฉันหามาให้ เธอว่าน่าเชื่อถือไหมล่ะ”
“……”เฉินอินพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ขึ้นรถเถอะ.เฉินเฉียวไม่ต้องการคุยเรื่องนี้กับ เฉินอินอีก เธอโบกรถแท็กซี่
“ พี่ ไปกันเถอะ”
“ไม่ล่ะ ไม่ผ่านทางของฉัน”
“ แล้วพี่จะกลับเมื่อไหร่?”
“ รอเคลียร์งานสองสามวันนะ”
“ โอเคงั้นฉันบอกกับพ่อแม่ให้”
เฉินเฉียวส่งเฉินอินขึ้นรถ สายตามองรถขับออกไป เธอยืนอยู่ข้างถนนสักพักแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า
เขาโทรมาแค่ครั้งเดียว ไม่ได้โทรมาอีกดูแล้วไม่น่าจะมีเรื่องสำคัญอะไร
เฉินเฉียวโบกรถแท๊กซี่ต่อ กำลังจะเก็บโทรศัพท์กลับ แต่โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง
คำสามคำ “ซังหลินจวิน” กระพริบบนหน้าจอทำให้เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งและมองไปที่รถของเฉินอินที่จากไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดรับ
ในโทรศัพท์เงียบไปชั่วขณะ
ไม่มีใครพูด
ตอนนี้ที่ได้ยินคือเสียงหายใจของกันและกัน
ระหว่างพวกเขาไม่ได้ติดต่อกันมาเดือนกว่าๆแล้ว เดิมทีเธอคิดว่าระหว่างพวกเขาและเธอจบลงไปจริงๆแล้ว
อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าในเดือนนี้เธอมักจะมองโทรศัพท์มือถือเป็นระยะ ๆ
ตอนกลางคืนพลิกไปพลิกมาไม่สามารถนอนหลับได้
ฮัลโหลสุดท้ายเธอก็พูดขึ้นก่อน ในคำพูดนั้นมีความขมขืดเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
“ถึงไหนแล้ว?”เสียงของเขาฟังดูอ่อนโยน
“ ข้างล่างโรงบาล”
ขึ้นมาสิซังหลินจวินพูดเพียงแค่นี้
เฉินเฉียวยืนนิ่ง
เธอมองย้อนกลับไปที่อาคารวีไอพีของโรงพยาบาลด้านหลัง ที่นั่นไฟยังคงเปิดอยู่ทุกห้อง
“ เอาเด็กน้อยไปด้วย เขานอนบนโซฟาไม่ได้ทั้งคืน “เสียงของซังหลินจวินดังขึ้นอีกครั้ง
ก่อนที่เฉินเฉียวจะตอบกลับรถแท็กซี่ก็หยุดอยู่ข้างๆเธอ คนขับโผล่หัวออกมา “คุณครับไปไหม”
เฉินเฉียวลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่ายหัว “ไม่ไปแล้วค่ะ”
คนขับรถขับออกไป ที่นั่นซังหลินจวินดูเหมือนจะพอใจกับคำตอบของเธอเขายิ้มอ่อน ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “ผมกำลังรอคุณอยู่”
เฉินเฉียวด่าตัวเองในใจ พลางเน้นย้ำกับเขา: “ฉันจะขึ้นไปรับโย่วอีแล้วจะกลับ”
ซังหลินจวินพูดเพียงว่า “โอเค”
เฉินเฉียววางสาย ถือกระเป๋ากลับไปที่โรงพยาบาลอีกรอบเธอตบหน้าผากตัวเองความรำคาญ ทำไมเมื่อกี้ต้องย้ำประโยคสุดท้ายด้วย? ยิ่งปิดบังก็ยิ่งชัดเจน
เธอตรงไปที่ห้อง 2009 มาครั้งที่สองก็ชินกับทาง
เฉินเฉียวเคาะประตูและเดินเข้าไป
ไม่มีใครอยู่ในห้อง
เขาไม่อยู่หรอ
เฉินเฉียวมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นใคร
ในทางกลับกันบนโซฟาเด็กน้อยก็หลับไปในท่าเดิมโดยไม่ได้พลิกตัวโดยที่ยังคงถือแท่งช็อคโกแลตไว้ในมือ
“ พ่อเธอก็จริงๆเลยนะ ไม่ช่วยหยิบออกเลย”เฉินเฉียวพึมพำและเดินไปดึงช็อกโกแลตแท่งที่เด็กถืออยู่ออกไปอย่างระมัดระวัง
“ ถ้าไม่มีเขา คุณไม่คิดจะกลับมาจริงๆหรอ?”ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นเคยของชายคนนั้นก็ดังขึ้นข้างหลังเธอ
เฉินเฉียวหันกลับมาด้วยความตะลึง
ซังหลินจวินสวมชุดผู้ป่วยและยืนอยู่ข้างหลังเขา มือทั้งสองข้างยืนล้วงกระเป๋าเขามองเธอจากบนลงล่างด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“ ทำไมเดินมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ”เสียงของเฉินเฉียวยังคงนุ่มนวลเพราะกลัวว่าเด็กน้อยจะตื่น “คุณมาจากไหน?”
“ อยู่ตรงระเบียง”ซังหลินจวินใช้คางหันชี้ไปทางระเบียง
งั้นก็ไม่แปลก
ข้างนอกมันมืดและเธอไม่ได้สังเกต
เฉินเฉียวมองเขาจากบนลงล่างและเห็นว่าสีหน้าของเขายังคงเหนื่อยล้าในใจเธอรู้สึกเจ็บแปป
จนถึงตอนนี้ในที่สุดก็ถามว่า: “อาการของคุณเป็นอย่างไร? อาการหนักมากไหม? หมอหลินมาดูอาการหรือยัง? คุณต้องอยู่โรงบาลนานแค่ไหน? ”
สีหน้าเคร่งขรึมของซังหลินจวินตอนนี้พอได้ยินเธอถามเป็นชุดสีหน้าก็ดูผ่อนคลายลง
เขามองเธอด้วยรอยยิ้ม “คุณถามเยอะขนาดนี้ผมควรตอบคำถามไหนก่อนดี”