เฉินเฉียวหยิบถุงเสื้อผ้าที่พนักงานส่งให้ กำลังจะเดินออกไปกับเจียงฉยงฉยง
ทั้งสองกำลังจะลุกขึ้น แต่เถียนเถียนกับแม่เข้ามาพอดี
ผู้จัดการของร้านมาตอนรับพวกเขาด้วยตัวเอง
“ทั้งสองท่านชอบแบบไหนครับ แค่ทิ้งที่อยู่ไว้ เดี๋ยวผมให้คนไปส่งให้ครับ”
ค่ะ ที่ฉันจะเอาตะกี้นี้ ห่อให้ฉันด้วย “แม่ของเถียนเถียนพูด
“รบกวนช่วยคิดเงินให้ด้วยค่ะ”เถียนเถียนขอบคุณเขาและหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าเพื่อจ่ายเงิน
ผู้จัดการร้านเป็นคนรู้งาน เขาบอกเพียงว่า “ไม่ต้องคิดเงินหรอกครับ ถือซะว่าทางร้านให้เป็นของขวัญ”
“ให้หรอคะ”เถียนเถียนและแม่เธอ มองหน้ากัน
ผู้จัดการยิ้มและกล่าวว่า “ผมเห็นคุณเถียนในนิตยสาร เป็นคู่หมั้นของประธานซังของเรา หลังจากนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวกับภรรยาท่านประธานด้วยนะครับ”
คำว่า”ภรรยาท่านประธาน” ทำให้เถียนเถียน รู้สึกถึงความหวานที่ไม่อาจบรรยายได้ในใจของเธอ
แม่ของเถียนเถียนยังหัวเราะและตอบอย่างจริงใจว่า: “เรื่องเล็กน้อยหน่า หลินจวินเป็นลูกเขยฉัน เรื่องในวันนี้ฉันจะบอกเขาให้”
“ ขอบคุณครับคุณหญิง!”ผู้จัดการช่วยดีใจสุดๆ
แม่ของเถียนเถียนมองไปทางเฉินเฉียวโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับสายตาดูถูกราวกับว่าเธอกำลังเอาชนะเฉินเฉียว
เฉินเฉียวเดินออกไปอย่างนิ่งเฉย เมื่อเดินผ่านพวกเขาเธอก็พยักหน้าให้ถือว่าเป็นการกล่าวลา
เดินออกจากประตูห้างสรรพสินค้าเจียงฉยงฉยงเดินไปเอารถเฉินเฉียว ยืนอยู่ที่นั่นคนเดียวจ้องมองจราจรที่วุ่นวายด้านนอก
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเถียนเถียนกับแม่จะไม่เจอเธออีก เธอที่ยืนเกร็งหลังตรงอยู่ก็รู้สึกผ่อนคลาย
หัวใจราวกับว่ากำลังแช่อยู่ในน้ำรู้สึกร้อนอบอ้าวและบวมทำให้หายใจลำบาก
เธอเหลือบมองเสื้อเชิ้ตสีขาวในถุงช้อปปิ้งแล้วถอนหายใจเล็กน้อย
“ เฉียวเฉียวขึ้นรถสิ”เจียงฉยงฉยงขับรถมาแล้วลดหน้าต่างลงและเรียกเธอ
เฉินเฉียวขึ้นรถและเจียงฉยงฉยงสังเกตเห็นสีหน้าเธอ “เป็นอะไรไหม”
เฉินเฉียวยิ้มและส่ายหัว “ไม่เป็นไร”
เจียงฉยงฉยงมองไปที่เฉินเฉียวอีกครั้งพยายามปลอบ แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร คำพูดปลอบโยนใด ๆ ดูเหมือนจะไม่จำเป็น
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องความรัก เธอเองก็เป็นเหมือนกระดาษสีขาว ไม่ได้มีประสบการณ์อะไร ไม่มีสิทธิ์ไปปลอบเฉินเฉียว
————
ในตอนเย็นซังหลินจวินถูกพ่อของเขาเรียกตัวกลับไปที่บ้านเพื่อรับประทานอาหารค่ำ
บนโต๊ะอาหาร นอกจากซังหลินจวินกับพ่อของเขาแล้ว ยังมีภรรยาคนปัจจุบันของเขา และคุณนายที่สองหวังอี๋จวิน กับซังอวี้
ในขณะที่ชายชรากำลังรับประทานอาหาร ก็มีคนโทรเข้ามารายงานอะไรบางอย่าง ชายชราฟังแล้วสีหน้าก็บึ้งตึง
เมื่อวางโทรศัพท์แล้วสายตาอันเฉียบคมของเขาก็จ้องมองไปที่ลูกชายของเขาซังหลินจวินที่กำลังกินข้าวอยู่
ยิ่งชายชราเห็นเขาท่าทีนิ่งเฉยเขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น
“ยังจะมีกระจิตกระใจกินข้าวอีก!”ผู้เฒ่าซังตบตะเกียบของเขาลงบนโต๊ะและตะโกนด้วยความโกรธ
อายุเขาก็ห้าสิบกว่าแล้ว ตะโกนออกมาด้วยความโกรธทั้งหมด ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นออกมาจากปาก บรรยกาศก็ตึงเครียด
หวังอี๋จวินเป็นคนแรกที่ค่อยๆวางตะเกียบและเฉียวอวี้มิ่นภรรยาคนปัจจุบันที่อยู่ข้างๆเขาก็วางตะเกียบลงและมองไปที่สามีของเธอด้วย
มีเพียงสองพี่น้องซังหลินจวินและซังอวี้เท่านั้นที่ยังคงกินต่อไป หวังอี๋จวินเห็นแบบนั้นก็ยื่นมือไปจับตะเกียบที่อยู่ในมือซังอวี้วางลง
เธอกระซิบเบาๆ: “เอาล่ะ! หยุดกินได้แล้ว! ”