เธอจำได้ว่าหลังจากส่งฉยงฉยงกลับบ้านแล้วเธอคิดว่าไหนๆซังหลินจวินก็จะแต่งงานกับเถียนเถียนแล้ว เธอไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับซังหลินจวินอีก เลยเก็บกระเป๋าเดินทางตั้งใจจะหนีออกไป
คิดไม่ถึงว่า เพิ่งออกมาแล้วจะโดนคนตีจนสลบ
เธอคลำต้นคอของเธอด้วยความเจ็บ
คุณเป็นใคร…เฉินเฉียวจ้องไปที่ชายแปลกหน้า
ตอนนี้สถานการณ์ไม่ชัดเจน แล้วมีคนแปลกหน้าโผล่มาอีก ไม่รู้ว่าหวังดีหรือหวังร้าย
“ผมชื่อซังอวิ๋น ไม่รู้ว่าคุณจำผมได้ไหมซังอวิ๋นมีดวงตาที่ตี่และยาว ตอนเขามองเปลือกตาปิดลง รู้สึกน่าสงสาร
เขามองเฉินเฉียวด้วยแววตาเศร้าสร้อย
เฉินเฉียวส่ายหัว: “คุณซังฉันไม่เคยเจอคุณมากก่อน คุณมาจากที่ไหน?”
อย่างไรก็ตามเธอกำลังคิดในใจว่านามสกุลซังของเขากับซังหลินจวินเกี่ยวข้องกันหรือไม่
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เธอก็เยาะเย้ยตัวเองในใจ ถึงแม้พวกเขาจะเกี่ยวข้องกันแล้วจะยังไงล่ะ ยังไงซะตอนนี้เขาจะแต่งงานแล้ว หลังจากนี้เขาคงเป็นแค่คนแปลกหน้า คบกับเธอไม่ได้อีก
หลังจากฟังคำพูดของเฉินเฉียวสายตาของซังอวิ๋น ก็เปลี่ยนไปเขามองผู้หญิงที่คิดถึงมาหลายปี เดาได้ไม่ยากว่าเธอต้องแอบเศร้ากับคนที่อยู่ในใจของเธอเป็นไฟ – เปลวไฟลุกโชนเกือบจะแผดเผาทั้งคน
อย่างไรก็ตามด้วยความอดกลั้นและอดทนมาหลายปีเขาจึงไม่รีบร้อนตราบใดที่พิธีหมั้นของซังหลินจวินสามารถจัดได้ตรงเวลายังไงสักวันหนึ่งคนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็จะเป็นของเขาเอง
อยู่ที่นี่เธอไม่สามารถรู้ข่าวอะไรได้เลยเกี่ยวกับซังหลินจวิน
“ เฉินเฉียวจำได้ไหมว่าตอนที่คุณยังเด็กมากมีเด็กน้อยคนหนึ่งที่อยู่กับคุณตลอดเขาถูกทุบตีและเตะตลอดทั้งวันไม่มีใครสนใจเขามีเพียงคุณเท่านั้นที่ยื่นทิชชู่ให้ แล้วยังเอาของกินออกมาจากกระเป๋าให้อีก “ซังอวิ๋นมองตาเธอด้วยความหวัง
มีนัยยะของความเข้าใจในสายตาของเฉินเฉียว
เธอจำได้แล้ว
ตอนพ่อเธอเพิ่งแต่งงานกับลู่ลี่ลี่ ในใจเธอไม่มีความสุข แต่ไม่กล้าแสดงออก เพราะเพื่อนร่วมชั้นพูดว่าแม่เลี้ยงจะรังแกลูกเลี้ยง เธอกลัวโดนด่า ทำได้เพียงไปอยู่ที่สวนสาธารณะคนเดียว ดึกๆถึงจะกลับบ้าน
นอกจากนี้เธอยังเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่มักจะโดนต่อยโดนเตะ
“คุณโอเคไหม.”เฉินเฉียวอายุเพียงสี่ขวบสวมกระโปรงตัวเล็กและสะพายกระเป๋าเป้ใบเล็กบนไหล่ของเธอเธอกลัวและกังวลเมื่อเห็นเด็กน้อยที่กำลังนอนอยู่บนพื้นนอนขดไม่ขยับเป็นเวลานาน .
เด็กน้อยไม่ได้พูด แต่บางครั้งเธอก็ได้ยินเสียงอู้อี้ของเขาว่าตอนนี้เขารู้สึกอึดอัดมาก
เฉินเฉียวมองไปที่เขาและคิดว่าเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บเขาจะต้องใช้ทิชชู่เช็ด
เธอนั่งลงข้าง ๆ วางกระเป๋าเป้และหาของในกระเป๋าเมื่อพบสิ่งที่ต้องการก็มีความสุขอย่างเห็นได้ชัดบนใบหน้าของเธอ
เจอแล้วเฉินเฉียวพูดอย่างดีใจ
แม้แต่เด็กผู้ชายที่ไม่เคยสนใจเธอ ก็มีความสุขไปด้วย
“ คุณยังไม่หลับนิ”เฉินเฉียวสบตากับเด็กชายด้วยดวงตากลมสองข้างที่เปิดอยู่
เมื่อเห็นว่าเด็กชายยังสามารถมองเห็นเธอได้เธอจึงส่งของที่เธอถืออยู่ให้: “นี่ไงทิชชู่เช็ดหน่อยนะ”
เด็กชายคนนั้นปัดกระดาษทิชชู่ลง แล้วนำร่างอันบาดเจ็บของตัวเองลุกขึ้นพิงกำแพง
เฉินเฉียวต้องการที่จะช่วย แต่คิดได้ว่าเด็กคนนั้นแม้แต่กระดาษทิชชู่ยังปฏิเสธ ถ้าเธอไปช่วยแบบนี้เขาคงไม่ยอมรับ
เฉินเฉียวรู้สึกน้อยใจเธอช่วยด้วยความเห็นใจ แต่เขากลับไม่เห็นความหวังดี
เธอหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาน แล้วจะเดินจากไปอย่างผิดหวัง
“ขอบคุณ”เสียงผู้ชายที่แหบแห้งและแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง
เฉินเฉียวเกือบจะคิดว่ามันเป็นภาพหลอนเธอหันไป อย่างช้าๆ แต่เห็นเพียงเด็กผู้ชายคนนั้นค่อยๆลากร่างที่บาดเจ็บของเขาไปที่มุมถนนหลังจากนั้นไม่นานเขาก็หายไปต่อหน้าเธอ แบบนี้แสดงว่าเขายอมรับความหวังดีของเธอ
ตั้งแต่นั้นมาเฉินเฉียวก็มักจะมาที่สวนสาธารณะแห่งนี้และเธอก็เจอเขาโดยบังเอิญอยู่บ่อยๆ
ถึงแม้ทุกๆครั้งจะบนร่างกายเขาจะมีรอยฟกช้ำเสมอ เขาในตอนนั้นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ
“คุณคืออาหวิ๋น”ดวงตาของเฉินเฉียว เต็มไปด้วยความสุขและความประหลาดใจ
เธอลืมแล้วว่าตอนไหนที่อาอวิ๋นจู่ๆก็หายไป เธอหาเขาตั้งนานก็ไม่พบ พอคิดถึงตอนนี้ ในใจของเธอก็รู้สึกโกรธเล็กน้อย: “ตอนนั้นทำไมไม่ร่ำลาฉันซักคำ อยู่ๆก็หายไป รู้ไหมฉันเป็นห่วงคุณขนาดไหน ”
“ขอโทษที เฉินเฉียว เรื่องที่เกิดตอนนั้นผมยังไม่ทันได้บอกคุณผมก็โดนจับไป”บนใบหน้าของซังอวิ๋นแสดงถึงความเสียใจร่องรอยแห่งความเศร้าหมองก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
ถ้าไม่ใช่ตอนนั้น ที่กลุ่มคนพวกนั้นหาเขาเจอแล้วจับตัวเขาไป เฉินเฉียวคงไม่ต้องมาเจอกับ ปู้อี้เฉิน หรือไม่ก็ซังหลินจวิน
“เกิดอะไรขึ้น?”เฉินเฉียวรู้สึกสงสัย แต่หลังจากเห็นความลังเลในสายตาของซังอวิ๋นเธอก็โบกมือทันทีและพูดอย่างรู้สึกผิด: “ฉันขอโทษถ้าฉันพูดอะไรไม่ดี ไม่ต้องบอกฉันก็ได้….เจ็บ ”
เธอเคลื่อนไหวแรงเกินไป ต้นคอของเธอบาดเจ็บอยู่
ซังอวิ๋นก้าวไปข้างหน้าและจับแขนของเธอด้วยสีหน้ากังวล: “คุณยังบาดเจ็บอยู่ระวังหน่อยนั่งลงสิผมจะทายาให้คุณ”
ซังอวิ๋นประคองเธอนั่งลงข้างๆ
เฉินเฉียวรู้สึกต่อต้านกับชายแปลกหน้าที่เข้าใกล้เธอเกินไป ถึงแม้จะเคยเป็นเพื่อนกัน แต่ว่าก็ไม่ได้เจอกันมาสิบกว่าปีแล้ว เธอรีบปฏิเสธ: “ฉันทำเองดีกว่านะ
มือของเธอยื่นออกไปพยายามที่จะหยิบยาที่ซังอวิ๋นถืออยู่
เอามาเถอะ
ซังอวิ๋นไม่ได้ขยับ แต่พูดเบาๆ
“เฉินเฉียวแผลของคุณอยู่ที่คอคุณทาเองจะทาถูกหรอ?”เขารู้ว่าเธอไม่อยากสนิทกับเขามากเกินไปเขาจึงต้องใช้ความเป็นเพื่อนครั้งก่อนเพื่อเกลี้ยกล่อมเธอ“ แต่ก่อนคุณเคยทายาให้ผม ตอนนี้ผมช่วยคุณทาดีกว่านะ?”
ทันทีที่คำพูดของซังอวิ๋นพูดออกมาเฉินเฉียวไม่สามารถปฏิเสธได้
ยังไงซะถ้าปฏิเสธล่ะก็ จะถูกมองว่าเป็นคนถือตัว
คนเขาอุส่ามีน้ำใจเป็นเพื่อนในวัยเด็กหวังดีอยากจะช่วย ถ้าจะให้ปฏิเสธ เฉินเฉียวทำไม่ได้
เมื่อเห็นว่าเธอไม่ปฏิเสธซังอวิ๋นจึงหยิบยาและก้านสำลีออกมาและฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์เขาจุ่มสำลีกับยาแล้วค่อยๆทา