แต่ว่าประธานหลูกระดี๊กระด๊าสุดๆ ร่างอ้วนท้วมไม่เคยกระชับกระเฉงแบบนี้มาก่อน เขารีบวิ่งไปที่ห้องนั้นอย่างรวดเร็ว
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
เฉินเฉียวทำได้เพียงเดินตามออกไป
ห้องรับรองข้างๆปากทางเข้า บริกรที่อยู่อยู่ เฉินเฉียวเพิ่งจะเดินไป อีกฝ่ายก็ขวางเธอไว้ด้านนอก “ขออภัยครับ เจ้าของห้องท่านนี้ไม่รับแขกท่านอื่น”
สามารถจินตนาการได้ถึงความเย็นชาของอีกฝ่าย ถ้าเข้าไปแล้วเธออยากจะถูกไล่ออกมาก
เฉินเฉียวหันไปมองประธานหลู“ประธานหลูคะ คือว่าประธานซังก็เป็นคนแบบนี้แหละค่ะ ฉันกลัวว่าถ้าพวกเราเข้าไปเยอะขนาดนี้ จะทำให้พวกเขาลำบากใจ ไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าทำให้ประธานซังไม่ประทับใจ ”
เมื่อฟังเธอพูดเช่นนี้อีกฝ่ายก็ครุ่นคิดอย่างจริงจัง แต่แล้วเขาก็พูดอีกครั้ง: “งั้นทักทายสักหน่อยแล้วกัน เข้าไปสวัสดีแล้วก็ออกมา ”
เขามุ่งมั่นที่จะสร้างความสัมพันธ์กับซังหลินจวิน
เฉินเฉียวยิ้มจืดๆและพยักหน้า “งั้นฉันจะลองดูค่ะ”
เธอหยิบเอาปากกาขึ้นมา แล้วถามหากระดาษจากบริกร เขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษ
“ สวัสดีค่ะประธานซัง ฉันชื่อฉินเฉียว ตอนนี้ฉันอยู่ห้องข้างๆคุณ จะเป็นเกียรติมากถ้าได้พบคุณ”
เธอพับกระดาษแล้วยื่นให้บริกร“ รบกวนช่วยส่งให้ประธานซังหน่อยนะคะ ขอบคุณ
อีกฝ่ายพยักหน้ารับกระดาษแล้วผลักประตูเข้าไป
เฉินเฉียวมีความรู้สึกเหมือนโดนก้อนหินกระแทกเข้าที่เท้าหลี่ชิงรู้เหตุการณ์ทั้งหมดดีว่าแย่แค่ไหน เธอเอียงหน้ากระซิบถาม: “ผู้อำนวยการคะนี้เราต้องแพ้รองผู้อำนวยการคนใหม่จริงๆใช่ไหม”
เฉินเฉียวไม่พูดอะไร
แม้ว่าไม่เต็มใจที่จะยอมรับ แต่มันก็เป็นความโชคร้ายอย่างเห็นได้ชัด
ตอนที่กำลังคิดถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ห้องรับรองก็ถูกเปิดออกจากด้านใน
“คุณเฉินครับ ท่านประธานซังเรียนเชิญ”
เฉินเฉียวคิดว่าเธอหูฝาดจ้องไปที่พนักงานเสิร์ฟและถามว่า “อะไรนะ”
บริกรพูดต่อ: “ประธานซังยังบอกอีกว่า คุณจะพาเพื่อนของก็เข้าไปข้างในด้วยก็ได้ครับ”
เฉินเฉียว รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อจริงๆ ทำไมซังหลินจวินถึงได้คุยง่ายจัง?
เธอกับหลี่ชิง มองตากัน
ประธานหลูยิ้มจนตาหยีและหน้าท้วมๆสั้นระริก“ ผู้อำนวยการเฉิน เส้นสายของคุณไม่ใช่เล่นๆจริงๆด้วย อย่าเพิ่งตะลึงรีบเข้าไปดีกว่า ถ้าประธานซังรอนานจะไม่ดี ”
เขาพูดพลางเดินนำบริกรไปหนึ่งก้าว
ภายในห้องรับรองบรรยากาศคึกคัก
เฉินเฉียวเดินตามประธานหลูและเหลือบไปด้านข้างเล็กน้อยเฉินเฉียวไม่รู้จักพวกเขาเลย แต่คนที่สามารถทานอาหารร่วมกับซังหลินจวินได้ต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ
“สวัสดีครับ ท่านประธานซัง ผมชื่อหลูตงซิงจากรื่ออันการแพทย์ครับ”ประธานหลูรีบพุ่งเข้าเขา
“สวัสดี”เสียงชายคนนั้นดังขึ้น
เมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายน้ำเสียงของเขาช่างดูเย็นฉา
เสียงนี้มัน …ทำไมคุ้นจัง !
เฉินเฉียวถึงกับผงะ
เธอเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวมองตรงไปที่ชายที่อยู่ตรงกลาง
อึ้ง
ประธานซังคนนี้คาดไม่ถึงว่าจะเป็นพ่อของเด็กที่ชื่อโย่วอี
ไม่เพียงแต่เคยนอนค้างคืนด้วยกัน แต่เธอยังเคยโดนลวนลามในที่โจ่งแจ้งมาแล้วครั้งนึง
แต่ที่พีคที่สุดก็คือ เธอเคยหาว่าเขาเป็นผู้ชายขายตัว
เฉินเฉียวคิดถึงเรื่องที่ตัวเองปล่อยไก่แล้วก็หาทางแก้เขิน
“ผู้อำนวยการเฉิน ที่แท้ประธานซังอายุน้อยขนาดนี้หรอ ยังไม่ถึงสามสิบล่ะมั้ง”หลี่ชิงกระซิบข้างหูเธออย่างตื่นเต้น“ แถมยังหล่อด้วย ข่าวลือบอกว่าเป็นตาแก่ไม่ใช่หรอ ”
เฉินเฉียวดึงสติกลับมา ใจเต้นแรง แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย เพียงกล่าวตักเตือน: “คนเยอะแยะอย่าพูดซี้ซั้ว”
หลี่ชิงรู้งานหยุดพูดทันที
“อย่ามัวแต่ยืนเลย นั่งลงสิ”ทันใดนั้นชายคนนั้นก็พูดขึ้นอีกพลางใช้นิ้วยาว ๆ กวักมือ: “ขอเก้าอี้เพิ่มด้วย”
โต๊ะมีขนาดใหญ่และมีคนไม่มากเพิ่มอีกหกคน ก็ไม่ได้อึดอัดอะไร
เฉินเฉียวตัวร้อนมีไข้ ในหัวเธอว่างเปล่านั่งเฉยๆไม่พูดอะไร
เธอห่างจากซังหลินจวินไกลมาก หันหน้าชนกัน มีโต๊ะกั้น
ชายคนนั้นไม่ได้มองเธอ แลกไม่ได้ทักทายเธอเลย ราวกับว่าไม่รู้จักกัน
แกล้งทำเป็นไม่รู้จักแต่กลับให้คนของเธอเข้ามาด้วย อีกทั้งยังให้อยู่ต่อ เหลือเชื่อ
“ ผู้อำนวยการเฉิน คุณรู้จักประธานซังจริงๆด้วย ฉันกังวลแทบตายตอนรออยู่ข้างนอก “หลี่ชิงกระซิบ “ดูหน้าประธานหลูสิ ยิ้มจนหน้าบานไปหมดแล้ว”
หลูตงซิงมีความสุขจริงๆ สุขก็สุขอยู่หรอก แต่เขานั่งห่างกับซังหลินจวินอยู่มาก ซักประโยคก็ฟังไม่ได้ยินได้แต่ร้อนใจ
เฉินเฉียวเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา
เห็นแต่ซังหลินจวินนั่งพิงเก้าอี้อย่างท่าทางเกียจคร้าน และพยักหน้าเป็นครั้งคราวเมื่อสองคนข้างๆพูดอะไรกับเขา คำพูดไม่เยอะ แต่ทุกคนให้ความสนใจ
ทัศนคติและท่าทางเช่นนั้นดึงดูดความสนใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย
ดูเหมือนว่าเธอจะดูไม่ผิดในตอนแรก ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
ไม่รู้ว่าเขารู้สึกได้ถึงการจ้องมองของเธอหรือไม่ เขาหันมาสบตาเธออย่างกระทันหัน
เมื่อได้สบตากันเฉินเฉียว รู้สึกราวกับว่าเธอถูกจับได้ว่าทำเรื่องไม่ดีเธอหันหน้าหนีอย่างเก้อเขิน รู้สึกคอแห้งอีกครั้งเธอจึงรีบจิบน้ำ
หลี่ชิงกล่าวว่า: “ผู้อำนวยการคะ ทักทายเขาหน่อยดีไหม ประธานซังมองคุณอยู่”
“ไม่ต้อง กินข้าวไปเถอะ”เฉินเฉียวชิมอาหาร สักพักเธอก็หันกลับไปมองชายคนนั้นปรากฎว่าเขาไม่ได้มองมาที่เธอแล้ว
“เอาล่ะ พวกเราทั้งหมดดื่มให้แก่ท่านประธานซังกันเถอะ คนละหนึ่งรอบ”ไม่รู้ว่าใครเป็นคนต้นคิด แต่ทุกคนเห็นด้วย
ซังหลินจวินปล่อยให้พวกเขาทำ
คนที่รินเหล้าให้ต่างก็เคารพเขา “ประธานซัง แล้วแต่ท่านสะดวกเลยพวกเราหมดแก้วแล้ว”
ซางหลินจุนไม่ได้ดื่มมากนัก
ในไม่ช้าก็ถึงตาของเฉินเฉียว เฉินเฉียวยกแก้วเหล้าต่อหน้าเขา
“ แด่ท่านประธานซัง”เธอไม่ได้มองเขาด้วยซ้ำแล้วก็ยกดื่ม
แต่ว่ามือเพิ่งจะยกขึ้น ก็โดนจับไว้
“ ไม่สบายหรอ”
คำทั้งสี่คำดูเหมือนคำสาปสะกดผู้คนทั้งห้อง บรรยากาศที่คึกคักก็เงียบลงทันที
เฉินเฉียวรู้สึกได้ว่าทุกคนจ้องมองมาที่เธอ
มือของผู้ชายที่กุมไว้บนหลังมือของเธอก็ร้อนเหมือนไฟ
ฉัน….อาจจะมีไข้นิดหน่อย “เธอตอบ
ซังหลินจวินดึงเหล้าในมือออกไป “ไม่ต้องดื่มเหล้าแล้ว ดื่มน้ำผลไม้นี้”
พูดออกมาหกคำ โดยไม่ให้พูดแทรก
ทุกคนมองกันเลิ่กลั่ก เหมือนว่ารู้อะไรบางอย่าง
คนที่นั่งทางด้านซ้ายของซังหลินจวินลุกขึ้นยืนทันที “คุณผู้หญิง เชิญนั่งตรงนี้ดีกว่าครับ! เปลี่ยนที่กัน พวกคุณขยับไปตรงโน้น”
ทุกคนย้ายออกไป
เฉินเฉียวต้องการปฏิเสธ แต่มันก็สายเกินไป เหลือแค่ที่นั่งเดียวที่ว่างอยู่
ซังหลินจวินมองไปที่เธอและชี้ไปที่ที่นั่งข้างๆ “นั่งลง”
ท่าทีอันเฉยเมยของเขาดูเหมือนจะไม่รับรู้ถึงการจ้องมองของคนอื่น หรือว่าในสายตาเขาไม่เคยมองเห็นถึงสิ่งผิดปกติของคนอื่นเลย