“ถึงแม้ซังหลินจวินจะมั่นคงมากแค่ไหน แต่ถ้า เฉินเฉียวเป็นคนไปจากเขาเองล่ะ”
“ถ้าเฉินอินมีอะไรกับซังหลินจวินจริงๆ แม่ว่า เฉินเฉียวต้องเป็นฝ่ายไปเองแน่นอน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำตอนนี้ คือสร้างโอกาสให้พวกเขา”
ซังหวี้รู้สึกว่าสิ่งที่คุณแม่พูดดูเข้าท่ามาก แต่ว่า ถ้าจะลงมือทำจริงๆคงยากหน่อย
ตอนนี้ซังหลินจวินคงรังเกียจพวกเขา อย่าพูดถึงเรื่องวางยา แค่เข้าใกล้เขายังยากเลย
อีกอย่าง เขารู้ตั้งนานแล้วว่าเฉินอินไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์
ผู้หญิงที่เคยนอนกับผู้ชายมานับไม่ถ้วน ซังหวินจวินจะสนใจได้ยังไง
ถึงแม้แผนนี้จะสำเร็จ โอกาสที่พวกเขาจะคบกันก็เป็นศูนย์
ซังอวี้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เฉินอินเคยทำให้แม่ฟัง จากนั้นก็ส่ายหน้า “แม่ครับ ผมรู้สึกว่าแผนแม่ไม่ค่อยโอเคครับ”
“เสี่ยวอวี้ ลูกอย่าลืมสิว่าเธอเป็นแรงผลักที่สำคัญ นางเฉินเฉียว ถ้ารู้ว่าเฉินอินกับซังหลินจวินมีอะไรกัน เฉินเฉียวไม่มีทางปล่อยผ่านแน่นอน ถ้าถึงตอนนั้น”
มุมปากหวังอี๋จวินเลิกขึ้นอย่างมีเลศนัย จนคนอื่นเสียวสันหลัง
เฉินอินเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ถึงแม้เธออยากเป็นผู้หญิงของซังหลินจวิน แต่ก็ไม่อยากโดนพวกเขาปั่นหัว แต่เธอก็ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า แผนนี้น่าดึงดูดจริงๆ เธอต้องคิดแล้วล่ะว่าต้องให้ร่วมมือยังไง
เฉินอินหันหลังไป จากไปอย่างเงียบๆโดยที่ไม่ให้สองคนข้างในรู้ตัว
หลังจากที่ซังหลินจวินกลับไปถึงบริษัท ก็รีบเปิดคอมพิวเตอร์บนโต๊ะแล้ววิดีโอคอลหาเอลลิซทันที
ได้ยินเสียงเชื่อมต่อไปครู่หนึ่ง สุดท้ายฝ่ายตรงข้ามค่อยกดรับ
จึงเห็นผู้ชายที่ใส่แว่นกรอบสีเงินกำลังนั่งมองเขาอยู่บนเก้าอี้ทำงาน
“สวัสดีคุณซัง เราเจอกันอีกแล้วนะครับ” เอลลิซฝ่ายตรงข้ามเอ่ยทักทายก่อน
อย่างที่ว่า คนที่ลงมือก่อนมีสิทธิ์ในเกมส์เชิงรุก
เอลลิซกำลังแสดงเจตนาแอบแฝง
ซังหลินจวินตอบอย่างเป็นมิตร “ถึงแม้จะดีใจที่ได้เจอคุณเอลลิซอีกครั้ง แต่ตอนนี้กลับเป็นข่าวที่การร่วมธุรกิจล้มเหลว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีใจเลยครับ” ซังหลินจวินพูดเข้าตรงประเด็น
ตอนที่กำลังพูด รอยยิ้มบนใบหน้าของเอลลิซก็เริ่มหายไป
มือที่เขาวางไว้บนโต๊ะประสานเข้ากัน
เอ่ยพูดด้วยสีหน้าเข้มงวด”คุณซัง ไม่ใช่เพราะพวกผมจงใจจะยกเลิก แต่กลับเป็นหยวนเซิ่งที่พวกคุณเอาแต่กลับคำธุรกิจที่ตกลงกันแล้ว เราไม่กล้าร่วมธุรกิจกับพวกคุณ เพราะเราไม่รู้ บริษัทพวกคุณจะกลับคำร่วมธุรกิจกับเราเหมือนกันหรือเปล่า คุณซัง เราไม่มีอะไรให้เสียแล้วครับ”
คำพูดของเอลลิซพูดอย่างจริงใจ
ก็จริง กี่วันนี้โปรเจ็คครั้งนี้เปลี่ยนบริษัทรับผิดชอบมาตั้งหลายบริษัท แม้แต่หุ้นของบริษัทยังเปลี่ยนแปลงเลย
หุ้นของบริษัทเดี๋ยวขึ้นทะยานสูง เดี๋ยวก็ตกลงต่ำ
อย่างวันที่เรื่องของเถียนเฟิงเสียง หุ้นก็ตกหลายจุดมาก
นี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดมาหลายปีแล้ว
ถ้าเรื่องยังสามารถแก้ไขได้ ซังหลินจวินก็คงไม่ทำเด็ดขาดขนาดนั้น
แต่พวกที่อยู่ฝั่งเดียวกับเถียวเฟิงเสียง เหมือนเป็นปลิงที่เกาะบริษัท ถ้าไม่จัดการทีเดียวให้สะอาด สักวันคงดูดเลือดบริษัทจนหมดแน่
ยอมเสี่ยงเพราะเรื่องเล็ก นี่ไม่ใช่สไตล์ของเขา
ซังหลินจวินเข้าใจเอลลิซ แต่เขาไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีแค่เหตุผลเดียว
“คุณเอลลิซ การร่วมธุรกิจของบริษัทคุณกับหยวนเซิ่งเป็นก้าวสำคัญที่หยวนเซิ่งจะตีตลาดอังกฤษ เชื่อว่าเรื่องนี้คุณก็เข้าใจดี เพราะฉะนั้น ผมรับประกันกับคุณที่นี่เลย การร่วมธุรกิจครั้งนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น จะไม่มีเรื่องอย่างที่คุณกังวลแน่นอนครับ”
สีหน้าเอลลิซลังเลเล็กน้อย แต่เขาก็ยังยืนยันส่ายหน้า พร้อมเอ่ยขอโทษ “ขอโทษนะครับคุณซัง บริษัทอ้ายทั้วเราเริ่มคุยธุรกิจกับบริษัทอื่นแล้วครับ”
จนกระทั่งสายถูกวางไปนานแล้ว ซังหลินจวินยังพิงอยู่บนเก้าอี้ เหมือนยังดึงสติกลับมาไม่ได้ แต่ความจริง เขากำลังครุ่นคิดต่างหาก
จนตอนที่ยวี้เฟยเคาะประตูเข้ามา จึงเห็นท่าทางที่คิดหนักของบอสตัวเอง
“ยวี้เฟย นายไปเช็คดูว่าช่วงนี้บริษัทอ้ายทั้วติดต่อกับบริษัทไหนบ่อย ถ้ารู้แล้วรีบบอกฉัน” เสียงของซังหลินจวิน ทำให้ยวี้เฟยตกใจ
ยังดีที่เขารีบตั้งสติ “ครับ”
รอจนยวี้เฟยออกไปแล้ว สีหน้าของซังหลินจวินค่อยไม่ได้เครียดกดดันขนาดนั้นแล้ว
จะว่าไป เรื่องที่เกิดวันนี้ เป็นเรื่องแรกแล้วก็เรื่องเดียวที่ล้มเหลวตั้งแต่เขารับช่วงหยวนเซิ่ง
แต่เรื่องยังไม่ถึงจุดที่ล้มเหลวที่สุด
แค่เช็คให้รู้ว่าใครแอบร่วมมือกับอ้ายทั้ว ซังหลินจวินเชื่อว่า เขาต้องแย่งสัญญาธุรกิจมาจากฝ่ายตรงข้ามได้แน่นอน
เพราะยังไง ถึงจะเซ็นสัญญาแล้ว แต่ถ้างานยังไม่ได้เริ่ม ทุกอย่างก็ยังไม่แน่นอน
ซังหลินจวินลองคิดดูดีๆ รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับซังอวินแน่นอน
เพราะกี่ปีนี้ เขาอยู่ต่างประเทศตลอด ไม่มีใครรู้ข่าวคราวของเขาเลย
ถ้า เขาแอบเปิดบริษัทแล้วมาเป็นคู่แข่งเขา ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
เพราะเห็นสายตาครั้งก่อนที่เจอเขาจึงมองออก เขายังไม่ลืมเรื่องในอดีต
ไม่แน่ ที่เขากลับมาครั้งนี้ อาจจะเพื่อแก้แค้นก็ได้
ซังหลินจวินใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ ตอนที่เห็นโทรศัพท์ข้างๆ เขาเลื่อนเปิดหน้าจอแล้วโทรหาชื่อของคนที่คุ้นเคย
“อี้ฟาน โปรเจ็คครั้งก่อนที่ตกลงกันไว้อาจจะต้องยกเลิก……”
ตอนเย็น ซังหลินจวินถือซุปมาที่โรงพยาบาลด้วย
ตอนที่เปิดประตูห้องพักฟื้น ได้ยินเสียงหัวเราะจากในห้อง
อาจจะเพราะร่างกายดีขึ้นเยอะแล้ว เสียงที่เฉินเฉียวพูดก็ดูมีเรี่ยวมีแรงมากขึ้น
“ฉยงฉยง โยว่อีชอบกินเค้กมาก เดี๋ยวครั้งหน้าฉันจะพาเขากับแกไปกินด้วยกัน” เสียงของเฉินเฉียวอ่อนโยน ฟังออกว่าตอนที่เธอกำลังพูดคำนี้ เธอดูมีความสุขมาก
เจียงฉยงฉยงที่นั่งอยู่ข้างๆยังไม่ทันได้ตอบเฉินเฉียว เงาร่างสูงของซังหลินจวินก็เดินมาก่อน
เขายิ้ม “กำลังคุยอะไรกันน่ะ พูดให้ฉันฟังด้วยสิ”
บอสซังที่อยากรู้อยากเห็นแบบนี้ทำให้ตาเจียงฉยงฉยงเป็นประกาย
ตาทั้งสองข้างเหมือนกำลังพูดว่า ที่แท้คุณเป็นผู้บริหารแบบนี้เหรอ
เฉินเฉียวเม้มปาก เธอไม่บอกหรอก เพราะตอนแรกเธอแอบซุบซิบเรื่องเขา
พอเห็นเฉินเฉียวปิดปากแน่น ไม่มีทีท่าจะบอก ซังหลินจวินจึงหันไปทางเจียงฉยงฉยง ใบหน้ามีรอยยิ้ม แล้วพูดไล่อย่างไร้น้ำใจ
“คุณหนูเจียง เฉียวเฉียวจะกินข้าวแล้วครับ คุณน่าจะยังไม่ได้กินเหมือนกัน งั้นกลับไปกินข้าวก่อนเถอะครับ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”