แค่ทำหน้าที่พลเมืองที่เท่านั้น
แต่ถ้าเขาไม่พูดแล้วใครจะพูด
เมื่อทั้งสองกลับไปที่นิทรรศการมีเพียงซังอวิ๋นเท่านั้นที่สังเก
เขาขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกไม่ดีในใจ
เพียงแค่คิดทบทวนแล้วเขาเตรียมพร้อมสำหรับทุกอย่าง ทุกๆขั้นตอนดำเนินตามแผน
ถ้ามีอะไรบางอย่างมันจะทำให้เขารู้สึกกระวนกระวาย เกรงว่าจะมีแต่ของลอตนั้น
เขายืนอยู่บนที่สูงมองดูท่าทางที่เย็นชาและผ่อนคลายของซังหลินจวินด้านล่างหัวใจของเขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ความวิตกกังวลของเขากลับเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่การฉายด้านล่างของเขากำลังจะสิ้นสุดลงทันใดนั้นตำรวจนอกเครื่องแบบกลุ่มหนึ่งก็บุกเข้ามาทางประตูที่เปิดอยู่
“เกิดอะไรขึ้น?’ท้ายที่สุดซังอวิ๋นเป็นผู้จัดนิทรรศการนี้ดังนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นเขาจะต้องรับผิดชอบ
เขาถามตรงๆตอนเดินไปหาตำรวจ
หัวหน้าตำรวจที่ยังดูเด็ก เขามองดูผู้ชายในชุดสูทและรองเท้าหนังตรงหน้าและถามตรงๆ: “คุณเป็นเจ้านายของนิทรรศการนี้ใช่ไหมครับ”
“ใช่”ซังอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็กลับมาทำสีหน้าปกติ
“ขอโทษนะครับ เนื่องจากมีคนแจ้งความว่างานนิทรรศการของคุณในวันนี้มีคนแอบแฝงเข้ามาหวังว่าจะคุณจะให้ความร่วมมือให้พวกเราตรวจสอบ”แม้ว่าตำรวจคนนี้จะอายุน้อย แต่เขาก็พูดจาสุภาพมากและเห็นได้ชัดว่ามีการศึกษาดี
รูปลักษณ์ของเขานั้นดูกล้าหาญดูแล้วสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมาก
เมื่อซังอวิ๋นได้ยินคำพูดเหล่านี้เขารู้ในใจว่าสิ่งต่างๆอาจไม่ดี
ในตอนนี้ได้ แต่หวังว่าหวังอันจะขนย้ายของออกไปแล้วไม่งั้นวันนี้ต้องแย่แน่ๆ
“ซู้เหยี้ยน ทำไมเพิ่งมา ไม่ไปทักทายพ่อฉันหน่อยหรอ”เขาเดินไปหาชายชราที่ถือไม้เท้าและมีผมหงอกและมีริ้วรอยมากมายบนใบหน้าเมื่อได้ยินชื่อจากปากของเขาและสายตาของตำรวจหนุ่มที่มองก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนรู้จักกัน
ซู้เหยี้ยนไม่ได้พูดอะไรใบหน้าของเขาจริงจังเหมือนเริ่มต้นและเขาก็พยักหน้าไปทางชายชราที่เดินมาโดย: “เหยียนเหล่าวันนี้ผมมาทำงานดังนั้นผมจะไม่คุยเรื่องส่วนตัว.”
สีหน้าของเขาดื้อดึง
เหยียนเหล่าไม่สนใจ แต่เขาพูดอย่างจริงจังว่า: “ซู้เหยี้ยน คุณกับซังอวิ๋นก็เหมือนกัน กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ล้วนพึ่งพาตัวเอง ผมว่าคุณทั้งสองน่าจะมีเรื่องคุยกัน”
เหยียนเหล่าเป็นปู่ของเหยียนเฟิ้งเขาชอบวาดภาพเมื่อเขาได้ยินเกี่ยวกับนิทรรศการนี้เขาจึงสนใจมัน
หลังจากได้เห็นซังอวิ๋นตัวเป็นๆก็ชื่นชมเขามาก
“เหยียนเหล่าพูดได้น่าขำ ไม่ว่าเขาและผมจะมีหัวข้อสนทนาร่วมกันแต่ก็ต้องตรวจสอบสิ่งต่างๆก่อนที่จะพูด คงไม่อยากขัดขวางการทำงานหรอกนะ “ซู้เหยี้ยนกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา
เมื่อเห็นว่าคำโน้มน้าวเขาไม่มีประโยชน์ แต่อย่างใดเหยียนเหล่าก็ซังอวิ๋นไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงแค่ตบไหล่ของซังอวิ๋นเบา ๆ และส่ายหัวอย่างทำอะไรไม่ถูกและถอนหายใจ
ซังอวิ๋นเป็นคนปลอบใจเขาโดยพูดว่า “ไม่ต้องห่วงเหยียนเหล่าวางใจเถอะ ผมไม่ได้แพ้ง่ายๆแบบนั้น ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่ซู้ก็บอกแล้วว่ามีคนแอบแฝงตัวเข้ามาในนิทรรศการ ถ้าจับคนได้ นิทรรศการของเราก็จะปลอดภัย ”
หลังจากฟังคำพูดของซังอวิ๋นซู้เหยี้ยนก็มองเขาตรงๆด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
ไหนๆเจ้าภาพงานก็พูดแบบนี้แล้ว เหยียนเหล่าก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ซู้เหยี้ยนเดินตรงเข้าไปพร้อมกับคนของเขาและตรวจสอบ
คนข้างในแตกตื่นเมื่อเห็นตำรวจเข้ามา
ซังอวิ๋นเดินตามตำรวจและพบว่าถ้าเป็นแบบนี้ เกรงว่าวันนี้ที่เขาทำทุกอย่างจะกลายเป็นศูนย์
ตอนนี้ทำได้แค่ปล่อยไป
ซังหลินจวินและ เจียงอี้ฝานยืนอยู่ด้วยกัน เฉินเฉียว และ เจียงฉยงฉยงกำลังเดินด้วยกัน แยกฝั่งชายหญิง
“เฉียวเฉียว วันนี้ฉันเกรงว่าซังอวิ๋นจะมีปัญหาจริงๆ เฮ้ คุณว่าทำไมซวยขนาดนี้นะ เปิดนิทรรศการทั้งทีกลับเจอเรื่องแบบนี้”เจียงฉยงฉยงจับมือของเฉินเฉียวและกระซิบที่หูของเธอ
นอกจากนี้เธอยังมีใบหน้าบึ้งตึง เห็นได้ชัดว่ามีความกังวล
เฉินเฉียวกังวลมาก แต่ใบหน้าของเธอไม่เคยเปิดเผย
เธอกล่าวว่า: “ฉันเชื่ออาอวิ๋น เรื่องของวันนี้จะคลี่คลายได้”
“ฮ่า ๆ เชื่อเขาขนาดนี้ ไปพัฒนาความสัมพันธ์กันตอนไหน”เจียงฉยงฉยงจงใจแกล้งเฉินเฉียว แม้ว่าเธอจะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง เฉียวเฉียว และซังหลินจวินแนบแน่นแล้ว
แม้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์โย่วอีขึ้น แต่พวกเขาก็จะกลายเป็นคู่แท้กันอยู่ดี
เจียงฉยงฉยงไม่ลืมที่จะขัดขวางซังหลินจวิน
เฉินเฉียวกลอกตาใส่ฉยงฉยงและใช้มือตบเบา ๆ เหมือนในอดีตทุกครั้งที่เธอโกรธเธอจะตบเบา ๆ เพื่อให้หุบปาก
เจียงฉยงฉยงเบ้ปาก ไม่พูดต่อ
ในทางกลับกันซังหลินจวินและเจียงอี้ฝานกำลังมองดูโทรศัพท์มือถือใน
“พวกเขาบอกว่าพวกเขาออกไปแล้ว”เจียงอี้ฝานวางโทรศัพท์ก่อนที่ลู้หมีและเหยียนเฟิงจะมา
ซังหลินจวินพยักหน้าบ่งบอกว่าเขาเข้าใจ: “ฉันเชื่อคนของแก”
ท้ายที่สุดถ้าพวกเขาไม่ออกไปในเวลานี้ซังอวิ๋นก็จะไม่ใช่คนเดียวที่โดนสาว
“เหล่าซัง เหล่าเจียง คุณสองคนคุยอะไรกัน”เหยียนเฟิงรู้สึกอึดอัดมากสำหรับความลับของเขาสองคน
ตอนนี้เหล่าซัง เหล่าลู้เหมือนโยนเหยื่อให้เขา แต่เขาไม่ยอมให้มันกัด
ซังหลินจวินและเจียงอี้ฝานรู้ว่า เหยียนเฟิงเป็นอย่างไรดังนั้นพวกเขาจึงไม่ให้เขารู้เรื่องนี้
มิฉะนั้นเขาอาจจะเปิดเผยโดยบังเอิญ
ซังหลินจวินหันศีรษะและเดินตรงไปที่ด้านเฉินเฉียว
เจียงอี้ฝานแค่นหัวเราะ
หลังจากที่ซังหลินจวินคุยกับเฉินเฉียวเมื่อเจียงฉยงฉยงมองไปรอบ ๆ ด้วยใบหน้าเบื่อหน่ายและก็เดินผ่านไป
เหยียนเฟิงทำเสียงฮึดฮัด
ลู้หมีวางแขนไว้รอบไหล่ของเขาและพูด: “เสี่ยวเฟิงคุณไม่รู้จักพวกเขาหรอ นั่นหน่ะเห็นผู้หญิงดีกว่าเพื่อน”
เหตุผลที่ ลู้หมี พูดแบบนี้คือจงใจเบี่ยงเบนความสนใจของเหยียนเฟิง
แน่นอนว่าทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ เหยียนเฟิง ก็ผละจากมือของเขาและพูดด้วยความโกรธ: “อย่าเรียกฉันว่เสี่ยวเฟิงคุณคิดว่าฉันยังเป็นเด็กอยู่หรือไง? ถ้าเรียกอีกนะ จะได้เห็นดีกัน”