ซังหลินจวินยิ้มให้เขาอย่างคลุมเคลือ
เขามองไปที่เฉินเคออย่างเรียบๆ แต่มีแรงกดดันที่มองไม่เห็นในดวงตาของเฉินเคอ
จนกระทั่งสายตาของซังหลินจวินละออกไปจากนั้นกางไหล่ของเขาคลายออกเสื้อยืดของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาไม่ได้ดื้อดึงต่อคำพูดเมื่อครู่
เขาหยิบฟอร์มแผ่นสีขาวขึ้นมา เขียนข้างบนว่า ยินยามให้ผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล แล้วก็เซ็นชื่อตัวเองลงไป ถือว่าเป็นการรับผิดชอบของเขา
หลังจากที่ซังหลินจวินรับฟอร์มมาเขาก็รีบเก็บมันไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็ว แต่เขานั่งนิ่งบนเก้าอี้เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “หมอเฉินรักษาโย่วอีมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็มารักษาโย่วอีบ่อยครั้ง ผมจะให้หมอมาเป็นหมอประจำของโย่วอี คุณว่าดีไหม ”
โดยปกติโย่วอีป่วยหรือเป็นหอบหืด เฉินเคอถึงแม้จะมาได้ แต่ก็แค่ครั้งคราว ยังไงซะเขาทำงานประจำอยู่ที่โรงพยาบาล สำหรับการรักษาโย่วอีถือเป็นความสงสารในใจหรือไม่ก็หาเงินเพิ่มข้างนอก
ถึงแม้ว่างานข้างนอกรายได้จะสูงกว่าการทำงานในโรงพยาบาลมาก
แต่เขายังคงให้ความสำคัญกับตำแหน่งของเขาในโรงพยาบาลมากกว่า
ดังนั้นเมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลและเขาจะปฏิเสธ
ซังหลินจวินเหลือบมองเขาและเดาได้ทันทีว่าคำตอบที่เขาพยายามจะพูดคืออะไรเขายิ้มและพูดว่า “หมอเฉิน อย่าปฏิเสธเลยนะ ถึงแม้จะไปเป็นหมอประจำโย่วอี ตอนคุณออกจากโรงบาลไป ผมยังรักษาตำแหน่งที่โรงบาลไว้ให้อยู่ พอโย่วอีฟื้นขึ้นมาคุณก็ยังสามารถกลับมาทำงานได้อีก แล้วผมจะประเมินตำแหน่งหัวหน้าให้คุณด้วย ถ้าผ่านผมจะแต่งตั้งให้อย่างเป็นทางการ ”
ซังหลินจวินเชื่อว่าเขาจะไม่ปฏิเสธการโน้มน้ามครั้งใหญ่เช่นนี้
เมื่อเฉินเคอที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ยินคำพูดเหล่านี้มือของเขาบนโต๊ะก็สั่นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้คนที่อยู่อีกด้านหนึ่งเห็นเขาจึงวางมือของเขากลับไปที่เก้าอี้ตรงที่ซังหลินจวินมองไม่เห็น เขาพยายามควบคุมอย่างเต็มที่ที่จะไม่เปิดเผยความสุขในใจ
เฉินเคอลำบากในโรงพยาบาลมาหลายปี เขาก็อยากเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนก ไม่เพียงต้องการประสบการณ์และคุณสมบัติเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือต้องมีแบล๊คอัฟ
แต่ตอนนี้ แค่ตอบตกลงว่าจะไปเป็นหมอประจำของโย่วอี แล้วรอให้เขาฟื้น การที่เขาจะได้เป็นหัวหน้าแผนกก็แค่เรื่องง่ายๆ ยังไงซะก็ไม่มีใครรู้ ผู้ถือหุ้นโรงพยาบาลเป่ยเฉิงที่สำคัญที่สุดยังไงก็คือ ประธานของหย่วนเซิ้ง
เขาไม่ลังเลแสงแห่งความทะเยอทะยานฉายในดวงตาของเขาเขาพยักหน้า: “ครับ คุณจะให้ผมไปเมื่อไหร่?”
ยิ่งเร็วยิ่งดีเมื่อเห็นเขาตอบตกลงซังหลินจวิน ก็พยักหน้าอย่างพอใจ
ไหนๆก็ตอบตกลงแล้ว เขาก็จะไม่อยู่ที่นี้อีก
เมื่อเขากลับไปที่ห้องผ้ป่วยเฉินเฉียวกำลังเล่านิทานให้โย่วอีฟังอยู่ข้างเตียง
ทั้งๆที่เธอรู้ว่าโย่วอีไม่ได้ยิน แต่เธอก็ยังคนตั้งใจเล่า: “หมาป่าตัวใหญ่เพิ่งเอากินลูกแกะเข้าปาก”
เธอตั้งใจเล่าไม่ได้สังเกตว่าประตูถูกผลักเปิดเบา ๆ
รู้สึกได้ถึงความอุ่นที่คอของเธออย่างฉับพลันดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ มือของเธอโบกสะบัดอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่ ซังหลินจวินตอบสนองได้อย่างรวดเร็วมิฉะนั้นเธอจะข่วนหน้าของเขา
“คุณทำอะไร ฉันตกใจหมดเลย”เมื่อเห็นชัดแล้วเฉินเฉียวก็ถอนหายใจเบาๆ เธอเอามือทาบอก
ซังหลินจวินไม่คิดว่าเธอจะตกใจง่ายขนาดนี้และมองไปที่เธออย่างอ่อนโยนและขอโทษ: “โอเค ผมผิดเอง ผมไม่ควรโผล่มาตอนที่คุณกำลังตั้งใจเล่านิทาน คุณลงโทษผมสิ ให้เหมือนกับหมาป่ากินลูกแกะ”
เฉินเฉียวมองบนและพูดอย่างโกรธ ๆ ว่า: “คุณอย่าล้อฉันสิ”
ซังหลินจวินรีบโบกมือและกระซิบ“ ผมไม่กล้าหรอก เมียผมใหญ่สุด ผมจะกล้าได้ยังไง”
ไม่กี่วันมานี่เขาจงใจหยอกล้อเธอ ให้เธอได้ยิ้มผ่อนคลายบ้าง
หลังจากทั้งสองคุยกันและหัวเราะ เฉินเฉียวก็เหนื่อยเล็กน้อยและผลักเขาจากนั้นก็ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องออกจากโรงบาล: “เรื่องเอาโย่วอีออกจากโรงบาล เป็นยังไง หมอว่ายังไงบ้าง?”
ซังหลินจวินโอบนิ้วรอบผมเรียบของเธอและลูบเบา ๆ แล้วเขาก็ให้คำตอบว่า“ หมอเฉินบอกว่าออกจากโรงบาลได้ รอตอนที่จะออกเดี๋ยวผมจะบอกป้ามั่วสักหน่อย ให้เธอเตรียมของหน่อย ”
หลังจากไม่ได้กลับบ้านมานานแล้วแม้ว่าจะทำความสะอาดทุกวัน แต่ก็มีสิ่งที่ต้องจัดการ
เฉินเฉียวพยักหน้าโดยรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
ในตอนเที่ยงซังหลินจวิน ได้ทำเรื่องขอออกจากโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้วเขากำลังคุยกับแพทย์ที่อยู่ในรถที่กำลังพาโย่วอีกลับไปที่จิ้งหย่วน เฉินเฉียวถือซื้อผ้าที่เธอเอามาเปลี่ยนในช่วงนี้ รออยู่ข้างๆเงียบๆ
ในเวลานี้ร่างในชุดสูทรีบตรงไปที่โรงพยาบาลเดิมทีเฉินเฉียวต้องการซ่อนตัวอยู่ข้างๆ แต่ยังไม่ทันจะซ่อนตัว
เธอถูกผู้ชายชนจนเซ ตอนที่กำลังจะล้มลง มีมือโอบเอวเขาไว้ได้ทัน
เฉินเฉียว รู้สึกอึดอัดมากเมื่อถูกสัมผัสโดยคนแปลกหน้าเธอได้รับการช่วยเหลือจากน้ำใจของผู้อื่นแน่นอนว่าเธอต้องกล่าวขอบคุณ
เพียงแค่ประโยคนี้หลังจากเห็นชุดและใบหน้าที่คุ้นเคยแล้วเธอก็ผละออกจากเขาทันที
ปล่อยฉันเฉินเฉียวดุอย่างรุนแรงเพราะเธอพบว่าแม้ว่าเธอจะพยายามเต็มที่ แต่สองมือก็ยังไม่ปล่อย
“เฉินเฉียวทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี้ เราไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว”ผู้พูดคือปู้อี้เฉินมีความสุขในสายตาและคำพูดของเขา แต่ใบหน้าที่หล่อเหลาดั้งเดิมของเขาดูซีดเซียวเล็กน้อยในตอนนี้และมุมดวงตาของเขาก็เป็นสีดำราวกับว่าเขาไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลานาน
สำหรับคำพูดเฉินเฉียวที่ให้เขาปล่อยเธอ เขาทำเป็นไม่ได้ยิน ยังไงซะเขาไม่ได้เจอเธอตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากครึ่งเดือนของการทำงานหนัก
เขาถอนหายใจ และสูดจมูกราวกับว่าเขาได้กลิ่นน้ำหอมที่มีเสน่ห์และใบหน้าของเขาก็หลงใหล
เฉินเฉียวรู้สึกว่ามันน่ารังเกียจ ถึงแม้เขาจะช่วยชีวิตเธอตอนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ความรังเกียจของเธอที่มีต่อเขาก็ค่อยๆหายไป แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเธอรู้สึกดีกับเขา
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมปล่อย เฉินเฉียวก็ไม่สุภาพกับเขาอีกต่อไปและเธอก็กัดมือเขา
“อ้าาาา เฉินเฉียว คุณกัดผมทำไม คุณเป็นบ้าหรือไง?”ปู้อี้เฉินตะโกนใส่วันนี้เขารู้สึกหดหู่มาก แล้วมาโดนเฉินเฉียวกัดเป็นรอยเหมือนโดนหมาบ้ากัด