กับสายนี้ของเอลลิซ ซังหลินจวินเดาได้ตั้งนานแล้ว
เพราะโปรเจ็คที่เขาทำร่วมกับซังอวิน ถ้าเครื่องมือแพทย์ถึงมืออีกฝ่ายแล้ว ยังไงก็ต้องโทรบอกเขา
แต่ตอนนี้ซังอวินน่าจะยังโดนตรวจสอบอยู่ที่โรงพัก อาจจะโทรบอกได้ แต่เขาจะพูดว่า เครื่องมือแพทย์ที่เขาส่งมาโดนตำรวจยึดไว้?
ใช่ เครื่องมือแพทย์ล็อตนั้นโดนตำรวจยึดไว้แล้ว ตอนนี้ตำรวจน่าจะกำลังเช็คไฟท์บินต่างประเทศ
เพราะในประเทศต้องมีการตรวจสอบพวกเครื่องมืออะไรพวกนี้อยู่แล้ว
แต่โดยปกติ ช่วงเวลานี้ทั้งช้าทั้งนาน
แต่ถ้าแอบลักลอบขนเครื่องมือพวกนี้โดยไม่ผ่านการตรวจสอบ งั้นก็คงแย่แล้วล่ะ ต้องโดนสอบสวนอย่างเข้มงวดแน่ ถ้าผ่านการตรวจสอบแล้วไม่พบปัญหาอะไร ถึงจะสามารถเอาของคืนไปได้
แต่ว่า ยังไงก็ต้องเสียค่าปรับอยู่แล้ว
เพราะขนส่งของพวกนี้เองก็เหมือนการลักลอบ ถ้าคนอื่นเลียนแบบเอาไปทำตาม งั้นอีกหน่อยก็วุ่นวายสิ
จะไม่ใช่แค่ปรับ แถมยังจะออกหนังสือเตือนด้วย
แต่เวลานี้ บริษัทอ้ายทั้วให้ความสำคัญกับโปรเจ็คนี้อยู่แล้ว แถมยังต้องการเงินด่วนอีก
เขาจะยอมรับการตรวจสอบที่ยาวนานแบบนี้ ไม่มีทาง
เพราะฉะนั้นเลยรีบมาหาหยวนเซิ่ง ก็แค่อยากได้อีกล็อต
ช่วงนี้การเงินของบริษัทอ้ายทั้วมีปัญหา เลยต้องการเงิน เงินก้อนมหาศาลเลยแหละ ไม่งั้นเขาก็คงไม่ตอบตกลงเทียนเฉาเอ็นเตอร์เทนเม้นท์เร็วขนาดนั้นหรอก
เพราะบริษัทคนอื่นให้ส่วนแบ่งเยอะ จัดการเร็ว แต่ไม่ว่ายังไง ถ้าพูดว่าหยวนเซิ่งละเอียดรอบคอบ เทียนเฉาก็คงใจปั้ม
แต่ในด้านอื่นก็ยังคงมีจุดอ่อน อย่างเช่นความสัมพันธ์กับเบื้องบน
หยวนเซิ่งไม่เพียงสนิทกับกรมที่ดิน อย. แม้แต่ตำรวจ หรือสำนักงานต่างๆก็ติดต่อกันบ่อย
ถึงแม้ตอนที่หยวนเซิ่งโดนตรวจสอบ อาจจะช้าหน่อย แต่นั่นเป็นตอนที่ไม่ได้เทียบกับบริษัทอื่น
ถ้าอ้ายทั้วร่วมงานกับบริษัทอื่น เขาคงจะเข้าใจว่า ที่เขาบอกว่าช้านั้นความจริงเป็นการเร่งความเร็ว ดำเนินการอย่างไม่หยุดพัก
ตอนนี้เรื่องมีปัญหา เงินยังไม่เข้าบัญชี เทียนเฉาก็ไม่มีข่าวคราวอีก ยังไงเอลลิซก็ต้องร้อนรนอยู่แล้ว
เพราะยังไงก็เป็นผู้บริหารใหญ่ของบริษัท ตอนที่ทั้งสองคุยกัน ฟังไม่ออกเลยว่าเขาร้อนใจ น้ำเสียงที่พูดยังเรียบนิ่ง “คุณซัง เรากลับมาร่วมงานกันใหม่ได้ เครื่องมือแพทย์ครั้งนี้ที่เราส่งมาคุณภาพดีกว่าครั้งก่อน นี่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บริษัทเราเพิ่งคิดค้น ในนั้นมีเครื่องมือที่ใช้ได้กับโรคมะเร็งผู้ป่วยโคม่าแล้วก็ผู้ป่วยทางจิตได้ด้วย”
ซังหลินจวินเอ่ยแทรกก่อน “ขอโทษนะครับคุณเอลลิซ ในเมื่อคุณบอกว่านี่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บริษัทคุณเพิ่งคิดค้น เชื่อว่าพวกคุณคงยังไม่ได้นำมาใช้จริง พวกคุณแน่ใจได้ยังไงว่าไม่มีผลข้างเคียงกับผู้ใช้ คุณเอลลิซ ถึงแม้ผมจะเป็นนักธุรกิจ แต่ผลิตภัณฑ์ที่มีผลเสียกับผู้ใช้ ผมไม่ทำหรอกครับ”
คำพูดของซังหลินจวินไม่ให้โอกาสฝ่ายตรงข้ามได้หายใจเลย จนถึงขั้นทำให้เขาหุบปากไปอย่างปริยาย
พอฟังแล้ว เหมือนซังหลินจวินไม่อยากร่วมงานกับเขา
แต่ความจริงกลับกลับกัน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซังหลินจวินได้ข่าวว่าอ้ายทั้วคิดค้นเครื่องมือใหม่แล้ว แต่ว่าแต่ก่อนมีแค่ข่าวซุบซิบ ไม่ค่อยชัดเจนมากนัก เลยไม่ได้สนใจ
แต่ครั้งนี้พูดออกมาจากปากผู้บริหาร เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงสินะ
การคิดค้นเครื่องมือแพทย์จะยากกว่าการคิดค้นเครื่องจักร พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์อีก เพราะฉะนั้นเลยมีมูลค่ามากกว่า
คนต่างประเทศมีฝีมือด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ หรือว่าพวกอากาศยานไร้คนขับ พวกเขาก็ชำนาญกว่า
ถึงแม้คนในประเทศก็ฉลาดเหมือนกัน แต่เรื่องเทคโนโลยีคงตามไม่ทัน
นี่ไม่ใช่แค่ใช้สมองคน แต่ต้องใช้กำลังทางเศรษฐกิจด้วย จึงยังมีความแตกต่าง
แต่ไม่ว่ายังไง เครื่องมือล็อตนี้ทำให้ซังหลินจวินมีไอเดียบางอย่าง
สำหรับเขาต้องได้ของล็อตนี้มาถึงมือแน่นอน
เพราะว่า เขาแอบได้แหล่งข่าวมา ล็อตนี้เป็นเครื่องมือที่กระตุ้นสมองของคนอาการโคม่าได้
ซังหลินจวินไม่อยากยอมรับว่าโยว่อีอยู่ในอาการโคม่า แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ต่างจากโคม่า เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเพื่อเด็กหรือว่าบริษัท เครื่องมือล็อตนี้ เขาต้องได้
แต่ว่า เขาก็ไม่ยอมให้ใครมาจูงจมูกหรอก
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเงียบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เขาก็ไม่ได้เร่ง แค่พิงรอคำตอบของอีกฝ่ายที่ระเบียง
ต่างประเทศกับในประเทศเวลาต่างกัน ตอนนี้ที่อังกฤษ ความมืดกำลังปกคลุมทั่วฟ้า เอลลิซที่สวมใส่ชุดนอน กำโทรศัพท์แน่น มุมปากกระตุก เหมือนกำลังคิดหนัก ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาค่อยกัดฟันแน่น เหมือนตัดสินใจเรื่องที่สำคัญได้
“คุณซัง สิบเปอร์เซ็นต์ของเครื่องมือล็อตนี้ให้พวกคุณทดลองใช้ได้ฟรี ถ้าพวกคุณลองแล้วไม่มีปัญหาอะไร ผมหวังว่าหยวนเซิ่งของพวกคุณจะร่วมงานกับเราได้”
ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบ เขาถอนหายใจอีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบ “คุณซัง นี่เป็นก้าวสุดท้ายที่ผมจะถอยให้ ผมก็หวังว่าพวกคุณจะแสดงเจตนาที่จะร่วมงานกันด้วย”
“ได้ครับ ในเมื่อคุณเอลลิซพูดขนาดนี้แล้ว ถ้าผมยังปฏิเสธอีก คงดูไร้น้ำใจเกินไป ผมตกลงครับ แต่ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนครั้งก่อน ที่คุณเอลลิซยื่นมือไปหาคนอื่น ผมคิดว่าควรจะเพิ่มเงื่อนไขค่ารักษาสัญญา” ซังหลินจวินเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง แต่กลับทำให้ฝ่ายตรงข้ามใจสงบลง
เอลลิซเอ่ย “แน่นอนครับ เดี๋ยวเราค่อยคุยรายละเอียดเงื่อนไขนี้ก็ได้ครับ ขอแค่ตกลง เราต้องทำได้แน่นอน”
ตอนเช้ามีหมอกเล็กน้อย ซังหลินจวินถือโทรศัพท์ไว้ รอบตัวมีหมอกอ้อมล้อม เหมือนภาพวาดในเทพนิยายอย่างนั้น
ตอนที่เฉินเฉียวตื่น จึงเห็นภาพวาดที่สวยงามนี้ ไม่พูดไม่ได้เลยว่า ในใจเธอเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข
ผ่านไปสักพัก เธอค่อยหยิบเสื้อข้างๆขึ้นใส่ สองเท้าเดินอยู่บนพื้นไปทางเขา แต่ก่อนที่จะเดินไปถึงเขา เขาก็วางโทรศัพท์ก่อน
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนเกิดเรื่องอะไรที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี
แต่ว่า ความคิดแบบนี้ผ่านเข้าหัวเฉินเฉียวแค่ครู่เดียว จากนั้นจึงทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมาก
มุมปากเขาเป็นเส้นโค้ง เหมือนแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า จนทำให้โลกของเธอสว่างขึ้นมาทันที