เมื่อกี้ซังหลินจวินเพิ่งคุยเรื่องธุรกิจกับเอลลิซเสร็จ
พอหันมาจากระเบียง จึงเห็นเฉินเฉียวที่ยืนเท้าเปล่าอยู่บนพื้น
กี่วันนี้ร่างกายเธออ่อนแอมาก เขาก็ต้องอารมณ์เสียสิ อีกอย่าง พอเห็นพื้นห้องที่สะท้อนแสง จึงคิดว่าควรจะปูพรม ครั้งหน้าถ้าเธอเดินอีกจะได้ไม่เย็น
แต่ว่าตอนนี้ เขาเลื่อนเปิดประตูระเบียงเดินตรงเข้าไปทันที
จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้น ระยะห่างระหว่างเตียงกับระเบียงไม่ไกลมาก
เขาจึงวางตัวเธอลงที่ขอบเตียง จากนั้นก็หยิบรองเท้าของเธอมาสวมให้
เฉินเฉียวก้มหน้า มือทั้งสองข้างกางออกยันไว้ที่เตียงอย่างขี้เกียจ
นี่เป็นเรื่องปกติหลังจากที่พวกเขาอยู่ด้วยกันแล้ว
เธอเลยชินกับเขา ชินจนไม่ต้องแคร์ว่าต้องแต่งหน้าต่อหน้าเขาหรือเปล่า
แต่ระหว่างชายหญิง ตอนที่คบกันหรือเพิ่งเป็นแฟนกัน ต้องระวังเรื่องพวกนี้มากๆ
จะต้องแคร์ว่าวันนี้แต่งหน้าสวยหรือเปล่า ชุดที่ใส่วันนี้สวยหรือเปล่า คิดว่าถ้าเขาเห็นแล้วจะชอบหรือเปล่า
ก็เหมือนแมวที่เพิ่งโดนมนุษย์เกาคอ อยากจะยื่นมือมาเล่นด้วย แต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นเย็นชา
ตอนที่คบกัน ผู้หญิงเหมือนแมวที่ทั้งน่ารักทั้งอ่อนแอ ถ้าไม่รักษาดูแลดีๆ อีกหน่อยคงจะค่อยๆไกลออกไป
แต่พอนานไป ผู้หญิงก็เหมือนดอกพุดตานที่ซื่อสัตย์ เบ่งบานสวยงามอย่างเจิดจรัส แต่ก็สามารถมองออกว่าอีกฝ่ายดูแลเธอยังไง
เฉินเฉียวก็เป็แบบนี้แหละ เธอถูกซังหลินจวินดูแลมากไป จนตอนนี้เธอชิวๆเหมือนอยู่บ้านตัวเอง ไม่มีความกังวลเหมือนตอนที่เพิ่งคบกันเลย
ตอนนี้สิ่งที่เธอกังวลคือเมื่อไหร่โยว่อีจะฟื้น เธอไม่เคยคิดเลยว่าโยว่อีจะไม่ฟื้น
พอใส่รองเท้าเสร็จ ทั้งสองก็อาบน้ำแต่งตัวลงไปกินข้าว
ตอนที่กินข้าว ทั้งสองเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูดอยู่แล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูด
แค่การกระทำที่ตักอาหารให้กัน ก็มองความสัมพันธ์ของทั้งสองคนออกแล้ว
พอกินเสร็จ ซังหลินจวินจึงมีอะไรจะพูด เขาผูกเน็กไทไปด้วยแล้วหันไปถามเฉินเฉียวที่กอดหมอนนั่งไว้ “วันนี้ไม่ไปบริษัทเหรอ? เธอยังจะอยู่กับโยว่อีที่บ้าน?”
ฟังแล้วเหมือนกำลังไล่ แต่ในใจซังหลินจวินไม่เคยคิดแบบนี้อยู่แล้ว
เขาเป็นอยากให้เธอใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง ความรู้สึกผิดค่อยๆหายไป แต่ก็ไม่อยากให้เธอย่ำอยู่กับที่
ในใจเฉินเฉียวยังเป็นห่วงโยว่อี แต่เธอก็รู้ว่าที่ซังหลินจวินพูดก็ถูก เธอจะเป็นเต่าในกระดอง เอาแต่อยู่ในบ้าน ไม่ออกไปไหนไม่ได้
เพราะฉะนั้นเธอเลยวางหมอน แล้ววิ่งกลับห้อง
ผ่านไปไม่กี่นาที เธอก็เปลี่ยนชุดที่เหมาะจะไปทำงานเสร็จ หยิบกระเป๋าใบที่เธอชอบพกไว้แน่น
ความเป็นห่วงที่ซังหลินจวินเป็นห่วงเธอค่อยน้อยลง ยื่นมือไปถือกระเป๋าเธอ อีกข้างก็กับมือเธอให้มาข้างๆ พอถึงหน้าประตู ลุงฟู่ก็จอดรถรออยู่แล้ว
“ลุงฟู่ ไปบริษัทเฉียวเฉียวก่อนครับ” ทั้งสองขึ้นไปนั่งข้างหลัง แล้วซังหลินจวินจึงเอ่ยสั่ง
เฉินเฉียวนั่งอยู่ข้างๆ มองไปที่เขาอย่างกังวล “ตอนนี้สายแล้ว จะรบกวนงานที่บริษัทนายหรือเปล่า”
ซังหลินจวินยิ้มเอ่ย “ไม่เป็นไร จัดการเรื่องสำคัญหมดแล้ว”
ตอนนี่เฉินเฉียวก็เป็นคนที่มีบริษัท ก็ต้องเข้าใจอยู่แล้ว่าบริษัทใหญ่โตขนาดนั้น ต้องทุ่มแรงกายแรงใจมากแค่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ในหยวนเซิ่งยังซับซ้อนอีก
นึกถึงที่ฉยงฉยงเคยพูดเกี่ยวกับคุณอาของซังหลินจวินที่จ้องเป็นตามัน เฉินเฉียวเลยเอ่ยถามเรื่องพวกเขา “งานเลี้ยงครั้งก่อน ได้ข่าวว่าอาสามกับอาเล็กก็มา พวกเขาไม่เจอฉันโกรธหรือเปล่า”
ซังหลินจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับสีหน้า มือที่เขาจับมือเฉินเฉียวไว้ไม่ปล่อยเลย ตอนนี้ก็กำลังเล่นมือเธอเหมือนเป็นของเล่นอย่างนั้น
น้ำเสียงจึงมีความขี้เกียจไม่สนใจ “อย่าสนใจคนที่ไม่สำคัญ พวกเขาคิดอะไร จะทำอะไร มีฉันอยู่ทั้งคน เธอแค่ยืนอยู่ข้างฉัน เป็นภรรยาของฉันก็พอ เฉียวเฉียว ฉันรู้ว่าเธอกังวลอะไรอยู่ แต่ว่ากี่ปีนี้ ฉันไม่ใช่เด็กปีกอ่อนแล้ว ฉันรู้ดีกว่าคนอื่นว่าควรจะบริหารบริษัทยังไง ควรจะจัดการเรื่องครอบครัวยังไง เธอใช้สมองเล็กๆคิดเรื่องบริษัทตัวเองดีกว่า ถ้ายังไม่พอให้เธอคิด เธอก็ใช้มาคิดเรื่องที่ทำให้ฉันมีความสุข อย่างเช่น ใส่เสื้อผ้าสวยๆอยู่ที่บ้าน”
เฉินเฉียวหมดคำพูด เธออุตส่าห์เป็นห่วง แต่คนตรงหน้ากลับตอกกลับมาอย่างหน้าเฉย ยังพูดอะไรแบบนั้นอีก
เฉินเฉียวดึงมือตัวเองกลับมา หันหน้าไปอีกข้างไม่อยากสนใจเขา
จนกระทั่งลงรถ เฉินเฉียวไม่พูดกับเขาสักคำ แต่ซังหลินจวินก็ไม่ยอมเสียมอนิ่งคิส บังคับให้มอนิ่งคิสก่อนค่อยให้เธอไป
เฉินเฉียวไม่ได้กลับบริษัทมานาน หลีชิงทีแรกยังดูเอกสารอยู่ พอเห็นเธอมาก็ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“ว้าว บอสเฉินกลับมาสักที ไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ คิดถึงแย่เลย” หลีชิงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วรีบวิ่งมาจับมือเธอไว้
ยังไงหลีชิงก็ทำงานกับเฉินเฉียวมาตั้งนาน ตั้งแต่ปู้ซื่อกรุ๊ปจนบริษัทตอนนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงดีมาก
แต่ว่าแต่ก่อนหลีชิงเอาแต่เรียกว่าผู้จัดการ ตอนนี้เปลี่ยนมาเรียกบอสเฉิน ถึงแม้จะมีมารยาท แต่เฉินเฉียวก็ยังไม่ชิน
เธอโบกมือก่อน แล้วยิ้มเอ่ย “คิดถึงฉันขนาดนี้ งั้นวันนี้เลิกงานไปกินข้าวด้วยกัน อีกอย่างเปลี่ยนชื่อบอสเฉินที่เธอเรียกด้วย รู้สึกแปลกๆ”
หลีชิงตาเป็นประกาย เธอเห็นเฉินเฉียวที่ยิ้มแย้ม เลยรู้สึกว่าฟ้ายังไม่สว่างหรือเปล่า เธอยังฝันอยู่ใช่ไหม ถึงแม้แต่ก่อนจะสนิทกัน แต่รอยยิ้มของเฉินเฉียวให้ความรู้สึกมีระยะห่างตลอด
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เธอถึงยิ้มเบ่งบานขนาดนี้ได้ เหมือนโดนเปิดปุ่มให้ยิ้มอย่างมีความสุข ยิ่งทำให้คนอื่นรู้สึกชอบ
หลีชิงคิดว่านี่คงเป็นพลังของความรัก นึกถึงบอสซังที่เจอครั้งก่อน เธอก็แอบพยักหน้า ถ้าเทียบกับสามีเก่าที่เลวทรามของเฉินเฉียว บอสซังทั้งรวยทั้งอ่อนโยนกับเฉินเฉียวขนาดนี้ แต่ยังไงเฉินเฉียวก็เป็นผู้หญิงที่น่าปกป้องอยู่แล้ว เธอแบบนี้ก็ถือว่าต้นร้ายปลายดีแล้วสินะ