“ หยุดตรงนี้ก่อน”
ทุกคนคิดว่าพวกเขากำลังจะต้องขับไปต่อ จู่ๆซังหลินจวินก็เรียกให้หยุด
คนขับรถคันหน้าหันหน้าไปมองพี่ชาย
เจียงอี้ฟานเหลือบมองตรงไปที่เขาและส่งสัญญาณให้เขา
หลังจากที่รถคันหน้าหยุดรถคันอื่น ๆ ก็หยุดตามไปด้วย
หลังจากหยุด ซังหลินจวินก็เปิดประตูและเดินลงไป
เขาเดินไปตามริมฝั่งแม่น้ำโดยไม่พูดอะไรสักคำ
แววตาของคนข้างหลังฉายแววสงสัย แต่พวกเขาก็ไม่กล้าถามอะไรไปมากกว่านี้
แม้แต่เจียงอี้ฟานที่เดินไปกับเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร
เมื่อมาถึงกลางเกือบท้ายของแม่น้ำซังหลินจวินก็หยุดกระทันหัน
เขาย่อตัวลงและวางมือลงบนพื้น
เจียงอี้ฟานไม่รู้ว่าเขาพบอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าขัดเขา
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงกดดันพูดว่า “ค้นหาแม่น้ำสายนี้”
เสียงที่เขาพูดนั้นหนักแน่นมากราวกับว่าความแข็งแกร่งสุดท้ายของเขา
แม้ในขณะที่เขายืนขึ้นร่างกายของเขาก็แกว่งไปข้างหน้าอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เจียงอี้ฟานกำลังจะยื่นมือเข้าไปเพื่อช่วยเหลือเขา
ซังหลินจวินหันมาหาเขาเล็กน้อยและยิ้มให้เขา: “คุณไม่จำเป็นต้องช่วย ฉันรู้ร่างกายของตัวเองดี ก็แค่ขาของฉันมันชาๆ ฉันจับไว้อยู่”
ยิ่งเขาเฝ้าดูเขาจับขาเขามากเท่าไหร่เจียงอี้ฟานก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น เขาพูดพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก: “ดีแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณต้องจำไว้ว่ายังมีคนที่รอคุณอยู่ใน โย่วอีก็ยังไม่ฟื้น?”
คำพูดของเขาบ่งบอกถึงคำเตือนทำไมซังหลินจวินถึงไม่ได้ยิน
มองไปที่แม่น้ำด้วยความหวังอันริบหรี่ หัวใจของเขานั้นเย็นราวกับจมลงไปในเหวลึก
เขาคิดว่าถ้าเฉินเฉียวประสบอุบัติเหตุจริงๆ เขาจะยังใช้ชีวิตอยู่เหมือนเดิมได้ไหม?
ตัวเขาเองไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้
ระหว่างทางมีคนกลุ่มหนึ่งที่มักจะมาจับปลา ดังนั้นของทั้งหมดที่พวกใช้นั้นถูกวางไว้ในรถ
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเจียงอี้ฟานแลซังหลินจวินก็ได้แต่ยืนมองแม่น้ำที่ไร้ก้นบึ้ง
คนหนึ่งหมดหวัง
อีคนก็สติหลุดหายไป
“พี่ พวกเราหาเจอ หาเจอแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงแหบแห้งก็ดังออกมาจากด้านในสุดและชายคนนั้นโบกมือให้พวกเขาและตะโกนเสียงดัง
เจียงอี้ฟานแอบคิดในใจว่าต้องไม่ใช่เรื่องดี
แน่นอนว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขาได้วิ่งไปที่นั่นแล้วโดยไม่คิดหันกลับมามองเลยสักนิด
เมื่อเจียงอี้ฟานเดินไปเขาก็เห็นซังหลินจวินยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆราวกับรูปปั้น
บนพื้นดินมีผู้หญิงนอนอยู่และมีใบหน้าที่แตกต่างกันแต่มีร่างกายที่คล้ายกันกับเฉินเฉียว
เพียงแค่ใบหน้าของเธอบวมและเป็นหลุม เห็นได้ชัดว่าเธอถูกปลากัด
ด้วยสภาพแบบนี้เจียงอี้ฟานไม่สามารถมองเธอเป็นเฉินเฉียวหญิงสาวที่บอบบางและงดงามได้
เขารับไม่ได้ และสันนิษฐานว่าซังหลินจวินอาจจะทำไม่ได้เช่นกัน
ซังหลินจวินคุกเข่าลงและเอ่ยสองสามคำเบา ๆ
เจียงอี้ฟานอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยจึงไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดอะไร
ดังนั้นเขาจึงก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและพบว่าเขาพูดอยู่ตลอด
“ ไม่ใช่เธอ นี่ไม่ใช่เธอ”
คำพูดซ้ำ ๆ สองสามคำถูกเก็บไว้ในปาก
เสียงที่ไร้ร่องรอยของมิตรภาพในอดีต
“เฮียซัง ยอมแพ้แล้วไว้ทุกข์เถอะ”เจียงอี้ฟานเอื้อมมือไปตบไหล่เขา
“ไว้ทุกช์อะไรงั้นหรอ? ยอมแพ้? เธอไม่ใช่เฉินเฉียวเลย มันเป็นเรื่องตลกที่จะยอมแพ้แล้วไว้ทุกข์”
เขาหันหลังจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
หลังจากขึ้นรถ ไม่รอให้พวกเขาขึ้นรถ เขาก็ขับรถกลับไปบนถนนสายเดิมอย่างรวดเร็ว
เหลือเพียงเจียงอี้ฟานและหลายๆคนที่ริมฝั่งแม่น้ำเท่านั้นที่มองหน้ากัน
“พี่ เราจะพาผู้หญิงคนนี้ไปด้วยหรือเปล่า?”ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
ท้ายที่สุดสามีของหญิงคนนี้ปฏิเสธว่าเธอเป็นคุณเฉิน และโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจะไม่เรียกชื่อนี้กับเธอ
คนไปแล้ว ถ้าศพที่กู้มาถูกโยนทิ้งไว้ที่นี่แบบลวก ๆ พวกเขาจะต้องโดนแน่
หลังจากหายจากอาการหวาดผวาเจียงอี้ฟานก็นวดขมับของเขาด้วยอาการปวดหัวและพูดอย่างช่วยไม่ได้: “เอาไปด้วย นำไปส่งที่ไปโรงพยาบาลและทำการชันสูตร”
เขาไม่ได้กังวลแค่พี่ชายของเขาที่จากไป และถ้าฉยงฉยงรู้ข่าวเธอจะต้องใจสลายอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้หัวใจก็ยิ่งรู้สึกแย่
หลังจากที่ซังหลินจวินออกจากฝั่งแม่น้ำ เขาก็รู้สึกเหมือนไม่อยากจะมีชีวิต เขาขับรถด้วยความเร็วสูงสุด และไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเขาก็ขับรถไปถึงโรงพยาบาล
เขาถามพยาบาลถึงที่พักของเถียนเฟิงเสียงในโรงพยาบาลด้วยสีหน้าเศร้าหมองหลังจากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปที่หอผู้ป่วยราวกับสายลม
เสียง “ปัง” ประตูห้องวีไอพีของโรงพยาบาลถูกเตะเปิดออก
เถียนเถียนที่กำลังปอกแอปเปิ้ลให้พ่อตามปกติได้ยินเสียงดังรุนแรงก็ขมวดคิ้วและมองไปอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อเห็นคนที่ปรากฏตัวขึ้น ความรู้สึกประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของดวงตา แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วกลายเป็นอยู่ในห้วงแห่งความคิดแทน
วางผลไม้ในมือเธอลงและเดินไปพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าของเธอ
“หลินจวิน คุณมาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมพ่อของฉันหรอ? แต่น่าเสียดายที่เขาเพิ่งหลับไป หลายวันมานี้เขานอนหลับไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ งั้นคุณค่อยมาอีกตอนบ่ายก็ได้”
ซังหลินจวินคำรามอย่างเย็นชาและมองไปที่ผู้หญิงที่ดูเหมือนอ่อนโยนตรงหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชาและความต้องการจะเอาชีวิตก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
“คนฉลาดไม่พูดลับๆ บอกฉันมา ว่าเฉินเฉียวถูกเธอพาไปใช่ไหม”
ใบหน้าของเถียนเถียนเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว แก้มของเธอแดงและดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา
เธอกลั้นเสียงสะอื้นที่โกรธแค้นและมองเขาด้วยแววตาเจ็บปวด เธอกัดฟันแล้วพูดว่า “หลินจวินคุณมาเยี่ยมฉันหรอ”
เทียนเทียนคิดว่าเขาจะแสดงสีหน้าอะไรออกมาบ้าง เธอจึงหยุดพูดต่อ
ซังหลินจวินกล่าวว่า “ใช่ คุณเถียน ฉันเคยคิดว่าคุณน่ะแค่รักมากเกินไป และตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณน่ะบ้า ”
เขาพูดตรงๆราวกับหนามแหลม
ถ้าเป็นเถียนเถียนก่อนหน้านี้กลัวว่าจะแย้งเขากลับไปแล้ว
ตอนนี้เธอได้แต่หัวเราะกับตัวเอง
เธอมองเขาอย่างจริงจังและพูดว่า: “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณ แล้วฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง”
ซังหลินจวินไม่ต้องการฟังความตอแหลของเธอเลย
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาโดยตรงและเปิดาพที่เขาถ่ายก่อนจะเดินตรงไปตรงหน้าเธอ
“ คุณไม่คุ้นที่นี่หรอกมั้ง คุณเถียน”
ดวงตาของเถียนเถียนไม่เปลี่ยนแปลง มุมตาของเธอสั่นเพียงเล็กน้อยกับรูปหญ้าที่เปื้อนเลือดและพูดอย่างตลก ๆ : “ฉันไม่เข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร”
ซังหลินจวินชี้ไปที่คำที่อยู่ในภาพ เขามองไปที่เธอและพูดว่า: “หญ้าที่เปื้อนเลือดเหล่านี้เป็นของที่เฉินเฉียวนอนอยู่บนพื้น ตอนที่คุณทรมาณเฉินเฉียว คุณคงคิดไม่ถึง”