โย่วอีรู้สึกสายตาที่จ้องมา สังเกตเห็นดวงตาที่จ้องมองไปโทรศัพท์ของเขาเหมือนหมาป่า
เขายิ้มมุมปากและถามอย่างจงใจ
ซู้เฉียวนั่งตัวตรงทันทีและส่ายหัว: “ฉันไม่อยาก”
โย่วอีพูดเสริม: “ปากไม่ตรงกับใจ”
จากนั้นเขาก็ไม่สนใจเธอและเล่นเกมต่อ
เมื่อเวลาผ่านไปซู้เฉียวไม่รู้ว่าเธอต้องนั่งรอจนถึงเมื่อไหร่แต่เปลือกตาที่ควบคุมไม่ได้เริ่มหย่อน
ในที่สุดก็ไม่สามารถควบคุมอาการง่วงนอนได้เอียงศีรษะและนอนลงบนโซฟา
จู่ๆคนที่กำลังเล่นเกมก็หันมามองเธอหลังจากเห็นคนที่เอนกายบนโซฟาหลับอยู่เขาก็เม้มริมฝีปากกระโดดลงจากโซฟาแล้วเดินไปที่ชั้นสอง
ซังหลินจวินกำลังทำงานอยู่บนโต๊ะทำงานของเขาและเมื่อโย่วอีเปิดประตูเขาก็เงยหน้าขึ้นและถามว่า “มีอะไร?”
โย่วอีเดินเท้าเปล่าเข้ามา: “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็ครูสอนพิเศษที่พ่อจ้างมาหน่ะสิ”
เมื่อซังหลินจวินได้ยินดังนั้นเขาก็วางเอกสารในมือเก็บของบนโต๊ะและจะเดินลงไป
โย่วอีนั่งบนโต๊ะทำงานของพ่อเขา“ พ่อ ให้เขามาสอนผมเพราะได้ยินเสียงเธอใช่ไหม ถึงแม้ตอนเธอพูดทำเอาผมตกใจ แต่ผมยืนยัน ไม่ใช่พี่เฉียวแน่ หน้าตาไม่เหมือนเลยสักนิด ”
ถึงแม้เธอจะมอบความรู้สึกๆดีๆให้เขาเหมือนเฉินเฉียว
แต่เขาไม่ได้พูดประโยคนี้เพราะเขากลัวว่าเขาจะหักหลังเฉินเฉียวเมื่อเขาพูดออกไป
บนโลกนี้มีคนจำนวนมากลืมเธอไปแล้ว แต่โย่วอีบอกกับตัวเองเสมอ ถึงแม้คนทั้งโลกจะลืมเธอ แต่เขาจะไม่ลืม
ดังนั้นเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่อยู่ข้างล่าง ในใจโย่วอีรู้สึกซับซ้อน
ความรู้สึกดีๆตอนเจอกันครั้งแรง มันทำให้เขากลัวจริงๆ
“นั่งให้มันดีๆ ฉันสอนให้นั่งแบบนี้หรอไง”ซังหลินจวินดึงโย่วอีลงจากโต๊ะหลังจากปล่อยมือเขาก็จัดคอเสื้อของเขาให้เข้าที่และทิ้งประโยคว่า “ฉันจะไม่หาคนมาแทนที่เธอ
แล้วเดินออกไปทางประตู.
โย่วอีตะลึง เขาไม่เข้าใจว่าที่พ่อเขาพูดสักครู่นี้หมายความว่าอะไร
ยังไงซะคำพูดนี้ก็แฝงไปด้วยหลายความหมาย เขาเดาไม่ออกว่าเป็นความหมายไหน
เมื่อซังหลินจวินเดินลงมาจากชั้นสองเขาเห็นคนที่นอนหลับอยู่บนโซฟาเขาเลิกคิ้วและถอนหายใจ
ที่โย่วอีพูดไม่ผิดเลยจริงๆ
ซังหลินจวินไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าตอนแรกที่เขาขอให้ผู้หญิงคนนี้สอนโย่วอีมันเป็นเพราะเสียงของเธอ
เสียงของเธอเหมือนกับเฉินเฉียวทุกประการ
แม้แต่ชื่อก็ยังต่างกันแค่ตัวเดียว
ซู้เฉียว เฉินเฉียว
เขามองไปที่เธอร่างสูงของเขาเดินลงบันไดอย่างไม่เร่งรีบและเมื่อเขาเดินไปที่โซฟาเขาก็ดีนิ้ว
เสียงที่คมชัดทำให้เธอตื่นขึ้นในทันใด
เมื่อซู้เฉียวตื่นขึ้นมาเธองัวเงียเธอจะหลับไปในบ้านของคนแปลกหน้าแบบนี้ได้อย่างไร
เมื่อรู้สึกได้ถึงคนข้างตัวเขาร่างกายของเธอก็ยิ่งแข็งและไม่สามารถขยับได้
“ คุณซู้ เมื่อวานไม่ได้พักผ่อนหรอ”เมื่อเห็นเธอดูเหนื่อยๆซังหลินจวินจึงเดินไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามเธอและพูดอย่างไม่เป็นทางการ
“ ขอโทษค่ะคุณซังฉันไม่ได้ตั้งใจ”ซู้เฉียวลุกขึ้นยืนทันทีขอโทษด้วยความงุนงง
ก่อนที่เธอจะเห็นใบหน้าของชายคนนั้นอย่างชัดเจนเธอก็ก้มศีรษะลงและกล่าวอย่างรู้สึกผิด
“คุณซู้ไม่จำเป็นต้องกังวลขนาดนั้นคุณเรียนศิลปะ ไม่ใช่ว่าน่าจะผ่อนคลายกว่าคนอื่นหรอกหรอ?”เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ซู้เฉียวรู้สึกผิดเล็กน้อยในใจความทรงจำในใจของเธอมีเพียงสามปีที่ผ่านมาและเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเคยเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาก่อนหรือไม่
อย่างไรก็ตามเธอได้สติอย่างรวดเร็ว
“พูดตามตรงค่ะคุณซัง ฉันเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยเจอผู้คน เลยไม่ค่อยเหมือนคนอื่น”
“ฮ่า ๆ จริงหรอ?”เขาเม้มริมฝีปากและยิ้ม
ซู้เฉียวรู้สึกว่าเสียงหัวเราะของเขาเป็นการเยาะเย้ยเธอ
เธอกลั้นหายใจและเงยหน้าขึ้นพยายามเถียงกับเขา
แต่เมื่อเขาเห็นชายที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นหัวใจเริ่มเต้นแรงดัง “ตึกตึกตึก” อย่างกะทันหัน
เธอไม่เคยพบคนแบบนี้มาก่อน เพียงแค่นั่งตรงนั้นออร่าของเขาแทบทำให้คนหยุดหายใจ
ในบรรยกาศที่เงียบสงบแบบนี้ เสียงหัวใจที่เต้นแรงของเธอยิ่งดังขึ้น
ซู้เฉียวรู้สึกอึดอัดจู่ๆหัวใจดวงนี้ก็ควบคุมไม่ได้
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ก้มหน้าลงและพูดด้วยเสียงเบาๆ: “คุณซัง ในฐานะที่เป็นครูสอนพิเศษ ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะนำความรู้ทั้งหมดที่มีสอนลูกของคุณ กรุณาให้้โอกาสฉันด้วยนะคะ ”
ซังหลินจวินหันศีรษะและมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นด้วยความมั่นใจในตัวเองที่ไม่มีใครเทียบได้เขายืนขึ้นเดินเข้าไปหาเธอและพูดว่า “รบกวนด้วยนะครับ ครูซู้”
“โย่วอี ยังไม่ลงมาหาครูอีก”เห็นโย่วอีที่ยื่นอยู่ชั้นบน สีหน้าบูดบึ้ง เขาเลยตำหนิให้เดินลงมา
รอจนโย่วอีเดินลงมา เขาจับไหล่แล้วให้พูดกับครูซู้: “ครูซู้ครับ โย่วอีเป็นเด็กฉลาด แต่นิสัยเอาแต่ใจ ถ้าเขาทำให้คุณโกรธ บอกผมได้เลยนะครับ”
ซู้เฉียวตอบรับอย่างดี แต่ในใจคิดว่าน่าจะไม่ใช่
ท้ายที่สุดถ้าเธอตั้งใจฟังสิ่งที่พ่อของเด็กพูด ถ้างั้นเธอก็โง่จริงๆสิ
หลังจากทั้งสามพบกันสักพักซู้เฉียวก็ตรงเข้าไปในห้องที่เตรียมไว้สำหรับการสอนโย่วอี
ซังหลินจวินยังคงต้องจัดการกับเรื่องบริษัท เขาได้ยินสองสามประโยคที่หน้าประตูและเดินออกไป
จนกระทั่งเขาเดินจากไปหัวใจซู้เฉียวก็ผ่อนคลายลง
หลังจากจบการเรียนการสอนของวันนั้นแล้วท้องฟ้าก็มืดลง
ซังอวิ๋นห่อผ้ากันเปื้อนและทำอาหารที่บ้านเขาก็กอดเหมิ้งเหมิ้งและนั่งที่โต๊ะอาหารเย็นและพูดคุยกับเธอ: “เหมิ้งเหมิ้ง พอวันนี้แม่กลับมาแล้วก็เอาอันนี้ให้แม่ดีไหม”
เขาหยิบกล่องสี่เหลี่ยมออกมาจากกระเป๋ากางเกงขนาดที่พอดีมือเล็ก ๆ ของเหมิ้งเหมิ้งถือได้
เหมิ้งเหมิ้งลูบกล่องอย่างอยากรู้อยากเห็นมองไปที่ลุงซังอวิ๋นด้วยปากที่มุ่ยแล้วถามด้วยน้ำเสียง: “ลุงคะ นี่อะไร?”
ซังอวิ๋นลูบผมนุ่ม ๆ ของเธอและพูดด้วยรอยยิ้มในดวงตาของเขา: “นี่คือสิ่งที่สามารถทำให้ลุงซังและแม่อยู่ด้วยกันตลอดไป เหมิ้งเหมิ้งชอบหรือไม่?”
เมื่อได้ยินว่าสิ่งนี้สามารถทำให้ลุงซังและแม่อยู่ด้วยกันตลอดไปเธอก็พยักหน้าโดยไม่หยุด