เมื่อเห็นทั้งสองคนแบบนั้น ซังหลินจวินก็หดหู่อย่างมาก
เขาเดินตรงไปหาพวกเขาทีละก้าว
ซูเฉียวมองสีหน้าเขาด้วยสายตาที่ตะลึง คิดว่าเขาต้องการจะพูดอะไร แต่เขากลับเดินไปหาโย่วอีที่กำลังจะแอบเดินหนี
“วันนี้พามารู้จักคนอื่นๆ จะหนีไปไหนอีกซังหลินจวินจับคอเด็กไว้ด้วยมือข้างเดียวมองไปที่ลูกชายของเขาและความเศร้าโศกในใจของเขาก็หายไปมาก
ใบหน้าบูดบึ้งของโย่วอียกมือขึ้นทำท่าทางยอมแพ้และพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างน่าสงสารว่า “พ่อ ผมเพิ่งไม่กี่ขวบเอง พ่อก็พาผมมางานแบบนี้แล้ว แบบนี้เรียกว่ารังแกเด็ก ผมก็มีสิทธิของผมนะ”
ซังหลินจวินตะคอก:“ ไหนๆฉันก็บังคับแกแล้ว งั้นเรื่องที่จะพาไปเจอเซินหลิวซิงก็ไม่ต้องแล้ว”
หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็ปล่อยมือ จะเดินออกไป
โย่วอีรีบวิ่งไปเกาะแขนพ่อเขา: “โอ้ ผมผิดไปแล้ว ผมผิดเอง พ่ออย่าขี้งกสิ?
ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและกลมกลืนระหว่างพ่อลูกทำให้ซูเฉียวค่อนข้างอิจฉา ซูเฉียวเดิมทีไม่ได้สนใจงานเลี้ยงอยู่แล้ว หันไปหาซังอวิ๋นข้างๆ พูดอย่างรู้สึกผิด: “อาอวิ๋น วันนี้ฉันอยากกลับแล้ว เหมิ้งเหมิ้งยังรออยู่ที่บ้าน ถึงแม้จะมีคนดูแล แต่ฉันก็ไม่วางใจ ขอโทษจริงๆนะ”
ซังอวิ๋นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็เข้าใจความตั้งใจของเฉินเฉียว สามปีมานี้เหมิ้งเหมิ้งแทบไม่เคยห่างจากเธอเลย เธอจะกังวลก็เป็นเรื่องปกติ
“ให้คนไปส่งคุณไหม?”เขาปลีกตัวไปจากตรงนี้ไม่ได้แต่ก็กังวลว่าซังหลินจวินจะฉวยโอกาสไปหาเธอ
ซูเฉียวมองไปที่ซังอวิ๋นด้วยสายตากังวลและส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก ฉันกลับเองได้ งานเลี้ยงนี้ยังต้องการคุณอยู่ คุณรีบกลับเข้างานเถอะ”
เมื่อเห็นคนอื่นมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาแบบนั้นซูเฉียวควบคุมความอดทนไว้ไม่ได้
เมื่อเห็นเธอปฏิเสธอย่างต่อเนื่องซังอวิ๋นก็ทำได้แค่มองเธอเดินจากไป
เมื่อเห็นว่าซังหลินจวิน และโย่วอีก็กำลังจะกลับเหมือนกัน เขาเลยก้าวไปข้างหน้าขวางพวกเขาไว้แล้วพูดว่า: “ประธานซัง วันนี้ไหนๆก็มาแล้ว ดื่มกันให้เมาไปเลยเถอะ”
ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอิตาลีสวยงามมากยังสามารถเห็นฝูงชนที่มีชีวิตชีวาและทิวทัศน์ที่คึกคักเมื่อเดินบนถนน
เพลิดเพลินไปกับสายลมที่พัดผ่านร่างกายเกิดความสงบในใจที่หาได้ยาก
ตอนที่หยุดที่ป้ายรถเมล์ รถยังไม่ทันมาถึง กลับมีรถปอร์เช่ขับมาจอดอยู่ข้างๆเธอ
ซูเฉียวไม่ได้สนใจรถคันนั้นตั้งแต่แรก
หลังจากรถจอดสิบนาทีซูเฉียวก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองอย่างระมัดระวัง เห็นดวงตาสีเข้มคู่หนึ่งที่จ้องมองมาที่เธอ
ซูเฉียวรู้สึกตกใจกับการปรากฏตัวของเขาเธอต้องการที่จะไม่สนใจเขา แต่เขาขวางทางของเธอและเขายังคงเป็นนายจ้างของเธอดังนั้นเธอควรทักทายเขาหน่อย
“ บังเอิญจังเลยนะคะ คุณซังรถคุณเสียหรอคะ? ต้องการเรียกช่างซ่อมไหมคะ? “เธอเดินไปพร้อมกับรอยยิ้มและถามอย่างสุภาพ
ซังหลินจวินซึ่งนั่งอยู่ในรถมองไปที่รอยยิ้มปลอมๆของเธอรู้สึกอึดอัดมาก
เขาคิดว่าเธออาจจะเป็นเฉินเฉียว ได้เห็นรอยยิ้มที่แปลกๆของเธออีกครั้ง ใจเขาก็สงบเหมือนตอนแรกไม่ได้
เขาเหลือบมองเธอแสร้งทำเป็นไม่แยแสจากนั้นคำพูดที่เข้าใจยากก็โผล่ออกมาจากปากของเขา
“ไม่บังเอิญหรอก ผมมาจอดรอคุณสิบนาทีสามสิบวินาทีแล้ว คุณจะยืนอยู่ตรงนี้จริงๆหรอ”
ซู้เฉียวสำลักกับคำพูดของเขา ใครให้เขามารอล่ะ หลงตัวเองจริงๆ
ตอนที่เธอกำลังคิดแบบนี้เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเธอมีความเขินอายและมีความสุขอยู่ในใจ
เมื่อเห็นว่าเธอยืนนิ่งซังหลินจวินก็เอื้อมมือไปเปิดประตูรถ
“ขึ้นรถ เดี๋ยวผมไปส่ง”
“โย่วอีอยู่ไหนหรอคะ”เฉินเฉียวพบว่าไม่มีโย่วอีอยู่ในรถและขาก็ยิ่งลังเลที่จะขยับ
การอยู่กับชายแปลกหน้าเธอไม่ได้มีความคิดที่เปิดกว้างเช่นนี้
“ น่าจะกำลังอยู่กับคนที่เขาชอบ ไม่ต้องกังวลหรอก เขาโตแล้วดูแลตัวเองได้ คุณไม่ใช่ว่าจะรีบกลับไปดูลูกหรอกหรอ? อย่าเคอะเขิน ”
แน่นอนว่าซังหลินจวินจะไม่พูดในสิ่งที่เขาจัดการแต่เมื่อเขาเอ่ยถึงลูกของซูเฉียวเขามีความคาดหวังและความกลัวอยู่ในใจ
ความคาดหวังก็คือถ้าคนตรงหน้าเขาเป็นเฉินเฉียว จริงๆ เหมิ้งเหมิ้ง ก็อาจจะเป็นลูกของเขา
เขากลัวว่าร่องรอยที่หายากนี้อาจเป็นของปลอม
ความซับซ้อนในใจของเขาไม่สามารถบรรยายได้ทำให้การแสดงออกของเขากลายเป็นเย็นชามากขึ้น
เมื่อซูเฉียวมองไปที่ใบหน้าที่เย็นชาของเขาเธอคิดว่าเป็นเพราะเธอไม่เต็มใจที่จะเข้าไปในรถและทำให้เขารำคาญ
ดึงประตูขึ้นรถ
หลังจากที่ซูเฉียวขึ้นรถแล้วซังหลินจวินก็ขับรถตรงไป
ในรถบรรยากาศน่าอึดอัด
ชายหญิงคู่หนึ่งที่แปลกหน้าซึ่งอยู่ในพื้นที่จำกัดแบบนี้แม้ว่าเขากำลังขับรถอยู่แต่ก็รู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก
ในขณะที่รอสัญญาณไฟจราจรซังหลินจวินมือหนึ่งพิงกระจกรถอีกมือหนึ่งปลดเนคไท เผยให้ให้ไหปลาร้าที่น่าหลงไหล
ความงามที่ไม่อาจบรรยายได้แม้ว่าจะเป็นผู้ชาย แต่ก็ยังทำให้ฮอร์โมนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
เฉินเฉียวที่เบาะหลังแอบกลืนน้ำลาย
เธอก้มศีรษะลงและมองไปที่เท้าของเธอเพื่อปกปิดความสับสนที่เพิ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวที่รุนแรงอย่างกะทันหันของเขา
เมื่อเธอสงบลงรถก็ได้จอดที่หมู่บ้านเธอแล้ว
ซู้เฉียวเปิดประตูลงรถ
“คุณซัง ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณไม่แน่ฉันอาจจะกำลังรอรถเมล์อยู่ก็ได้”แม้ว่าเขาจะทำหน้าเย็นชา แต่เธอก็ยอมรับความช่วยเหลือของเขาทุกครั้ง
เธอรู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นผู้ชายที่เย็นชาแต่มีจิตใจอบอุ่น
ถ้าคิดแบบนี้ อารมณ์ที่เดิมทีแปรปวนอยู่แล้วสงบลงอย่างรวดเร็ว
ซังหลินจวินมองเธอที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าพลางกล่าวคำขอบคุณ แต่จริงๆแล้วเธออยากให้เขารีบๆกลับไป
ทันใดนั้นใบหน้าที่เย็นชาก็ยิ้มจากนั้นเปิดประตูลงจากรถ พูดข้างๆแก้มเธอ: “ขอบคุณในทางปฏิบัติมันดีกว่าคำขอบคุณจากปาก ผมกระหายนิดหน่อย ให้ผมดื่มน้ำซักแก้วคุณคงไม่รังเกียจใช่ไหม ”
เขาพูดของเขาตรงไปตรงมาแบบนี้ ซูเฉียวจะปฏิเสธได้ยังไง
ทำได้แค่เดินนำไปข้างหน้าอย่างอึดอัด
เมื่อเห็นเธอตกตะลึงดวงตาของซังหลินจวินก็ฉายแววเจ้าเล่ห์