“เธอเดาสิ” เขาจงใจไม่บอกเธอ นิ้วมือที่เรียวยาวก็ยื่นไปที่หน้าเธอ หลังจากที่เขาปาดหยดน้ำตาแล้ว เขาก็ทอดมองเธอเอ่ยถาม “ทำไมต้องร้องไห้”
ซูเฉียวปัดมือเขาออก แล้วเช็ดหน้าตัวเอง แกล้งทำเป็นไม่เป็นอะไร แค่ยื่นแก้วในมือให้เขา “น้ำของคุณ ถ้าดื่มเสร็จแล้ว คุณชายซังก็ควรกลับได้แล้วค่ะ”
ซังหลินจวินมองแก้วในมือแล้วยิ้ม ทำเหมือนไม่ได้ยินเธอไล่ เขาเดินเข้าไปข้างใน ก่อนที่จะเดินเข้าประตู ร่างกายก็เซเล็กน้อย น้ำในแก้วที่ยังดื่มไม่หมดก็เทลงที่เสื้อผ้า
ถึงแม้เสื้อสูทสีดำจะโดนน้ำเทใส่ แต่ตอนกลางคืนก็เห็นไม่ชัดมากนัก แต่เขากลับมองไปที่เธออย่างทำอะไรไม่ถูก “แย่แล้ว เสื้อผมเปียกหมดแล้ว”
ซูเฉียวมองไปที่เขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก กำมือไว้แน่น พยายามหักห้ามความโมโหเอาไว้
“เข้าไปเถอะ เดี๋ยวฉันออกไปซื้อเสื้อให้คุณ” ซูเฉียวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เธอไม่เข้าใจ คุณชายซังที่ดูเป็นผู้ใหญ่ ทำไมแค่ดื่มน้ำยังทำให้ตัวเปียกได้ อะไรกันเนี่ย
“รบกวนด้วยนะครับ” ซังหลินจวินยิ้มให้ ซูเฉียวจึงกลืนความไม่สบอารมณ์กลับไป
รอซูเฉียวไปซื้อเสื้อผ้าจากซุปเปอร์มาร์เก็ตกลับมา เธอค่อยคิดได้ว่า เสื้อผ้าใส่ครั้งเดียวแบบนี้ เขาจะยอมใส่หรือเปล่า
เสื้อผ้าในซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่ใช่แบรนด์ดังอะไรอยู่แล้ว แล้วซูเฉียวก็เลือกชุดที่ใส่สบายๆด้วย
เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงสีดำ
ตอนที่เธอยื่นให้เขา เลยไม่กล้าดูสีหน้าของซังหลินจวิน จึงไม่รู้ว่าปากเขากระตุก แสดงสีหน้าลำบากใจ
ยังไงเขาก็ทำตัวเองก็ต้องรับผิดชอบเอง
ซังหลินจวินหยิบไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำ
ซูเฉียวก็เอาเสื้อผ้าที่เขาถอดไปตาก
ทั้งสองนั่งดูทีวีกับเด็กโดยที่ไม่พูดคุยกัน
ผ่านไปหลายชั่วโมง
“ที่คอคุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ซูเฉียวที่ไม่ได้ตั้งใจดูทีวีเอาแต่วอกแวก เลยเห็นว่าคอของซังหลินจวินมีรอยแดง ไม่ตั้งใจดูดีๆคงไม่เห็น
พอซังหลินจวินได้ยิน จึงใช้มือจับคอ
รู้สึกแสบๆ ไม่ค่อยโอเคเลย
“ผมมองไม่เห็น” ซังหลินจวินนั่งมองเธอ ทั้งๆที่สีหน้าเรียบนิ่ง แต่สายตากลับมีความไร้เดียงสา
ทำอะไรไม่ได้ ซูเฉียวเลยไปหยิบกระจกอันเล็กของเธอจากห้องนอนให้เขา
พอรับกระจกไปแล้ว จึงเห็นได้ชัดขึ้น
ที่คอเขามีผื่นแดงเต็มไปหมด ดูแล้วขนลุกมาก น่ากลัวมาก
แต่ก่อนซังหวินจวินไม่เคยเป็นแบบนี้ เขาขมวดคิ้ว เพื่อที่ไม่ให้ซูเฉียวรู้สึกผิด เลยพูดอย่างนิ่งเฉย “น่าจะแพ้มั้ง ไม่เป็นอะไรหรอก เสื้อผ้าผมก็ใกล้แห้งแล้ว ช่วยหยิบให้ผมหน่อยได้ไหม เดี๋ยวผมเปลี่ยนเสร็จแล้วจะกลับเลย”
เขาพูดเองว่าจะไป ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีอาการแพ้ ซูเฉียวก็จะรู้สึกดีใจ
แต่อารมณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดีเลย
เธอจับมือเขาไว้แล้วเอ่ย “อย่าอวดเก่งเลยค่ะ เราไปโรงพยาบาลกัน”
“ไม่ต้อง” เขาปฏิเสธเธอ
ซูเฉียวเห็นว่าเขาไม่เชื่อฟังเธอ ในใจก็แอบโมโห เลยไม่พูดอะไรอีก จากนั้นก็อุ้มเหมิงเหมิงไปทางประตู พอเห็นซังหลินจวินยังนิ่งอยู่ที่เดิม จึงพูดไล่ “คุณจะไปไม่ใช่เหรอ? รีบไปสิคะ”
ซังหลินจวินไม่รู้จะตอบเธอยังไง
จนกระทั่งเขาขึ้นรถ หลังรถก็มีเด็กกับผู้ใหญ่สองคน แล้วซูเฉียวเอาแต่บอกทางเขา ซังหลินจวินเลยเดาได้ว่าเธอคิดอะไรอยู่
รอไปถึงโรงพยาบาล ซังหลินจวินก็ไม่ได้พูดว่าไม่อีก
ตรวจไปคร่าวๆที่โรงพยาบาล เพราะตอนนี้มีแค่พยาบาลกะดึก เลยไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากนัก
รอได้ผลตรวจแล้ว คุณหมอดูผลตรวจของเขา แล้วส่ายหน้า “คุณซัง คุณเป็นคนผิวแพ้ง่าย เพราะฉะนั้นอีกหน่อยต้องระวังเรื่องเสื้อผ้า โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซัก นั่นมีเชื้อโรคเยอะมาก”
คุณหมอแค่เหลือบมองเขา จึงมองออกว่าเขาใส่เสื้อผ้าใหม่ที่ยังไม่ได้ซัก
แต่ว่า นี่ก็ไม่แปลก เพราะเสื้อผ้าในซุปเปอร์มาร์เก็ตก็เหมือนๆกัน บวกกับคุณหมอเป็นคนรักสะอาด เลยมองออก
คำพูดของคุณหมอทำให้หน้าซูเฉียวแดง ในใจเธอรู้สึกผิดมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอซื้อเสื้อผ้านั่น ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้
พอได้ยาทากลับไปแล้ว ซูเฉียวที่นั่งอยู่ข้างหลังจึงเอ่ยชวนเขา “คุณชายซัง อาการแพ้ของคุณยังไม่ดีขึ้น อยู่บ้านคนเดียวได้เหรอคะ? ถ้าคุณไม่รังเกียจ มาพักที่บ้านเราชั่วคราวได้ โยว่อีมาด้วยก็ได้ค่ะ”
เพราะถ้าชวนเขาคนเดียว แค่คิดก็คงคิดว่าเธอไม่คิดดีแน่
เหมิงเหมิงข้างๆก็พูดเสริม “คุณลุง คุณลุงมากับพี่ชายสิคะ หนูจะได้เล่นกับพี่ชายด้วย”
ซังหลินจวินขับรถไปด้วย มองทั้งสองคนผ่านกระจกไปด้วย เม้มปากแล้วตอบตกลง “ได้ เดี๋ยวลุงโทรบอกโยว่อี”
ซูเฉียวสบตากับเขาผ่านกระจกอย่างไม่ตั้งใจ ใบหน้าจึงแดงทันที แล้วพยายามหักห้ามใจที่เต้นเร็วไว้
ในใจก็เอาแต่ปลอบตัวเอง ใจเย็นๆ ก็แค่มาอยู่ไม่กี่วัน ทำไมต้องเกร็งขนาดนี้ด้วย?
โยว่อีที่โดนพ่อทิ้งไว้เป็นกำบังให้ซังอวินคนเดียว อารมณ์เสียมาก แต่หลังจากที่รู้ว่าซังอวินเป็นผู้ก่อตั้งเกมส์อาณาจักรทั้งหก ก็ถามเขาด้วยสีหน้าชื่นชม เกี่ยวกับว่าคิดเกมส์นี้ได้ยังไง ทำไมถึงทำให้ภาพในเกมส์สวยขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นการหาสมบัติหรือว่าการผจญภัยต่างๆก็เชื่อมโยงกับความเป็นจริงได้ แถมยังทำให้คนอื่นคล้อยตามไปด้วย
ถามจนซังอวินลืมสนใจเฉินเฉียวไปเลย
รอคนไปหมดแล้ว ซังอวินค่อยรู้สึกผิดปกติ
นี่หลงกลแผนชัดๆ
เขาไม่สบอารมณ์ แต่ก็เป็นญาติทางสายเลือดกัน เขาเลยไม่รังเกียจโยว่อี
แต่แค่แอบหวังในใจ คืนนี้จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“พ่อนี่เก่งจริงๆ ได้เข้าไปอยู่บ้านคนอื่นเร็วขนาดนี้ ปรบมือครับปรบมือ” โยว่อีนั่งอยู่บนเก้าอี้ แสดงสีหน้าชื่นชม
ซังหลินจวินไม่พูดอะไร จ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น มองจนโยว่อีรู้สึกอึดอัด ค่อยเอ่ย “พ่ออย่ามองผมแบบนี้ได้ไหมครับ? ทุกครั้งที่พ่อมองผมแบบนี้ ผมมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี”
มุมปากซังหลินจวินเลิกขึ้น “เรากลัวว่าพ่อจะแกล้งเราเหรอ?”