“แน่นอน ต้องไม่อยู่แล้วครับ” โยว่อีเจอสายตาพิฆาตของพ่อเลยรีบกลับคำ
เขาจะกล้าพูดแบบนั้นได้ยังไง
ถ้าพูดแบบนั้นจริงๆ คงต้องลาจากโลกนี้แน่ๆ
ไม่แน่อาจจะโดนยึดค่าขนมอีก
“แต่ว่าพ่อครับ ครั้งนี้พ่อตั้งใจเกินไปหรือเปล่าครับ อาการแพ้นี่ ผมขนลุกเลย”
อาการแพ้ของซังหลินจวินค่อนข้างหนัก ถ้าเป็นแค่รอยแดงธรรมดา คงไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกอะไร แต่ผื่นแดงเป็นแผ่นนี้ ทำให้คนอื่นหวาดกลัวจริงๆ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคกลัวรู
โยว่อีไม่ได้เป็นโรคนั้น แต่ในใจตอนนี้เขากลับรู้สึกแบบนั้น
ซังหลินจวินยิ้ม “เหอะเหอะ”
เสียงยิ้มนี้ ทำให้โยว่อีกลืนคำพูดที่จะพูดกลับไป
ตอนนี้เขาแค่อยากพูดว่า ปล่อยผมไปเถอะครับ
กลางดึก ซังหลินจวินพิงอยู่บนหัวเตียง เขากำลังคิดบางอย่างในค่ำคืนที่เงียบสงบนี้
วันนี้เขาไปโรงพยาบาล ไม่ใช่เพื่อแค่เรื่องอาการแพ้
ตอนที่อยู่โรงพยาบาล เขาเอาเส้นผมสองเส้นไปให้หมอตรวจดีเอ็นเอ
เส้นแรกเป็นของเหมิงเหมิงตอนที่เล่นชิงช้า อีกเส้นเป็นของเขา
เขายังไม่แน่ใจว่าซูเฉียวคือเฉินเฉียวหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกรังเกียจเขา เขาเลยต้องแอบไปสืบ
ถ้าผลออกมาเร็ว พรุ่งนี้เช้าก็น่าจะรู้แล้ว
ซูเฉียวยังไม่รู้ว่าซังหลินจวินคิดอะไรอยู่ เธอกำลังอยู่ในฝันร้ายตื่นขึ้นมาไม่ได้สักที
เธอฝันเห็นเลือดเต็มไปหมด จากนั้นก็เห็นผู้หญิงที่เห็นหน้าไม่ชัด กำลังใช้มีดกรีดหน้าเธอ
เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เสียวสันหลังกับความสิ้นหวัง
เธออยากตะโกนร้อง เธออยากหนี แต่ก็ขยับตัวไม่ได้เลย
เจ็บมาก ทำไมถึงไม่มีใครมาช่วยเธอ
“คุณแม่ แม่ตื่นสิคะ คุณแม่ ฮือฮือ” เหมิงเหมิงเห็นคุณแม่เหงื่อไหลเต็มหน้าไม่ตื่นมาสักที เลยร้องไห้เสียงดัง
“เหมิงเหมิง……” ตอนที่ซูเฉียวตื่น สายตายังพร่ามัว เหมือนยังไม่ตื่นจริงๆ
ตอนที่เหมิงเหมิงเห็นคุณแม่ลืมตาขึ้น เลยรีบเข้าไปในอ้อมกอดแม่ จากนั้นก็เอ่ยสะอึกสะอื้น “คุณแม่ คุณแม่เอาแต่ร้องไห้ เหมิงเหมิงตกใจ ฮือฮือ”
“ไม่กลัวนะคะ แม่แค่ฝันร้าย” ซูเฉียวปลอบเหมิงเหมิงไปด้วย นึกย้อนถึงภาพในฝันด้วย ไม่รู้ทำไม ฝันนั่นเหมือนเคยเกิดกับเธอจริงๆ จนเธอรู้สึกขนลุก
จนกระทั่งปลอบเหมิงเหมิงเสร็จแล้ว มองเห็นเธอหลับแล้ว ซูเฉียวค่อยเดินไปที่ห้องน้ำ มองผ่านกระจกเงาวับนั้น จึงเห็นใบหน้าที่สวยงาม
เธอใช้มือลูบหน้าเบาๆ ทั้งๆที่เรียบเนียน แต่เธอกลับเหมือนแตะโดนรอยมีดกรีดอย่างนั้น
อยู่ๆเธอก็นึกขึ้นได้ เรื่องสามปีก่อนที่เธอเสียโฉม
ตอนนั้น อาอวินบอกว่าเธอไม่ระวังแล้วโดนน้ำกรด เลยเสียโฉม
ตอนนั้นเพราะมีเหมิงเหมิง เธอเลยไม่ทันไปรักษา
เพราะถ้าจะรักษาตอนนั้น ก็เก็บเด็กไว้ไม่ได้
การจะรักษาใบหน้าต้องฉีดยาชาปริมาณมาก สุดท้ายเธอเลยเลือกลูก เลยยังไม่ได้รักษา
แต่หลังจากนั้นที่ไปรักษา หมอบอกว่าเวลานานเกินไป ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ทำอะไรไม่ได้ เธอเลยต้องศัลยกรรมทั้งหน้า
แต่ว่าก่อนศัลยกรรม เธอก็ไม่เคยเห็นหน้าตัวเอง เพราะว่าเธอกลัวว่า ถ้าเห็นสภาพนั้นกับตาตัวเอง เธอคงจะหมดหวังกับชีวิต
ตอนนี้ อยู่ๆเธอก็อยากรู้ เกิดอะไรกับหน้าเธอกันแน่ แค่โดนน้ำกรดจริงเหรอ ถ้าโดนน้ำกรดจริงๆ แล้วเพราะเรื่องอะไรถึงโดนล่ะ
ความสงสัยของเธอพุ่งสูงจนขีดสุด
วันต่อมา ซังอวินที่จะมาทำอาหารให้ซูเฉียว พอเข้าประตูก็เห็นเงาของคนที่คุ้นเคย แต่ยังไม่ทันอารมณ์เสียที่ซังหลินจวินอยู่บ้านเธอ ก็มีคำถามที่ร้อนรนถามขึ้นก่อน
“อาอวิน นายบอกฉันได้หรือเปล่า ตอนนั้นหน้าฉันไปโดนน้ำกรดได้ยังไง?”
เธอเอ่ยถามอย่างเรียบนิ่ง แต่ในใจซังอวิน กลับเหมือนมีระเบิด
จนเขาสงบสติไม่ได้
ร่างกายซังอวินหยุดชะงัก แล้วยิ้มแห้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาค่อยดึงสติกลับมาแล้วทอดมองเธออย่างเป็นห่วง “ทำไมอยู่ๆถึงถามล่ะ? เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
คำพูดของเขากำลังหลอกถาม เขาอยากรู้ว่า เพราะซังหลินจวินพูดอะไรกับเธอหรือเปล่า
มองใบหน้าของเธอที่เขาเพิ่งเคยชิน เขาไม่เข้าใจ ทำไมซังหลินจวินถึงเดาได้ว่าเป็นเธอ
หรือว่าเมื่อวานเขาแสดงปฏิกิริยาชัดเจนเกินไป
ซูเฉียวถอนหายใจ แล้วเล่าฝันร้ายเมื่อคืนให้เขาฟัง
ซังอวินจึงค่อยโล่งใจ เขาลูบเส้นผมเธออย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยปลอบใจ “เพราะว่าฝันนี้ เธอเลยคิดว่าหน้าตัวเองโดนคนอื่นกรีดสินะ”
ซูเฉียวพยักหน้า
“ในเมื่ออย่างนี้ เดี๋ยววันสองวันเราไปหาหมอที่ทำให้เธอ เขาเป็นคนที่มีสิทธิพูดมากกว่า รอเธอเจอเขาแล้ว ทุกอย่างก็จะเข้าใจเอง” การปิดบังเธอไม่ใช่เรื่องที่ดีในอนาคต
เพราะฉะนั้นซังอวินเลยจะให้คนอื่นเป็นคนบอกเธอแทน
แต่ว่าตอนนี้ต้องจัดการผู้ชายคนนั้นก่อน
“บังเอิญจังเลยนะครับ ดูเหมือนว่าเมื่อวานคุณชายซังไม่ได้กลับบ้าน แล้วพักอยู่ที่บ้านเพื่อนผม เห็นคุณชายซังที่นี่ ไม่รู้ว่าเป็นโชคชะตาอะไรหรือเปล่า” เขานั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหาร คำพูดที่พูด เหมือนกำลังประกาศสงคราม
ซังหลินจวินกินโจ๊ก แล้วใช้ทิชชู่เช็ดปาก จากนั้นก็มองไปทางเขา แล้วเอ่ยอย่างนิ่งเฉย “ความสัมพันธ์ของเราสองคน แกไม่ต้องเอาแต่เรียกฉันว่าคุณชายซัง สองสามปีนี้ร่างกายเถ้าแก่ไม่ค่อยดี เมื่อวานก็โทรมาหาฉัน เพราะรู้ว่าฉันเจอแก บอกแกว่า อยากเจอแก แกจะกลับประเทศเมื่อไหร่”
พอได้ยินชื่อของคนคนนั้น รอยยิ้มที่ซังอวินฝืนยิ้มก็หายไปทันที
ใบหน้าที่อ่อนโยน แฝงไปด้วยความเสียดสีมองไปที่เขา “เขาเกี่ยวอะไรกับฉัน ทำไมฉันต้องกลับไปเพื่อเขาด้วย ซังหลินจวิน ในสายตาคนตระกูลซัง ฉันเป็นคนที่พวกแกสั่งการได้ตามใจเหรอ”
เขาพูดอย่างไร้น้ำใจ แต่สำหรับเขา เขาไม่ผิด
แต่ก่อนซังหลีหย่วนไม่เคยเห็นเขาในสายตา ตอนนี้บอกว่าอยากเจอเขา คงไม่ใชเรื่องดีอะไรหรอก
“ฉันแค่บอกแก ไม่ได้บังคับให้แกต้องกลับไปสักหน่อย นี่เรื่องของแก ฉันไม่ยุ่ง” ซังหลินจวินไม่ได้รู้สึกดีกับเขาอยู่แล้ว การปลอบใจอะไรพวกนี้ ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเขาแน่นอน
“พวกนายเป็นอะไรกันเหรอ ทำไมฟังแล้วซับซ้อนจังเลย” ซูเฉียวที่ฟังอยู่ตลอดเอ่ยถามพวกเขาอย่างสงสัย